Skip to content

Tales of Herding Gods 73

73. การลอบสังหารบนถนนขบวนแห่

ราตรีนี้ของเมืองเขตมังกรดูท่าจะครึกครื้น

“มีคนสะกดรอยตามข้า”

เมื่อฉินมู่ออกมาจากจวนเจ้าเมือง เขาก็รู้สึกทันทีว่ามีคนสะกดรอยตาม ผู้ฝึกวิชาเทวะจากจวนเจ้าเมืองไม่คิดจะปิดบังร่องรอยเลยแม้แต่น้อย พวกเขาคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องซุ่มซ่อนตัวเมื่อตามสะกดรอยผู้ฝึกยุทธอ่อนหัดนี้ ดังนั้นจึงไล่ติดตามเขาไปโดยเปิดเผย

เมืองเขตมังกรในขณะนี้ มีรถขบวนดอกไม้แห่กันอยู่บนถนน พ่อค้าในเมืองประดับประดารถดอกไม้อันสูงหลายวาด้วยดอกไม้และวัสดุต่างๆ ให้เป็นรูปสัตว์พิสดาร มารและเทพหลากหลายรูปลักษณ์ บนรถดอกไม้เหล่านั้นมีนางระบำหญิงเต้นรำอย่างอ่อนช้อยงดงาม นางระบำก็ตกแต่งร่างกายด้วยอาภรณ์ที่เลียนแบบจากเครื่องแต่งกายของรูปสลักหินตามหมู่บ้านต่างๆ เมื่อฉินมู่เดินไปตามถนนขบวนแห่ ก็คล้ายกับว่าเขาหลุดเข้าไปในโลกที่เทพและมารเริงระบำ

ถนนขบวนแห่สร้างเสียงคึกคักอื้ออึง ผู้คนคับคั่งเบียดเสียดยัดเยียดกันไปมา ทั้งสองฝั่งถนนประดับไว้ด้วยโคมไฟและเสาหินใหญ่ บนยอดเสาหินก็จะมีอ่างคบเพลิงเติมน้ำมันไว้จุดไฟสว่างจ้า

มีนักกายกรรมเดินบนขาต่อสูงจากพื้นกว่าสิบห้าวา หนึ่งก้าวเขาเดินได้ไกลเกือบสิบวา และขณะที่ผู้ฝึกยุทธเดินอยู่บนไม้ต่อขานั้นเดินไป เขาก็ถือขวดน้ำเต้าใส่น้ำมันฉีดละอองน้ำมันออก พ่นไฟจากปากสร้างเปลวไฟเลื้อยยาวเหยียดเหมือนงูเพลิง

ที่นี่ครึกครื้นคึกคัก แต่ในขณะเดียวกันก็มีความดิบเถื่อนของแดนโบราณวินาศ

ฉินมู่เดินเข้าไปในฝูงชนและทันใดนั้นท้องฟ้าก็กลายเปนเจิดจ้า ริ้วเส้นแสงปรากฏบนท้องฟ้าประสานกันไปมา ริ้วแสงเหล่านั้นพลันพองตัวออกเป็นมังกรเงินหลายต่อหลายตัวแหวกว่ายทะยานกรีดท้องฟ้าเหนือถนนขบวนแห่

ปัง ปัง

แรงสั่นสะเทือนแล่นมาจากริ้วแสงจ้าที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ริ้วแสงเหล่านั้นจมหายไปในความมืดเหนือเมืองเขตมังกร และถูกดูดซับโดยมวลมืดที่คลี่คลุมอยู่โดยไม่เกิดแม้ริ้วกระเพื่อม แม้แต่พลานุภาพมหาศาลในริ้วพลังเหล่านั้นก็หายวับไปราวกับวัวโคลนจมทะเล

ฝูงชนโห่ร้องด้วยความสนุกสนานทันใด พวกเขาคิดว่ามันคือพลุดอกไม้ไฟแทนที่จะเป็นการปะทะของยอดฝีมือบนอากาศเหนือหัวพวกเขา โชคดีที่แรงปะทะเหล่านั้นพุ่งไปยังความมืดบนท้องฟ้า มิเช่นนั้นผู้คนบนถนนคงล้มตายกันเป็นเบือ

มังกรเงินเหล่านั้นแหวกว่ายไปๆ มาๆ และเงาร่างที่น่ากลัวปรากฎท่ามกลางแสงมังกรวูบวาบนั้นราวกับเหล่ามารเทพ นั่นคือเจ้าเมืองเขตมังกรฝูอวิ๋นตี้ ท่านที่นับถือเฮย สตรีหน้าเหลือง และคนอื่นๆ ปะทะประมือกันไปมาบนท้องฟ้า

ฉินมู่เองก็ลดเลี้ยวไประหว่างฝูงชนเพราะสถานที่นี้ไม่ปลอดภัย แม้ว่าพลังปะทะของยอดยุทธเหล่านั้นจะพุ่งใส่ท้องฟ้า แต่อะไรจะประกันได้ว่ามันจะไม่หันลงมาใส่พื้น

เลือดคงนองเป็นท้องธารและผู้คนมากมายคงกลายเป็นซากศพ!

เสียงคำรามสายฟ้าดังสนั่นเหนือเมืองเขตมังกร สนั่นด้วยความเร็วมหันต์ บางครั้งสายฟ้าก็ฟาดทางทิศตะวันออกของเมือง และบางครั้งก็ทิศตะวันตก ย้ายทิศเปลี่ยนทางรวดเร็วปานไฟฟ้า

เบื้องหลังฉินมู่ ผู้ฝึกวิชาเทวะจากจวนเจ้าเมืองก็ไล่ตามเขาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าฉินมู่จะมุดหลบไปในระหว่างผู้คนคับคั่ง ก็ไม่สามารถสลัดพวกนั้นหลุดไปได้

“ประสบการณ์คราวนี้แปลกพิลึกเสียจริง แต่ข้านี่ก็ไม่สามารถระงับจิตสังหารของตนและเข่นฆ่าลูกชายเจ้าเมืองเสียได้ ข้าต้องรีบไปบอกท่านยายและท่านปู่บอด เพื่อให้หลีกหนีจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด!”

ฉินมู่ซึ่งกำลังจะเร่งฝีเท้า พลันได้ยินเสียงมังกรคำรณจากข้างหลัง ผู้ฝึกวิชาเทวะหนึ่งคนที่มีมังกรเขียวกระหวัดรอบกายเขากระโจนใส่ฉินมู่ แม้ว่าจะอยู่ห่างกันกว่าสิบวา แต่มังกรเขียวจากร่างผู้นั้นก็ซัดพุ่งใส่หมายจะสยบฉินมู่ลงกับพื้น!

ฉินมู่กำลังจะหลบ แต่ทันใดแถบผ้าไหมขาวอันห้อยประดับที่ตึกข้างๆ ถนนก็พุ่งเข้าไปม้วนรัดคอของผู้ฝึกวิชาเทวะนั้น ลากเขาไปจากฝูงชนหายวับเข้าไปในห้องที่แถบแพรห้อยลงมา

ในตึกนั้น มีหญิงสาววัยสะคราญชัดมีดลับออกมาจากแขนเสื้อแล้วปักใส่หน้าอกของผู้ฝึกวิชาเทวะ

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมอง หญิงสาวเหล่านั้นคือพี่สาวสามสี่คนที่โบกมือร้องเรียกเขาขึ้นไปเล่นในตอนที่เขาเข้ามาในเมืองครั้งแรก

เขาเดินต่อไปและผ่านตรอก ในตรอกนั้นมีผู้ฝึกวิชาเทวะที่สวมหมวกไม้ไผ่ซึ่งชะงักทันทีที่เห็นฉินมู่ผ่านมา และทันใดนั้นก็มีคลื่นโถมซัดมาจากในตรอก ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า คลื่นยักษ์นั้นเหมือนงูร้ายอันง้างเขี้ยวฉกใส่ฉินมู่ ในปากงูคลื่นมีปลาสีเงินซึ่งดูเหมือนจะเป็นอาวุธวิญญาณ

และในจังหวะนั้น ก็มีร้านตีเหล็กอันอยู่ตรงข้ามกับตรอก ช่างตีเหล็กในร้านเป็นยักษ์ที่สูงสิบวา เขากำลังหลอมตีดาบเหล็กกล้าขนาดยาว ด้ามดาบยาวสามวาขณะที่ใบดาบยาวสี่วา ยักษ์ตนนั้นคว้ากำดาบยาวและแทงมันทะลุผ่านกำแพงตรอก เสียบร่างผู้ฝึกวิชาเทวะในหมวกไม้ไผ่สาน ปักร่างเขาคาไว้กับกำแพง

ยักษ์ช่างตีเหล็กดึงดาบกลับแล้วเช็ดเลือดที่ติดอยู่บนใบดาบ จากนั้นจึงใช้ค้อนทุบหลอมตีมีดนั้นในไฟร้อนแรงของเตาหลอมต่อ

ฉินมู่อึ้งจนพูดไม่ออก และเดินคืบหน้าต่อไป เสียงฆ้องและกลองในถนนขบวนแห่ดังลั่น เงาร่างกระโดดโลดเต้นจากหลังคาหนึ่งไปยังอีกหลังคาหนึ่งอย่างรวดเร็ว พวกเขาคือผู้ฝึกวิชาเทวะจากจวนเจ้าเมืองที่มุ่งหน้าเข้าใกล้ฉินมู่ทุกขณะจิต

หนึ่งในผู้วิชาเทวะเหล่านั้นกระโดดลงมา แต่ไม่ทันที่เท้าของเขาจะได้แตะพื้น อสรพิษในตะกร้าของคนเป่าปี่เรียกงูก็โผล่หัวออกมาทันใด ส่วนหัวงูนั้นพลันขยายใหญ่ยักษ์ และอ้าปากงาบกลืนผู้ฝึกวิชาเทวะซึ่งกระโดดลงมาจากหลังคาไว้ในฮวบเดียว จากนั้นศีรษะของอสรพิษก็ย่อกลับลงเป็นปกติ แล้วเลื้อยหดกลับเข้าไปในตะกร้า

ผู้ฝึกเทวะคนอื่นๆ ที่เหลือกระโดดลงมาถึงพื้นและแทรกตัวซอกแซกไประหว่างฝูงคน หนึ่งในนั้นผ่านร้านสุราซึ่งเสี่ยวเอ้อในร้านกำลังรับชมดูรถขบวนแห่อย่างสนุกใจ ทันใดนั้นเสี่ยวเอ้อร้านสุราก็ยกไหสุราใหญ่คว่ำครอบหัวผู้ฝึกวิชาเทวะ เมื่อผู้ฝึกวิชาเทวะนั้นหลุดเข้าไปในไห กระดูกและเนื้อหนังของเขาก็ละลายไปทันที ทำให้เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของไหสุรา

เสี่ยวเอ้อร้านสุราวางไหนั้นลงกับที่และจัดการผนึกปากไหอย่างเรียบร้อย

ผู้ฝึกวิชาเทวะอีกคนหนึ่งไปเจอคนเมาในฝูงชน ขี้เมาคนนั้นพ่นไฟใส่เขาและทำให้ร่างเขากลายเป็นเถ้าถ่าน บางคนก็ถูกลอบสังหารปาดคอตาย บางคนก็ถูกลากเข้าไปในรถแห่โดยนางระบำและหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย

พวกผู้คนที่ช่วยเหลือข้าคือใครกัน พวกเขาคือลัทธิมารฟ้าหรือเปล่านะ ลัทธิมารฟ้ามีอิทธิพลในเมืองมากขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย

เขามาถึงโรงเตี๊ยม และขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปข้างในก็เห็นเฒ่าบอด

ข้างๆ โรงเตี๊ยมคือบ่อนพนัน และขณะนี้เฒ่าบอดถูกชายในชุดดำสองคนหิ้วปีกมาโยนไว้กับพื้น

ฉินมู่รีบเดินเข้าไปใกล้ ขณะที่เฒ่าบอดตะกายขึ้นมาจากพื้นด้วยตนเอง เขาตบตูดไล่ฝุ่นแล้วตะโกนกลับไปยังบ่อน “ไม้เท้าไผ่ข้า!”

ประตูบ่อนพนันแง้มออกนิดหนึ่ง แล้วไม้เท้าไผ่ก็ถูกโยนลงกลางกบาลของเฒ่าบอด

เฒ่าบอดก้มหยิบไม้เท้าของตนเองแล้วยิ้มหัว “รอบนี้โชคข้าไม่ค่อยดี แต่คราวหน้าข้ารับรองว่าพวกเจ้าจะจับกลโกงข้าไม่ได้แน่นอน ข้าจะต้องชนะเงินทั้งหมดกลับมาให้ได้! มู่เอ๋อ นั่นเจ้ารึ มานี่ๆ ข้าเจอเรื่องน่าสนใจ วันนี้ข้าเห็นแม่ไก่ตัวใหญ่แต่งตัวสะสวยออกไปเที่ยวเล่นสนุก แล้วยังมีพ่อไก่น้อยที่ตามนางต้อยๆ ไปเที่ยวด้วย”

ฉินมู่งงงวย “พวกนั้นก็แค่ไก่สองตัว มีอะไรแปลกด้วยหรือ ท่านปู่บอด พวกเราเข้าโรงเตี๊ยมกันเถอะ”

เมื่อพวกเขากลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม เสียงอุทานของท่านยายซีก็ดังลั่นออกมา ฉินมู่รีบบุกเข้าไปในห้อง และเห็นท่านยายซีถือถุงทองเบิกตาจ้องด้วยความแตกตื่น

ฉินมู่ยืนตะลึงมองท่านยายซีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นรีบผลักหน้าต่างเยี่ยมหน้าออกไปดู ข้างนอกนั่น เขาเห็นมังกรเงินที่แปรลักษณ์จากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตต่อสู้กับยอดฝีมือข้างนอก เมื่อเขาเหลียวกลับไป ก็เห็นท่านยายซีอยู่ในห้อง ทำให้เขางุนงงอย่างหนัก

หรือว่าฮูหยินลัทธิที่ข้าพบในจวนเจ้าเมืองจะไม่ใช่ท่านยายซี

ใจฉินมู่ยิ่งฉงนฉงาย และเขายิ้มกล่าว “ท่านยายเพิ่งกลับมาหรือ ข้าเอาอาหารกลับมาเผื่อท่านกับท่านปู่บอดด้วย” จากนั้นเขาจึงนำห่อกระดาษน้ำมันออกมาวางไว้บนโต๊ะและเปิดมันออก

ตาพร่าเลือนของท่านยายเผยความรู้สึกตื้นตันใจ นางนั่งลง ตัวสั่นเล็กน้อย แล้วกล่าว “มู่เอ๋อนี่ก็กตัญญูจริงๆ ว่าแต่เหรียญมังกรถุงนี้นี่ไปอย่างไรมาอย่างไร”

ฉินมู่มองไปที่ดวงตาของท่านยายซีและพิศวง สายตาของท่านยายซีเหมือนกับสายตาของฮูหยินลัทธิไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่กลิ่นชาดทาปากก็เป็นกลิ่นเดียวกัน

แต่ว่า ทำไมข้างนอกยังมีมังกรเงินอันขยายร่างจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตต่อสู้อยู่ล่ะ

เขาระงับความคิดวุ่นวาย แล้วบอกผู้เฒ่าทั้งสองถึงประสบการณ์ที่พบพานในตรอกเล็ก

ท่านยายซีมีสีหน้าพิลึก เมื่อนางกล่าวด้วยความอึ้ง “จะ…เจ้าใช้เหรียญมังกรเพียงเหรียญเดียว เพื่อหากำไรได้มากกว่าสามพันเหรียญอย่างนั้นรึ หากยายรู้ว่าเจ้ามีเงินตั้งมากมายก่อนหน้านี้ ข้าคงไปภัตตาคารร้านหรูๆ แทนที่จะบากหน้าไปขอข้าวฟรีงานเลี้ยงเขากิน”

จากนั้นฉินมู่จึงบอกเล่าถึงการที่เขาได้พบพานกับหญิงงามสะคราญโฉมในจวนเจ้าเมือง จากนั้นถึงเอ่ยปากถาม “ท่านยาย ข้าได้สังหารบุตรชายของเจ้าเมือง ดังนั้นพวกเราจึงไม่ควรอยู่ที่นี่นาน พวกเรารีบออกจากเมืองกันเถอะ!”

ท่านยายซีดึงปิ่นหยกออกจากมวยผม แล้วกระดิกมันเล็กน้อย ทันใดนั้นเส้นไหมละเอียดก็โบยบินมาจากภายนอก ม้วนพันรอบปิ่นหยกโดยอัตโนมัติกลายเป็นกลุ่มก้อนไหมพรมภายในไม่กี่วินาที นางโยนก้อนไหมพรมนั้นลงในตะกร้าแล้วแย้มยิ้ม “ข้าสาปภริยาเจ้าเมืองให้เป็นวัว และเจ้าก็สังหารบุตรของพวกเขา เจ้าเมืองนี่ช่างเคราะห์ร้ายเสียจริง แต่ถึงยังไงก็มีชะตาร้ายกาจกว่านั้นรอเขาอยู่ในภายภาคหน้า เขาก่อกรรมทำเข็ญมากมายเกินไป และกรรมชั่วเหล่านั้นกำลังรอที่จะสนองเขา ในเมื่อเจ้าหาเหรียญมังกรพวกนี้มาได้ เจ้าก็เก็บมันไว้เถอะ บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต”

เสียงคำรามสะเทือนโลกดังมาจากภายนอก ในบรรดาเสียงเหล่านั้น ท่านที่นับถือเฮยตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ฮูหยินลัทธิหนีไปแล้ว!”

“รีบค้นให้ทั่วทุกพื้นที่ พวกเจ้าขุดนางออกมาให้ได้!”

“ข้างนอกเต็มไปด้วยความมืด นางปีศาจสาวผู้นี้ไม่มีทางหลบหนีไปจากเมืองได้!”

เฒ่าบอดเอียงหัวเงี่ยหูฟังความปั่นป่วนวุ่นวายภายนอก แล้วโพล่งขึ้นมา “แม่ทัพน้อยแซ่ฉินนั่นยังคงอยู่ที่นี่ไม่กลับไปจักรวรรดิ ด้วยแผนที่ภูมิประเทศแม่น้ำหย่งในมือ เห็นได้ว่าเขากำลังรอราชครูสันตินิรันดร์ ราชครูวางแผนจะยกกองกำลังเข้ามาในแดนโบราณวินาศ และเมืองเขตมังกรก็จะเป็นแนวหน้าแรกที่จะรับการปะทะ ในเมื่อแม่ทัพน้อยฉินพักอยู่ในจวนเจ้าเมือง ก็แปลว่าเจ้าเมืองเขตมังกรฝูอวิ๋นตี้บรรลุข้อตกลงกับเขา เมื่อเวลานั้นมาถึง เมืองเขตมังกรก็จะเป็นปราการฐานทัพให้กับจักรวรรดิในการรุกรานแดนโบราณวินาศ เมืองนี้ใหญ่โตมโหฬาร และสามารถรองรับไพร่พลทหารม้ามากกว่าหมื่นนาย”

ท่านยายซีฟังแล้วก็ยิ้มหวาน “ดังนั้นฝูอวิ๋นตี้จึงต้องตาย”

เฒ่าบอดพยักหน้าแล้วกล่าว “เขาต้องตาย มู่เอ๋อสังหารบุตรของเขา และเมื่อมู่เอ๋อออกไปจากเมือง เขาจะต้องรีบรุดตามไปอย่างแน่นอน และนั่นคือวันที่เขาจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ แดนโบราณวินาศไม่ใช่สถานที่ที่ราชครูสันตินิรันดร์นึกจะมาก็มาได้ เขาควรไสหัวกลับไปจักรวรรดิโดยเร็ว”

ฉินมู่มองเฒ่าบอดทีท่านยายซีที เขาไม่รู้ว่าสองคนนี้กำลังวางแผนอะไร

แต่อย่างไร มันก็น่าแปลกใจ ท่านยายซีแทบไม่เคยพาท่านปู่บอดเข้ามาในเมือง แต่กลับพาเขามาในครั้งนี้ ตอนแรกฉินมู่ไม่ได้คิดอะไร แต่ในเมื่อตอนนี้เขาฉุกใจคิด เขาก็พบว่าเรื่องนี้ช่างน่าประหลาด

หากท่านปู่บอดหมกอยู่แต่ในบ่อนพนันตลอดไม่ได้ออกไปไหน เขารู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในจวนเจ้าเมือง

หรือว่าค่ำคืนนี้ท่านปู่บอดก็อยู่ในจวนเจ้าเมืองเช่นกัน

“รีบเข้านอนเถอะมู่เอ๋อ ไม่แน่ว่ายายจะได้เป็นเจ้าเมืองเขตมังกรในวันพรุ่งนี้!”

ฉินมู่เข้านอนที่ห้องด้านนอก ส่วนท่านยายซีเข้าไปหลับในห้องชั้นใน และตอนที่ฉินมู่สะลึมสะลือใกล้จมในนิทราเต็มแก่ เขาก็ได้ยินเสียงท่านยายซีนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงและพึมพำกับตัวนางเอง “ข้าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ! ไม่เพียงแค่ข้าจะเอาเสามังกรกลับบ้าน แต่นี่ทั้งเมืองกำลังจะเปลี่ยนเป็นสมบัติของแซ่ซี! แย่จริงเชียว ข้านอนไม่หลับเลย ฮี่ๆ…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!