70. ภูตผีมารปีศาจ
เมื่อจับมือเด็กสาว ฉินมู่ก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มและเนียนละเอียดของมือนาง ทำให้หัวใจเขาเต้นตึกตักไปครู่หนึ่ง แต่ทว่าความโหดเหี้ยมของฝูติงเยว่ก็ยังคงตามมาหลอกหลอนให้เขารู้สึกอึดอัด
เมื่อเหลียวกลับไปดูเวทีกลางทะเลสาบ ฝูติงเยว่ยังไม่หยุดมือแม้ว่าเขาจะตัดนิ้วทั้งสิบของคู่ต่อสู้แล้ว เขาเริ่มลงมือตัดเฉือนข้อมือของอีกฝ่าย ด้วยท่าทีกระเหี้ยนกระหือยิ่งกว่าสัตว์เถื่อน
ไอ้หมอนี่มันบ้า! แต่คิดๆ ดูแล้วคุณชายฝูติงเย่วดูเหมือนจะสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับข้า
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ในหัว เมื่อตอนที่ท่านยายซีเก็บเขามาจากริมน้ำ นางเกรงว่าเขาจะอดนมตาย นางจึงลอบเร้นเข้ามาในเมืองเขตมังกร และลักพาตัวภริยาของเจ้าเมืองผู้ซึ่งเพิ่งคลอดบุตรใหม่ๆ หลังจากที่สาปนางให้เป็นวัวนมเพื่อป้อนนมฉินมู่ นางก็ช่วยให้เขารอดพ้นจากช่วงเวลาอันเสี่ยงต่อการตายก่อนวัยของเด็กทารกมาได้
ทารกที่ภริยาเจ้าเมืองให้กำเนิด น่าจะเป็นฝูติงเยว่ผู้นี้
ฉินมู่เติบโตมาด้วยน้ำนมมารดาของเขา และนั่นคือความเชื่อมโยงระหว่างทั้งคู่
ฉินมู่หันกลับคืนไม่มองอีก เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่มีทางรอดชีวิตแล้ว เพียงเพื่อรางวัลร้อยเหรียญมังกร เขาก็เข้ามาในจวนเจ้าเมืองเพื่อต่อสู้ในเวทีประลอง เขาต้องมีฝีมืออยู่บ้างล่ะถึงกล้าเข้ามา แต่คงไม่คาดว่าตนจะมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
เรือนสยบแม่น้ำยังครึกครื้นด้วยการร่ายรำและเสียงเพลงเมื่อฉินมู่ติดตามหลิงอวี้จิวเข้าไปในตึก เขาเห็นนางระบำเต้นรำอยู่ในเรือน และเมื่อใดก็ตามที่นิ้วของพวกนางกรีดพลิ้วผ่านอากาศ ก็จะสร้างเสียงติงตังของดนตรี นั่นเป็นเสียงปราณชีวิตของพวกนาง ทุกมือที่วาดกรีดและทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำก็สอดคล้องประสานกับจังหวะเพลง
ฉินมู่เดาะปากด้วยความทึ่งเมื่อเห็นนางระบำทั้งเต้นอย่างอ่อนช้อยและสามารถใช้ปราณชีวิตสร้างเสียงดนตรีไพเราะได้
สองฝั่งของเรือนนี้ มีโต๊ะเล็กๆ จำนวนมากที่ผู้คนเหนือธรรมดาทั้งหลายนั่งอยู่ร่วมงานเลี้ยง และดื่มสุราชนจอกกันและกัน บางคนก็รื่นรมย์กับเพลงและการเต้นรำ และบางคนก็ชมดูเวทีบนเกาะกลางน้ำและสนุกไปกับการต่อสู้นั้น
สถานการณ์บนเวทีนั่นน่าสังเวชสุดๆ เด็กหนุ่มเจ้าของเนื้อทองแดงกระดูกเหล็กถูกทรมานจนหาสารรูปไม่ได้ แต่ทว่าไม่มีผู้ใดในเรือนแห่งนี้หยุดยั้งการทรมานอันทารุณ
หลิงอวี้จิวลากฉินมู่ไปยังโต๊ะเล็กตัวหนึ่งและนั่งลงโดยไม่ใส่ใจแขกอื่นๆ ในโต๊ะ
บรรดาผู้ที่นั่งอยู่ในเรือนสยบแม่น้ำล้วนแต่เป็นยอดยุทธฝีมือดีจากทั่วสารทิศที่แข็งแกร่งเหนือล้ำ การที่จู่ๆ ก็มีเด็กสองคนโผล่เข้ามา จึงทำให้พวกเขาตระหนกใจ แต่พวกเขาก็ไม่เอ่ยปากถามไถ่
ในความคิดของพวกเขา ตุ๊กตาหยกคู่นี้น่าจะเป็นศิษย์ของยอดฝีมือคนใดคนหนึ่ง ถือโอกาสมาเรือนสยบแม่น้ำเพื่อแสวงความสนุกและเปิดหูเปิดตา
บนโต๊ะเล็กๆ นี้เต็มไปด้วยผลไม้และอาหารอันวิเศษหายากประเมินค่าไม่ได้ ทั้งมีสัตว์พิสดารล้ำค่าที่ถูกประกอบอาหารไว้อย่างมากมาย เนื้อของพวกมันทั้งสดใหม่และนุ่มลิ้น ทำให้ฉินมู่นิ้วชี้กระดิกน้ำลายสอ
ตั้งแต่เมื่อเช้านี้ เขาก็ถูกท่านยายซีลากให้ตามไปช่วยขายวัวควายและสินค้าอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง และหิวโซมาตั้งนานแล้ว
ฉินมู่ลิ้มชิมอาหารเบื้องหน้าเขา พลันตาเป็นประกาย เขารู้สึกราวกับว่าลิ้นจะละลายไปกับความอร่อยโอชารส และแทบจะโงหัวจากอาหารไม่ขึ้น แต่กับหลิงอวี้จิว ผู้ซึ่งบอกว่าตนกำลังหิวกลับกินแค่คำสองคำ จากนั้นวางตะเกียบลงแล้วเฝ้ามองฉินมู่กินน้อยกินใหญ่ด้วยความสนอกสนใจ
ที่นั่งอยู่บนโต๊ะเล็กใกล้ๆ กับฉินมู่คือฮูหยินลัทธิผู้งามหยาดฟ้ามาดิน นางก็มองอย่างสนอกสนใจไปยังฉินมู่และเด็กผู้หญิงที่นั่งข้างๆ เขา
นางใช่ท่านยายซีหรือว่าไม่ใช่กันแน่ ฉินมู่ครุ่นคิดในใจ
นอกจากนางแล้ว ก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่จับจ้องมองฉินมู่เป็นระยะ ฉินมู่รู้สึกถึงสายตาของเขาจึงเงยหน้าขึ้นดู และอึ้งไปเล็กน้อย คนผู้นั้นสวมเสื้อเกราะและไม่ถอดมันออกแม้ว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยง เขาคือแม่ทัพหนุ่มฉินเฟยเยว่ ผู้ซึ่งเขามีโอกาสได้พบพานถึงสองครั้งสองคราบนแม่น้ำหย่ง
ฉินเฟยเยว่ก็อยู่ที่นี่ด้วย? เขาไม่ได้กลับจักรวรรดิสันตินิรันดร์หรือ
ฉินมู่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็จัดการอาหารเบื้องหน้าเขาต่อ หลิงอวี้จิวหัวเราะคิกแล้วถาม “แม่ทัพน้อยนั่นมองเจ้าไม่หยุด เขารู้จักเจ้าหรือ”
ฉินมู่กระเดือกอาหารที่คาในปากเข้าไปในคอ คิดอยู่นิดหนึ่งแล้วกล่าวตอบ “พวกเรามีวาสนาได้พบพานกันสองครั้ง และยังมีคุณชายเจ็ดอ้วนตุ้ยนุ้ยที่อยู่ข้างๆ เขาด้วย แต่ว่านี่ข้าไม่ยักกะเห็นคุณชายคนนั้นเลยแฮะ”
หลิงอวี้จิวโมโหขึ้นมา หยิกแขนเขาเข้าจังหนับ
ฉินมู่ไม่รู้ว่าเด็กสาวผู้นี้โกรธเขาเรื่องอะไร และคิดในใจ เด็กสาวผู้นี้พิลึกเสียจริง แม่ทัพฉินเฟยเยว่นั่นก็พิลึกประหลาด เมื่อเด็กหญิงผู้นี้หยิกแขนข้า เขาก็แทบกระโดดโหยงขึ้นมา คนโดนหยิกมันข้าต่างหาก ทำไมเขาทำเหมือนกับว่ารู้สึกเจ็บแทน…
ทันใดนั้นก็มีชายชราผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา “ท่านเจ้าเมือง บนเวทีนั่นใช่บุตรของท่านใช่ไหม ฝีมือดีอะไรอย่างนี้ ข้าได้ยินว่าคุณชายติงเยว่มีวรยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ในระยะพันลี้รอบๆ ที่นี่ เมื่อปีกลายนี่เอง คุณชายติงเยว่ได้ต่อสู้สามร้อยห้าสิบสามศึก และสังหารทั้งสามร้อยห้าสิบสามผู้ฝึกยุทธที่มาจากทั่วสารทิศ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รอดจากเงื้อมมือเขาไปได้ เขามีกำลังวรยุทธที่กล้าแข็งเช่นนี้ตั้งแต่อายุน้อย นับว่าน่าประทับใจเหลือล้ำ”
ฉินมู่เลิกคิ้ว และยังคงมุ่งมั่นกับการกินอาหาร
ฝูอวิ๋นตี้แย้มยิ้มขึ้นมาทันที “บุตรของข้าสังหารก็แต่พวกผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศ หากว่าเป็นคนจากโลกภายนอก บุตรของข้าก็ยังคงไม่หนักมือ”
อาวุโสไป๋ซานยิ้มกล่าว “ผู้คนที่ถูกละทิ้งเต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธฝีมือดี ทักษะฝีมือของคุณชายติงเยว่นับว่ามหัศจรรย์” เขาอุทานด้วยความทึ่งหลังจากจากที่กล่าวจบ
ฝูอวิ๋นตี้หัวเราะเบาๆ “บุตรของข้าเป็นคนใจซื่อ และไม่เคยบังคับขืนใจใครให้มาสู้กับเขา เขาเพียงแค่เชื้อเชิญผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศมาต่อสู้กับเขาโดยใช้เงินรางวัล เขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ยอมตายเพื่อสมบัติ เหมือนกับนกที่ยอมตายเพียงเพื่ออาหาร ผู้คนที่ถูกละทิ้งมาท้าทายบุตรของข้าอย่างไม่หยุดหย่อนเพียงเพื่อจะทิ้งชีวิตของพวกเขาไว้ เงินร้อยเหรียญมังกรที่ตั้งไว้เป็นรางวัล จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้แจกจ่ายออกไปสักที จะว่าไปแล้ว บุตรชายข้านี่ก็เข้าใจคิดหาความบันเทิงให้ชีวิตดีเหมือนกัน” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็หัวร่อดังสนั่น
ทุกๆ คนหัวเราะประสานเสียงไปกับเขา
ในตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสที่มีใบหน้าดำเมี่ยมก็หยุดยิ้มทันใด แล้วโพล่งด้วยเสียงกระหึ่มก้องของเขาสยบเสียงหัวเราะของทุกคน “ฮูหยินลัทธิ หลังจากเจ้าศึกษาคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมาตั้งหลายปี ข้าเชื่อว่าคืนนี้เจ้าคงมาเพื่อเปิดหูเปิดตาพวกเราใช่ไหม”
ผู้เฒ่าหน้าดำร่างผอมแกร็นเบื้องหน้าฉินมู่มีท่าทีกระเซอะกระเซิง สายตาของเขาไร้ชีวิตชีวา และเขานั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกับถ่านดำก้อนหนึ่ง แต่ทว่าเสียงของเขากลับกึกก้องสะเทือนแก้วหู
เมื่อเขากล่าวจบ สายตาของทุกผู้คนในเรือนนั้นก็หันไปจับจ้องฮูหยินลัทธิผู้เปี่ยมเสน่ห์
ฉินมู่วางตะเกียบงาช้างในมือแล้วหุบปากของเขา แต่ก็ยังช่วยไม่ได้ที่จะแอบเคี้ยวอาหารในปากอย่างลับๆ
เมื่อกลืนอาหารลงในท้อง หนุ่มน้อยก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนอดไม่ไหวหยิบตะเกียบงาช้างขึ้นมาอีกที จากนั้นคีบเนื้อปลาตาเดียวขึ้นมายัดใส่ปากอย่างรวดเร็ว
ผู้เฒ่าที่หน้าตาเหมือนกับก้อนถ่านโกรธกริ้วขึ้นมาทันที ถลึงตาจ้องฉินมู่ “หยุดกินเดี๋๊ยวนี้!”
ฮูหยินลัทธิที่อยู่ใกล้ๆ นั้นหลุดหัวเราะพรืด “ที่แท้ก็คือท่านที่นับถือแซ่เฮย มีอะไรต้องโกรธขึ้งกันล่ะ ท่านเจ้าเมืองเชื้อเชิญพวกเรามาดื่มกิน เหตุใดเขาถึงต้องหยุดกิน ข้ากล่าวถูกหรือไม่ ท่านเจ้าเมือง”
ฝูอวิ๋นตี้กระแอมไอแล้วยิ้มกล่าว “การพบปะชุมนุมกันครานี้ยังเป็นงานเลี้ยงที่หมายให้ทุกๆ คนได้ลิ้มชิมรสชาติอาหารอร่อยขึ้นชื่อของเมืองเขตมังกรข้านี้ด้วย ดังนั้นก็แน่อยู่แล้วว่าให้ทุกคนกินดื่มจนสมใจเท่าไรก็ได้”
ฮูหยินลัทธิหัวเราะด้วยเสียงรื่นหู เมื่อนางหยิบผลไม้สีแดงสดลูกหนึ่งเข้าไปในปาก จากนั้นนางจึงเช็ดทำความสะอาดมือเรียวขาวราวกลีบบัวของนาง พลางมองดูฉินมู่กินอาหารโน้นนี้ด้วยความสนอกสนใจ
หลิงอวี้จิวก็แตกตื่นตระหนก นางไม่คิดเลยว่าฉินมู่จะยังมีแก่ใจกินอาหารต่อหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น
ไม่นานนัก ฉินมู่ก็อิ่มได้ครึ่งท้อง เขาคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนควักเอากระดาษน้ำมันที่ห่ออาหารแห้งออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นเขาเลือกหยิบเอาอาหารนุ่มลิ้นโอชารสจำนวนหนึ่ง ห่อไว้ในกระดาษน้ำมันของตนอย่างระมัดระวัง
ท่านที่นับถือเฮยผู้ซึ่งเหมือนถ่านดำก้อนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะตะเพิดติเตียน “ไอ้เด็กผี เจ้ากินมันไม่หมด ยังคิดจะพกห่อกลับไปอีกรึ”
ฉินมู่ตอบอย่างอาย ๆ “ท่านยาย ท่านปู่บอด และข้าเพิ่งเข้าเมืองมาวันนี้เอง พวกเราได้กินแต่อาหารแห้งเหนียวๆ ตลอดการเดินทางมาที่นี่ ยังไม่ได้ทานอะไรเลย อาหารที่นี่อร่อยล้ำเป็นพิเศษ และเมื่อฟันของท่านยายกับท่านปู่ข้าไม่ค่อยจะดี ข้าเลยจะนำกลับไปฝากพวกเขา” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาก็มองไปที่ฮูหยินลัทธิอีกที และมีความสงสัยในใจ นางใช่ท่านยายซีหรือไม่นะ แต่เดี๋ยวก่อน นั่นมันกลิ่นชาดทาปากที่ข้าซื้อกับท่านยายซีนี่?
แววตาอ่อนโยนพลันปรากฏวูบหนึ่งในดวงตาของฮูหยินลัทธิ เมื่อนางดูเหมือนจะตื้นตันไปด้วย และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าเป็นเด็กกตัญญู ข้าชักจะชอบใจเจ้ามากขึ้นทุกที”
ทุกคนในเรือนนี้พลันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังชมดูตัวตลก เมื่อพวกเขามองฉินมู่ด้วยสายตาเวทนา ฮูหยินลัทธิเคยเป็นนางมารที่ขึ้นชื่อโด่งดังว่าชังคำพูดอวดอ้างความดีแบบคุณธรรมความกตัญญูเป็นที่สุด ไอ้เด็กผีนี่ต้องตายไร้ที่กลบฝังแน่ๆ!
ท่านที่นับถือเฮยรอจนฉินมู่ห่ออาหารเสร็จ ก่อนที่จะกล่าวอย่างเย็นชา “อิ่มหรือยัง”
ฉินมู่ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ครึ่งท้องล่ะ”
ท่านที่นับถือเฮยแค่นเสียงเฮอะด้วยความโมโห เสียงแค่นของเขาดังออกไปและเขย่าหน้าต่างทั้งร้อยบานของเรือนสยบแม่น้ำ
ฉินมู่ประทับใจและอุทานด้วยความทึ่ง “พลังวัตรผู้อาวุโสนี่แข็งแกร่งจริงๆ ข้าทำแบบท่านไม่ได้เลย”
เส้นเลือดที่หน้าผากท่านที่นับถือเฮยขึ้นปุดๆ ขณะที่เขาพยายามข่มระงับความโกรธ และรอให้ฉินมู่กินเสร็จ เมื่อเขากินเสร็จฮูหยินลัทธิผู้แย้มยิ้มตลอดเหตุการณ์นั้นถึงวางตะเกียบงาช้างในมือนางลงไปและหยุดกินเช่นกัน
ท่านที่นับถือเฮยพ่นลมหายใจฟืดที่กลั้นไว้ในอกมานานแล้วกล่าวอย่างเยียบเย็น “คราวนี้ทุกคนอิ่มแล้วใช่ไหม พวกเราจะคุยธุระกันได้หรือยัง”
ประกายตาของทุกผู้คนในตึกพลันลุกวาวและจับจ้องมองฮูหยินลัทธิ
แย้มยิ้มเดียวจากฮูหยินทำร้อยชีวิตลุ่มหลง ทำให้สายตาของทุกผู้คนในตึกยิ่งลุกวาวยิ่งกว่าเดิม “ท่านที่นับถือเฮย หากว่าข้าให้คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ท่านคิดว่าท่านจะรอดออกไปจากเมืองเขตมังกรนี้ได้หรือ ข้าเกรงว่าเจ้าเมืองคงเป็นคนแรกที่จะหยิบฉวยชีวิตท่าน ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังสงสัยว่าคนอื่นๆ ในที่นี้จะปล่อยให้ท่านเดินออกไปจากแดนโบราณทั้งตัวเป็นๆ หรือเปล่า”
ท่านที่นับถือเฮยยืนขึ้น และปราณชีวิตเบื้องหลังเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีดำดิบ ก่อรูปลักษณ์ของมารฟ้าสี่แขนท่าทางดุร้ายข้างหลังศีรษะเขา!
สามารถใช้ปราณชีวิตด้วยระดับสูงเช่นนี้ และกระทั่งก่อรูปปราณชีวิตให้แสดงลักษณ์ของเทพมาร วิชาของเขามิได้ด้อยไปกว่าเทวฤทธิ์แปดเท่าของฝูอวิ๋นตี้เลยสักนิด!
ท่านที่นับถือเฮยพลันกวาดตามองทุกคนในตึกแล้วกล่าวอย่างเยียบเย็น “หากว่าคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิมารฟ้าตกมาถึงมือเข้า มันก็ต้องเป็นของข้า ใครที่มันกล้าคิดแย่งชิง ดูท่าเจ้าจะไม่กลัวว่าจะถูกข้าสังหารตกตายสินะ”
ทุกคนในเรือนนั้นเผยรอยยิ้ม แต่ไม่กล่าวอะไร
ฮูหยินลัทธิหัวเราะเบาๆ “ที่นี่มีทั้งแขกผู้ทรงเกียรติจากจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และยอดฝีมือที่เร้นกายในแดนโบราณวินาศ เจ้าจะกำจัดพวกเขาไปได้หมดสิ้นหรือ แม่ทัพหนุ่มผู้นี้คงจะมาจากจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ข้ากล่าวถูกหรือไม่”
คนที่นางกล่าวถึงย่อมเป็นฉินเฟยเยว่ นางยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ข้าได้ชื่อเสียงของท่านราชครูดังอสุนีบาตฟาดกรอกหูว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งใต้เทวะ ดังนั้นศิษย์ของเขาย่อมไม่ธรรมดาสามัญเช่นกัน”
ฉินเฟยเยว่โค้งเล็กน้อย กล่าว “แม่ทัพน้อยผู้นี้นามว่าฉินเฟยเยว่ และเป็นศิษย์ของท่านราชครูสันตินิรันดร์จริง แต่อย่างไรก็ดี ข้าไม่ได้มาที่นี่โดยมีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับฮูหยินลัทธิและมิได้มีความสนใจในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ฮูหยินลัทธิอาจจะเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในแดนดิน และคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตอาจจะเป็นหนทางการสำเร็จเป็นเทพเจ้า หากแต่ท่านราชครูมิได้ใส่ใจของพวกนี้”
น้ำเสียงของเขามีความหยิ่งยโสโดยธรรมชาติ ในฐานะอันดับหนึ่งใต้เทวะ ท่านราชครูย่อมไม่สนใจวิชาอื่นใด แม้ว่าวิชานั้นจะเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิมารที่ทำให้ผู้คนสำเร็จเป็นเทพเจ้าได้!
ทันใดนั้นก็มีเสียงเยาะหยันลอยมา “ที่นี่คือแดนโบราณวินาศ ไม่ใช่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ ใครสนใจกันว่าราชครูจะคิดอย่างไร”
ฉินเฟยเยว่เผยรังสีสังหารและมองไปยังทิศทางเสียง ผู้ที่กล่าวคำพูดนี้เป็นชายคนหนึ่งที่นั่งตรงกันข้ามเขา ชายผู้นี้ร่างใหญ่บึกบึนและมีหนวดโง้ง เสื้อของเขาเปิดเปลือยครึ่งหนึ่งและนั่งอยู่กับเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสบายๆ มือหนึ่งของเขาหยิบฉวยอาหารมาแทะทาน ส่วนอีกมือก็ลูบขี้ไคลบนพุงของเขา ลูบสองสามที เขาก็ปั้นก้อนดำๆ ออกมาได้ก้อนนึง แล้วดีดมันกระเด็นไปทางอื่นๆ สุ่มสี่สุ่มห้า
ฉินเฟยเยว่ขมวดคิ้วและแสดงสีหน้ารังเกียจ คนเถื่อนไร้อารยธรรมในแดนโบราณวินาศนี่สกปรกหยาบช้าเหลือเกิน ข้าไม่จำเป็นต้องลดตัวไปโต้เถียงกับมัน ไว้รอกองทัพใหญ่ของท่านราชครูยกมาถึงก่อนเถอะ ไม่ว่าภูตผีมารปีศาจที่ไหนก็จะต้องศิโรราบให้กับท่านราชครู
จากนั้นเขาจึงเหลือบมองเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ ฉินมู่อีกครา แล้วรู้สึกนั่งไม่ติดเก้าอี้ราวกับอยู่บนดงเข็ม ทำไมองค์หญิงเจ็ดถึงไปมั่วสุมอยู่กับเด็กนั่นจากหมู่บ้านพิการชรา เมื่อกี้ องค์หญิงถึงกับหยิกเขาด้วย ทำไมถึงดูสนิทอะไรขนาดนั้น หากว่าเรื่องนี้แพร่ออกไป จะเอาหน้าตาราชสำนักไปไว้ที่ไหน…