Skip to content

Tales of Herding Gods 67

67. เมืองที่ไม่เคยหลับใหล

เฒ่าบอดก็นึกไม่ออกว่าจะอธิบายฉินมู่อย่างไร เขาจึงหัวเราะแห้งๆ “เมืองนี้ยังมีอีกชื่อเรียกว่าเมืองมังกรที่ไม่เคยหลับใหล ยามราตรีจะมีโคมไฟจุดส่องสว่างตามถนนหนทาง ทุกหมู่บ้านในระยะหมื่นลี้รอบๆ จะมารวมตัวที่เมืองนี้เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า มู่เอ๋อ ยายเฒ่า ข้าจะแยกตัวไปก่อนล่ะ ว่าแต่ยายเฒ่า เจ้ามีเงินค่าขนมให้ข้าสักหน่อยไหม”

เขายืนตัวตรงด้วยไม้เท้าไผ่และยื่นมือขอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ท่านยายซีแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

เฒ่าบอดจึงยื่นมือไปฉวยผืนหนังสัตว์แล้วแย้มยิ้ม “มู่เอ๋อให้ข้ายืมหนังสัตว์สักสองผืนซิ เมื่อข้าชนะพนันได้เงินมา ข้าจะคืนสตางค์ให้เจ้าแถมดอกเบี้ยอีก!”

ฉินมู่ยิ้มแล้วตอบไป “ท่านปู่เอาไปเถอะ ไม่ต้องคืนข้าหรอก”

“อย่าให้เขา!”

ท่านยายซีดุเสียงเข้ม “ตาเฒ่าที่น่าตายนี่ชอบแล่นไปบ่อนพนันอยู่เรื่อยทุกทีที่เข้าเมือง และทุกครั้งก็จะเสียพนันจนกางเกงก็แทบจะไม่เหลือ! หนังสัตว์สองผืนพอให้พวกเราแลกเครื่องปรุงตั้งเยอะแยะ เอาไปโยนทิ้งแม่น้ำยังดีกว่าให้ตาเฒ่านี่! อย่างน้อยข้ายังได้ยินเสียงสองตูมตอนที่ข้าโยนทิ้งแม่น้ำ ไม่ใช่หายต๋อมไปเลย!”

เฒ่าบอดรีบพกหนังสัตว์สองผืนไว้กับตัว แล้วหายวูบ ปะปนไปกับผู้คน

ท่านยายซีขยี้เท้าด้วยความขัดใจ ฉินมู่ถามอย่างฉงน “ท่านยาย อะไรคือบ่อนพนัน”

ท่านยายยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ “เจ้าอยากไปเล่นกับเด็กผู้หญิงที่ก้าวพลาดพวกนั้น ตอนนี้ยังอยากจะไปบ่อนพนันอีก! มู่เอ๋อ เจ้าเรียนแต่เรื่องเลวๆ!”

ฉินมู่งงงวย “อย่าโกรธสิท่านยาย ข้าไม่เล่นกับพวกนางอย่างที่ท่านยายบอกก็ได้ จริงสิ ท่านยาย อะไรคือหอโคมเขียว ที่นี่มีหอโคมเขียวไหม หัวหน้าโถงโคมเขียวฟู่ชิงอวิ๋นแห่งลัทธิมารฟ้าบอกว่าข้าสามารถตามหานางได้ในที่ที่มีหอโคมเขียว”

ท่านยายซีถลึงตาจ้องเขาแล้วแค่นเสียง “ตอนนี้เจ้ายังอยากจะไปซ่องชั้นต่ำอีก? เจ้าอยู่ให้ห่างๆ นางจิ้งจอกยั่วราคะฟู่ชิงอวิ๋นจะดีกว่า”

ฉินมู่งงหนักกว่าเดิม เขาจะไปหอโคมเขียวเพื่อพบปะผู้คน ทำไมมันกลายเป็นซ่องชั้นต่ำไปได้ แล้วซ่องมันคืออะไรอีกล่ะ

“เมืองนี้มีกฎหยุมหยิมไปหมด ข้าทำนั่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้” เด็กหนุ่มงึมงำ

หนึ่งเด็กหนึ่งชราขับเกวียนเข้าไปในตลาด ที่นั่นผู้คนแออัดและมีข้าวของเครื่องใช้ขายเต็มไปหมด มีผู้คนที่มาจากเผ่าพันธุ์แตกต่างกันใส่ชุดประหลาดเป็นเอกลักษณ์ ละลานตาฉินมู่

ไม่นานนัก ท่านยายซีก็ขายเครื่องเหล็กและหนังสัตว์จากเกวียนแลกกับเครื่องปรุงจำนวนหนึ่ง พวกพ่อค้าที่ซื้อไปน่าจะมาจากโลกภายนอก ในเมื่อเขามีสำเนียงพูดที่แตกต่างจำเพาะ และอ้างตัวว่ามาจากจักรวรรดิสันตินิรันดร์

แม้ว่าท่านยายซีจะเป็นผู้หญิง แต่นางคุ้นเคยกับความหรูหราใจกว้าง นางไม่คล่องเรื่องการต่อรองราคา นางขายเครื่องเหล็กที่เฒ่าใบ้หลอมตีด้วยราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แม้แต่หนังและขนสัตว์ก็ได้ราคาไม่ดีนัก แต่ทว่าดูเหมือนพวกพ่อค้าจะยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง และรู้สึกว่าเขาเอากำไรจากท่านยายซีและฉินมู่ไปหน่อย พ่อค้าพวกนี้จึงให้ถุงเหรียญทองมังกร ซึ่งมีอยู่ในถุงราวร้อยเหรียญ

เหรียญมังกรเป็นหน่วยเงินตราที่ใช้แลกเปลี่ยนในเมืองเขตมังกร บนเหรียญนั้นหลอมเป็นรูปเสามังกรสี่มุมเมืองเขตมังกร ฉินมู่พบว่าเหรียญนั้นมีพลังของพยุหะบางอย่างอยู่ภายใน เหรียญพวกนี้น่าจะถูกหลอมสร้างขึ้นมาด้วยเทคนิคเฉพาะเพื่อป้องกันมิให้ผู้คนปลอมแปลง

จากนั้นทั้งคู่จึงขายวัวและแพะ วัวกับแพะพวกนี้เหมือนจะรู้ชะตาของพวกมันเป็นอย่างดี มันไม่หยุดร่ำไห้ครวญครางพลางงับชายเสื้อของฉินมู่ไว้ไม่ปล่อย

ฉินมู่ลังเล แต่ท่านยายซีกระซิบบอกเขา “พวกนี้มีแต่คนชั่วช้า”

ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ ที่แท้วัวและแพะพวกนี้คือมนุษย์ที่ถูกวิชามารฟ้าเสกสรรของท่านยายซีเปลี่ยนให้เป็น!

“พวกนี้คือกลุ่มโจรร้าย”

เสียงของท่านยายซีเบาหวิวราวกับเส้นไหม “จำได้ไหมตอนที่ข้าพาเจ้าไปหมู่บ้านใกล้ๆ เพื่อช่วยทำคลอดเด็ก แต่เมื่อพวกเราไปถึง ทั้งหมู่บ้านก็ถูกฆ่าล้างหมดทุกชีวิต หลายปีมานี้ข้าเสาะหาร่องรอยของโจรพวกนี้แต่ไร้ผลลัพธ์ แต่สองสามวันที่ผ่านมา ข้าเจอพวกมันเข้าจนได้”

ฉินมู่จิตใจไหวสะท้าน เขาดึงชายเสื้อเขากลับมา แล้วปล่อยให้พวกพ่อค้าลากวัวและแพะไป สิ่งที่สัตว์พวกนี้จะต้องเจอหากว่าไม่ถูกฆ่าก็จะถูกเอาไปทำไร่ไถนา แม้เขาจะรู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่าท่านยายซีทำผิดอะไร

แดนโบราณวินาศก็เป็นเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งย่อมล่าผู้อ่อนแอกว่า สิ่งที่ท่านยายซีทำเหมือนจะสุดโต่ง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ฉินมู่ยังรู้สึกซาบซึ้งอีกด้วย เหตุการณ์นั้นสะเทือนขวัญเขาอย่างรุนแรง ไม่นึกเลยว่าผ่านมาหลายปีท่านยายซียังคงคิดทวงถามความยุติธรรมให้กับชาวบ้านที่ตายอย่างน่าสังเวชพวกนั้น

จากนั้นทั้งคู่จึงซื้อม้วนผ้าทอสองสามม้วนและสุราดีจำนวนหนึ่ง นำไปเก็บไว้ในโรงเตี๊ยมที่พวกเขาเข้าพัก ท่านยายซีพลันชะงักเท้าเมื่อนางเห็นร้านที่ขายชาดทาปากและผงแป้ง

“ของพวกนี้ดีทั้งนั้นเลยนะ ผงแป้งเลิศหรูนี้เข้ากับความงามล้ำเลิศของท่านยาย”

ยายเฒ่าซีฟังแล้วก็ตาลุกวาว อ้าปากพะงาบจนลมออกปาก ทำให้เด็กสาวจำนวนหนึ่งหัวเราะคิกคักอย่างหยุดไม่อยู่

ท่านยายซีเมินเสียงหัวเราะของพวกนาง แล้วใช้เงินแทบทั้งหมดที่เหลือซื้อเครื่องประทินโฉมหลายหลาก เมื่อเหลือบแลเห็นฉินมู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ หอบหิ้วกล่องเล็กใหญ่ซ้ายขวา นางก็รู้สึกผิดเล็กน้อย จึงล้วงถุงเล็กๆ นั้นควักเอาเหรียญมังกรเหรียญสุดท้ายยัดใส่กระเป๋าฉินมู่ “เจ้าไปซื้ออะไรที่เจ้าอยากได้เถอะ แต่ก่อนนั้นเอาเครื่องสำอางพวกนี้ไปเก็บไว้ที่โรงเตี๊ยมก่อน”

ฉินมู่ส่งเครื่องสำอางพวกนั้นไปเก็บที่โรงเตี๊ยมและพบกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่โค้งคำนับอย่างนอบน้อมและกล่าวว่าพวกเขาได้ตระเตรียมห้องรับรองเอาไว้ให้พวกเขา

ฉินมู่มองเถ้าแก่โรงเตี๊ยมขึ้นๆ ลงๆ อย่างสงสัย และใจสั่นไหววูบ เถ้าแก่จึงขยิบตาให้เขาและกล่าวด้วยเสียงเบา “บ่าวผู้นี้น้อมพบท่านจ้าวลัทธิน้อย”

สามร้อยหกสิบโถงของลัทธิมารฟ้ายื่นมือเข้าไปมีเอี่ยวกับทุกสาขาอาชีพ ไม่นึกเลยว่าพวกเขาถึงกับเปิดโรงเตี๊ยมในเมืองเขตมังกร

ฉินมู่จัดแจงท่าทางของตนแล้วเดินเข้าไปในห้องพักรับรอง หลังจากวาดสิ่งของที่เขาแบกมา ท่านยายซีก็ไล่เขาไปทันที “นานทีเจ้าจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาซะที ไปเที่ยวเล่นตามใจเถอะ โอ้ แล้วใช้เหรียญมังกรของเจ้าให้คุ้มค่าด้วยนะ”

ฉินมู่หยิบเหรียญมังกรของเขาแล้วออกไปจากโรงเตี๊ยม เมืองเขตมังกรดูเปี่ยมมนตราน่าหลงใหลในยามราตรีด้วยแสงโคมไฟที่แขวนทุกหัวมุมถนน พ่อค้าเร่และผู้คนจากหมู่บ้านต่างๆ พากันออกมาวางแผงขายสิ่งของแปลกประหลาด ถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เดินหัวดำหัวเทากันขวักไขว่

“ข้ากับลูกสาวมาจากหมู่บ้านแซ่วัว และได้ผ่านมาที่นี่ พวกเรามิได้หวังชื่อเสียงเงินทอง แต่เพราะว่าลูกสาวของข้าถึงวัยออกเรือนแล้วและยังไม่มีใครต้องใจนาง ดังนั้นข้าจึงต้องการหาลูกเขยผ่านการจัดประลองยุทธ และหวังใจว่าจะได้เขยขวัญผู้มีวรยุทธเป็นเลิศ..”

ฉินมู่ได้ยินเสียงนี้เลยยั้งเท้า มองไปยังเวทีประลอง เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ ผู้คนมาออกันแถวนี้จนแม้เดินเข้าไปยังแทบจะเบียดกันตาย

พ่อลูกจากหมู่บ้านแซ่วัวก็มาหาลูกเขยจากการประลองยุทธอีกแล้วหรือ คราวก่อนที่พวกเขาคัดเลือกลูกเขยก็สามปีก่อนที่วัดยายเฒ่า เป็นไปได้หรือที่พวกเขายังไม่ได้เขยสักคนหลังจากผ่านมาตั้งสามปี

แล้วเหรียญมังกรเหรียญเดียวข้าจะซื้ออะไรได้นะ

ฉินมู่กำลังคิดอยู่พอดี ก็ได้ยินเสียงคนตะโกน “ขายสมบัติล้ำค่าในราคาแค่สามเหรียญทองแดง!”

เขามองตามทิศทางเสียงและเห็นผู้คนหลายคนอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง วางแบข้าวของที่ดูแปลกประหลาด พวกมันล้วนแต่เป็นก้อนอิฐแผ่นกระเบื้องแตกๆ หักๆ

หรือว่าอิฐหักกระเบื้องแตกพวกนี้ล้วนแต่เป็นสมบัติล้ำค่า ทำไมสมบัติล้ำค่าถึงขายถูกขนาดนี้

ฉินมู่ตระหนกใจและลอบปลุกเนตรสวรรค์มองดู เขาได้แต่ส่ายหัวด้วยความผิดหวังเมื่อพบว่าสิ่งของพวกนี้ก็เป็นแค่อิฐหักกระเบื้องแตกไม่มีอะไรพิเศษ ส่วนใหญ่น่าจะขุดแงะมาจากซากโบราณสถานในแดนโบราณวินาศ พวกมันไม่มีพลังวิญญาณแม้แต่กระผีกและเนื้อสารก็ยังต่ำต้อยห่างชั้นจากสมบัติอย่างอาวุธวิญญาณเยอะ แม้ว่าท่านยกของพวกนี้ให้ผู้คนฟรีๆ คนรับก็คงจะส่ายหัวไม่เอา อย่าว่าแต่จะขายให้ด้วยราคาสามเหรียญทองแดงเลย

แต่ทว่าก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ฝึกยุทธยืนออกันอยู่หน้าแผงร้านและเลือกหยิบของพวกนั้นพลิกดูไปมา ราวกับคาดหวังว่าจะพบสมบัติล้ำค่าสักชิ้นในนั้น

ฉินมู่เดินชมดูจากร้านหนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่งเรื่อยๆ และสนใจขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาพบของดีหลายอย่างจากร้านหนึ่งในตลาด เป็นเศษแตกหักของอาวุธที่ดึงดูดสายตาเขา เศษแตกหักของอาวุธพวกนั้นเปล่งแสงจางๆ มันน่าจะเป็นชิ้นส่วนของอาวุธวิญญาณที่พอมีค่าอยู่บ้าง

เขาเดินเข้าไปถามและอึ้งกิมกี่ เศษแตกหักอาวุธวิญญาณพวกนี้ถึงกับขายในราคาสิบสองเหรียญมังกร

นี่มันต้มตุ๋นกันใช่ไหม

ฉินมู่เดินเตร่ไปต่อและเห็นร้านที่วางหม้อดินเผาไว้บนหนังแพะสิบกว่าหม้อ หม้อส่วนใหญ่แตกหักไม่สมบูรณ์ บ้างก็ฝาปิดหาย บ้างก็มีรอยร้าวตรงนั้นตรงนี้

แต่ว่าเมื่อเขามองด้วยเนตรสวรรค์ หม้อเหล่านั้นกลับเปล่งแสงเข้มข้นเจิดจ้าซึ่งเหนือล้ำยิ่งกว่าเศษอาวุธวิญญาณของร้านก่อนหน้า ซ้ำยังเจิดจ้ายิ่งกว่าอาวุธวิญญาณที่เขาเพิ่งขายไปวันนี้!

“หม้อพวกนี้ราคาเท่าไร” ฉินมู่ตรงเข้าไปถาม

“ใบละสามเหรียญทองแดง” เจ้าของแผงตอบ

ฉินมู่ควักเหรียญมังกรออกจากกระเป๋าแล้วกล่าวอย่างอาย ๆ “ข้ามีเหรียญมังกรเหรียญเดียว เจ้าขายทั้งหมดนี่ให้ข้าได้ไหม”

เจ้าของแผงทั้งแตกตื่นทั้งดีใจ เขารีบฉวยเหรียญมังกร แล้วห่อหม้อเหล่านั้นยื่นให้ฉินมู่เร็วรี่ด้วยยิ้มกว้างบนใบหน้า “พวกมันเป็นของเจ้าแล้ว!”

“เฮ้อ เด็กน้อย..”

เจ้าของแผงร้านข้างๆ หัวเราะเบาๆ “เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนึ่งเหรียญมังกรเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทองแดง”

คนขายหม้อกำเหรียญมังกรแน่น และรีบพูด “น้องชายน้อย เจ้าซื้อแล้วห้ามกลับคำนะ!”

ฉินมู่เองก็เพิ่งรู้มูลค่าของเหรียญมังกร แต่เขาโน้มตัวไปใกล้แล้วยิ้มกล่าว “ในเมื่อเจ้ากับข้าตกลงซื้อขายกันแล้ว ข้าย่อมไม่กลับคำแน่นอน ข้าคิดว่าจ่ายหนึ่งเหรียญมังกรเพื่อซื้อหม้อพวกนี้คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม”

คนขายหม้อถอนใจด้วยความโล่งอก และกำลังจะเก็บแผงกลับ ทันใดนั้นเสียงไพเราะสดใสก็ดังขึ้นมา “ช้าก่อน! น้องชายน้อย หม้อพวกนี้เจ้าจะขายต่อเท่าไร”

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและเห็นชายในชุดหรูหราสองสามคนเดินเข้ามาใกล้ และในท่ามกลางพวกเขามีหนุ่มน้อยที่แต่งกายหรูหรายิ่งกว่าคนอื่นๆ หนุ่มน้อยผู้นี้มีเครื่องหน้าที่ละเอียดงามและยังมีแก้มที่ยุ้ยเหมือนเด็กๆ เมื่อเทียบกับฉินมู่แล้ว เขายังมีบรรยากาศของความสง่างามอยู่มากกว่าหลายเท่า เขาจ้องมองหนังแพะที่ห่อหม้อเอาไว้นั้นด้วยความสนอกสนใจ

“ผู้ฝึกวิชาเทวะ?” เจ้าของแผงร้องขึ้นมา

ฉินมู่เองก็อุทาน “เจ้าคือคุณชายเจ็ดอ้วนตุ้ยนุ้ยจากเรือจักรวรรดิสันตินิรันดร์นี่!”

“คุณชายเจ็ดอ้วนตุ้ยนุ้ย?”

หนุ่มน้อยผู้นั้นชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจดจำฉินมู่ได้ในทันที เขาอับอายเล็กน้อย กัดฟันพูด “ใครคือคุณชายเจ็ดอ้วนตุ้ยนุ้ยกันหา”

ฉินมู่ไม่สนใจคุณชายเจ็ดอ้วนตุ้ยนุ้ยและมองเลยไปยังบุคคลที่ยืนข้างหลัง คนเหล่านั้นเหนือธรรมดาและมีปราณชีวิตไหลเวียนออกมาจากร่างหนึ่งในนั้นมีมังกรเขียวกระหวัดพันรอบกาย ศีรษะมังกรนั้นอยู่เหนือกว่าศีรษะเขาและมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังด้วยสายตาอันเจิดจ้าของมัน

เห็นได้ชัดเลยว่าคนผู้นี้มีกายาวิญญาณมังกรเขียวผู้ซึ่งปลุกพลังสมบัติเทวะหกทิศของเขาแล้ว เขาเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะซึ่งมีปราณชีวิตเผยแสดงรูปลักษณ์อยู่ตลอดเวลา!

แม้ว่าฉินมู่จะมีปราณชีวิตอันเข้มข้นและสามารถทำให้ปราณชีวิตเขาก่อรูปขึ้นมาได้ แต่เขาทำเช่นนี้ได้เฉพาะขณะกำลังต่อสู้เท่านั้น ต่อเมื่อปราณชีวิตของเขาพลุ่งพล่านเป็นพิเศษและรวมกับพลังเลือดเนื้อเท่านั้น ผู้อื่นจึงจะมองเห็นปราณชีวิตของเขา

แต่ผู้ฝึกวิชาเทวะนั้นแตกต่างออกไป ผู้ฝึกวิชาเทวะสามารถแสดงรูปลักษณ์ปราณชีวิตของตนเมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ วิชาเทวะของพวกเขาจะซ่อนอยู่ในปราณชีวิต และสามารถปลดปล่อยวิชาเทวะได้ทันทีเมื่อประจันกับศัตรู!

ฉินมู่เคยได้ยินท่านยายซีบอกเล่าอยู่ว่าวรยุทธขั้นทารกวิญญาณนั้นยังถือว่าเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ ต่อเมื่อฝึกปรือถึงขั้นห้าธาตุจึงจะเรียกว่าจอมยุทธผู้ซึ่งเข้าใจถ่องแท้ถึงการเปลี่ยนแปรของธาตุทั้งห้า อันวิวัฒนาการวิชาบู๊ เวทมนตร์ และอื่นๆ ไปสู่ทักษะเทวะ

และเมื่อกำแพงของสมบัติเทวะหกทิศพังทลาย คนผู้นั้นจึงจะกลายเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะ และสามารถใช้ทักษะเทวะของตนได้

แม้ว่าเมืองเขตมังกรจะไม่ใช่เมืองเล็กๆ และมีผู้ฝึกวิชาเทวะอยู่มากมาย แต่การที่มีผู้ฝึกวิชาเทวะเป็นข้ารับใช้ติดตามนั้น ถือว่าหรูหรามาก

“แน่นอน ข้าจะขายหม้อนี้ต่อ”

ฉินมู่ขบคิดอยู่นิดหนึ่งจึงกล่าวราคา “ขายใบละหนึ่งร้อยเหรียญมังกร”

เขาคิดว่าเขาอาจจะบอกราคาสูงเกินไป แต่ไม่นึกว่าคุณชายเจ็ดอ้วนตุ้ยนุ้ยจะยิ้มอย่างเอมใจแล้วผงกหัว “นั่นถูกดีนะ ตกลง ในห่อหนังแพะของเจ้ามีหม้อทั้งหมดสามสิบหกใบ ดังนั้นนี่คือเหรียญมังกรสามพันหกร้อยเหรียญ ขุนนางชั้นสูงติ่ง จ่ายเงินให้เขา”

คนที่ยืนข้างหลังเขาโค้งคารวะแล้วตอบ “รับคำสั่ง” จากนั้นเขาจึงก้าวมาข้างหน้าแล้วทำการแลกเปลี่ยนกับฉินมู่

เจ้าของแผงและผู้คนในตรอกนั้นมองกันตาค้าง หายใจกระฟืดกระฟาด ชายที่ขายหม้อให้ฉินมู่เมื่อครู่หางตาเขากระตุกอย่างรุนแรงแทบจะเป็นลมคาที่ เขาจับจ้องมองหม้อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา แต่ไม่กล้าเข้าไปแย่งฉวยมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!