82. คำว่าฉิน ในฉินมู่
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลิงอวี้จิวแวะมาหาฉินมู่ที่โรงเตี๊ยมเพื่อร่ำลา
นางยังเหมือนเดิม ใช้ปอยผมงามสลวยของนางปิดข้างแก้มให้ดูผอมลง นางนั่งอยู่ข้างฉินมู่สั่งชาเขียวมาหนึ่งกา และจ้องมองเขาด้วยดวงตาสุกใส “แดนโบราณวินาศเป็นสถานที่ยากจนข้นแค้น ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยในระยะยาว โลกที่เจ้าเห็นได้ที่นี่ก็มีแต่ความรกร้างป่าเถื่อน ต่อเมื่อเจ้าเดินออกไปจากแดนโบราณวินาศจึงจะได้พบพานกับความกว้างใหญ่ของโลกภายนอก ข้างนอกนั้น ทั้งเวทมนตร์และวิชาเทวะล้วนแต่พัฒนารุดหน้าไปทุกวี่วัน เพราะราชครูและองค์จักรพรรดิได้สร้างชนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยความความทะเยอะทะยานและความสามารถ เวทมนตร์และวิชาเทวะของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อแห่งการเปลี่ยนแปลง! เจ้าทั้งใจกล้าทั้งมีศักยภาพ ดังนั้นข้าไม่อยากให้เจ้าตกค้างอยู่ในแดนรกร้างห่างไกลนี้ แม้ข้าจะเป็นหญิงแต่ข้าก็มีใจทะยานหมายประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ หากว่าเจ้าอยากไปด้วยกับข้า พวกเราก็ออกไปพร้อมกันวันนี้ได้เลย”
ฉินมู่อึ้งไปครู่หนึ่ง เขาควรตามเด็กสาวผู้นี้ไปจักรวรรดิสันตินิรันดร์ดีไหม
ใจจริงเขาน่ะอยากจะออกไปจากแดนโบราณวินาศเพื่อแสวงประสบการณ์ในโลกภายนอก แดนโบราณวินาศนั้นอันตรายเกินความสามารถของเขาในขณะนี้ ทำให้เขาไม่อาจจะออกไปสำรวจสถานที่ต่างๆ ในแดนโบราณวินาศได้ แม้แต่ยอดคนไร้เทียมทานอย่างผู้ใหญ่บ้านก็ยังมิอาจสำรวจแดนโบราณวินาศได้ถ้วนทุกซอกทุกมุม
สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือประสบการณ์
ผู้คนนอกแดนโบราณวินาศก็จะเข้ามาแสวงประสบการณ์ในแดนโบราณวินาศ แต่สำหรับเขา เขาต้องการออกไปจากแดนโบราณวินาศเพื่อแสวงประสบการณ์ คำเชื้อเชิญของหลิงอวี้จิวนับว่ายวนใจไม่ใช่เล่น
แม้ว่าราชครูกระเหี้ยนกระหือที่จะรวบรวบแดนโบราณวินาศเป็นหนึ่งเดียวและเข้าครอบครอง แต่ฉินมู่ก็ไม่ได้เกลียดชังเขานัก ในทางตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกว่าราชครูเป็นคนที่น่ายกย่อง
การที่ราชครูสันตินิรันดร์สามารถเปลี่ยนแปลงและช่วงใช้สำนักต่างๆ ให้ร่วมกันสรรค์สร้างยอดวิชา เพื่อพัฒนายกระดับวิชาเวทมนตร์และวิชาเทวะ ความคิดจิตใจอันยิ่งใหญ่ และพรสวรรค์อันสูงล้ำเช่นนี้ ฉินมู่ได้แต่รู้สึกนับถือ
เขาอยากจะออกไปพบปะกับชนยุคใหม่แห่งยุทธภพ และสุดยอดวิชาใหม่ๆ ที่คนเหล่านั้นร่วมกันสรรค์สร้างขึ้นมา
“แล้วเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ” ฉินมู่ถาม
“ในเมืองหลวง” หลิงอวี้จิวตอบ
หนุ่มน้อยครุ่นคิดแล้วยิ้มกล่าว “เมืองหลวงจักรวรรดิสันตินิรันดร์ แน่นอนว่าข้าต้องไปที่นั่น เจ้ากลับเมืองหลวงไปก่อนเถอะ แล้วข้าจะตามหาเจ้าอีกทีเมื่อข้าไปถึง”
หลิงอวี้จิวขมวดคิ้ว “เจ้าไม่มาด้วยกันกับข้าหรือ”
ฉินมู่ปวดหัวขึ้นมาทันที “ผู้ปกครองของข้ามีกฎเข้มงวด ข้าจะต้องผ่านการทดสอบของพวกเขาก่อนที่จะออกไปจากหมู่บ้านได้ ข้ามีผู้ปกครองเก้าคน ดังนั้นก็จะมีการทดสอบเก้าอย่างที่ข้าจะต้องฟันฝ่าก่อนที่จะสามารถออกไปแสวงประสบการณ์”
หลิงอวี้จิวฟังแล้วก็ตกใจ “ด้วยพลังฝีมือของเจ้า ยังไม่นับว่าผ่านการทดสอบอีกหรือ”
นางรู้สึกไม่น่าเชื่อ ด้วยการเสยมีดเดียว ฉินมู่สามารถสังหารฝูติงเยว่ได้อย่างน่าตะลึงแบบที่ผู้ชมดูต้องกลั้นลมหายใจ ท่านพึงรู้ว่าฝูติงเยว่คือผู้ฝึกยุทธอันดับหนึ่งในเมืองเขตมังกร แม้ว่าอันดับหนึ่งในเมืองเขตมังกรจะไม่ได้พิเศษอะไรในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ แต่ความสามารถของฉินมู่นับว่าสูงล้ำโดดเด่นในขั้นทารกวิญญาณ ในสายตาของนางพลังฝีมือของเขาสามารถจัดไว้หนึ่งในสิบยอดผู้ฝึกยุทธของจักรวรรดิ
แต่ด้วยความสามารถโดดเด่นระดับนี้ ฉินมู่กลับไม่อาจผ่านบททดสอบของผู้ปกครองได้อย่างนั้นหรือ
“กฎเกณฑ์ในครอบครัวข้าค่อนข้างเข้มงวดน่ะ”
ฉินมู่ตอบอย่างอายๆ “ข้าเลยต้องผ่านการทดสอบเก้าอย่างก่อนที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ใหญ่ ทว่าจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่ผ่านสักการทดสอบ”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะรอเจ้าที่เมืองหลวง อ้อ…จริงสิ ที่ด่านชายแดนจะมีกระจกตรวจสอบอยู่ หากว่าเจ้าผ่านไปทางชายแดน เจ้าต้องระวังให้มากๆ”
หลิงอวี้จิวยืนขึ้น และกำลังจะเดินออกไป แต่ทันใดนั้นนางก็ยั้งเท้าแล้วหันมายิ้มในแบบที่ไม่เชิงยิ้ม “ข้าให้ผ้าเช็ดหน้าเจ้า แล้วเจ้าไม่ให้อะไรข้าตอบแทนหน่อยหรือ”
ฉินมู่ตบปุปะตามเนื้อตัว แต่ไม่พบอะไรที่มีคุณค่าพอจะนับได้เป็นของขวัญ เมื่อคิดสักพัก เขาก็ดึงค้อนเหล็กมหึมาจากหลัง แล้วส่งให้นาง
หลิงอวี้จิวไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ นางกัดริมฝีปากสีแดงของตนแล้วเอ่ยถาม “นี่เจ้าให้ค้อนใหญ่เป็นของขวัญเด็กผู้หญิงหรือ”
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ แล้วปลดมีดเชือดหมู ไม้เท้าไผ่ หมึกและพู่กัน กับถุงเหรียญมังกร พูดงึมงำ “เลือกเอาที่เจ้าชอบ…”
หลิงอวี้จิวปวดหัวหนักกว่าเดิมแล้วแบกค้อนยักษ์ออกจากโรงเตี๊ยม ข้างหน้าโรงเตี๊ยมนั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนมากยืนรอสองข้างประตู ฉินเฟยเยว่จูงม้าศึกยืนรออยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นหลิงอวี้จิวเดินออกมา เขาก็มองค้อนเหล็กในมือนางด้วยสีหน้าประหลาด แม้ว่าเขาจะฉงนใจ แต่ก็ไม่สอดถาม เขากล่าวทันที “เรือเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว คุณชาย…เอ่อะ…องค์หญิงเจ็ด เชิญท่านขึ้นม้า!”
หลิงอวี้จิ้วเหวี่ยงตัวกระโดขึ้นหลังม้าในปราดเดียว และมองไปยังฉินมู่ที่ยืนอ้าปากค้างอยู่หน้าโรงเตี๊ยม นางขยิบตาให้เขาแล้วแลบลิ้นใส่
ฉินมู่จ้องตะลึงและพูดแทบไม่ออก “จะ…เจ้า”
“ข้าคือคุณชายเจ็ดที่เจ้าว่าข้าอ้วนตุ้ยนุ้ย! เด็กเลี้ยงวัว ไว้เจอกันในเมืองหลวง!”
หลิงอวี้จิวหัวเราะคิกคัก เสียงของนางไพเราะราวระฆังเงิน มือหนึ่งนางถือค้อนเหล็ก อีกมือถือแส้หวดม้า
ฉินมู่ยืนทื่อกำผ้าเช็ดหน้าหอมกรุ่นในมือ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ฉินเฟยเยว่โบกมือเป็นสัญญาณ ผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนมากจากสันตินิรันดร์ก็รีบรุดตามม้าศึกของหลิงอวี้จิวไปในทันที จากนั้นเขาก็ปรายตาไปทางโรงเตี๊ยมก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมและทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าฉินมู่ เขาจ้องเข้าไปในตาของฉินมู่ด้วยสายตาคมกล้าแล้วถาม “เจ้าแซ่ฉิน?”
ฉินมู่ดึงสติกลับจากความแตกตื่นใจที่รู้ว่าหลิงอวี้จิวคือคนคนเดียวกับคุณชายเจ็ดอ้วนตุ้ยนุ้ย เขาพยักหน้าแล้วตอบ “แม่ทัพก็แซ่ฉินเหมือนกันใช่ไหม ข้าได้ยินผู้คนเรียกหาท่านว่าแม่ทัพน้อยฉิน”
“ในโลกกว้างใหญ่นี้มีผู้คนนับไม่ถ้วนที่แซ่ฉิน”
ฉินเฟยเยว่รินชาให้ตนเองแล้วกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “บางคนโชควาสนาต่ำ ดังนั้นจึงเกิดในตระกูลยากจน แต่บางคนโชควาสนาดีจึงเกิดในตระกูลสูงส่งร่ำรวย แค่แซ่ฉินไม่ได้แปลว่าจะเหมือนกันไปหมด เจ้าอาจจะมีแซ่ฉิน แต่เจ้าก็เป็นแค่ผู้คนที่ถูกละทิ้ง ไพร่สามัญชั้นต่ำแห่งแดนโบราณวินาศ น้องชายน้อย อย่าหลงละเมอเพ้อพก เจ้าไม่คู่ควรเกี่ยวข้องกับนางหรอก” เมื่อกล่าวจบ เขาก็กระดกชาจอกนั้นจนหมดถ้วย และทิ้งก้อนทองคำเอาไว้บนโต๊ะ จากนั้นหันกายเดินออกไปจากโรงเตี๊ยม
“แม่ทัพน้อยฉิน ข้าไม่รู้ว่าท่านหมายถึงอะไร”
ฉินมู่ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากโรงเตี๊ยม เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบเข้ามาหาแล้วโค้งคารวะ “นายน้อยจะกลับแล้วหรือ”
ฉินเฟยเยว่ตะลึงไปเล็กน้อย เขาคิดว่าเถ้าแก่โรงเตี๊ยมร้องเรียกเขา แต่ไม่นึกว่าเถ้าแก่จะโค้งคำนับฉินมู่
“ต่อหน้าคนอื่น ไม่ต้องมากพิธี”
ฉินมู่โบกมือ และมองไปรอบๆ เมืองเขตมังกรอันกว้างใหญ่ มองสิ่งก่อสร้างอลังการและความรุ่งเรืองมั่งคั่ง
สถานที่แห่งนี้ คือเมืองของเขา!
เขาเดินมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมือง และผ่านบ่อนพนันซึ่งนักเลงคุมบ่อนจำนวนมากรีบค้อมคำนับ “นายน้อย!”
เมื่อเดินผ่านหอโคมเขียว แม่เล้าก็พาเหล่าหญิงคณิกาออกมาโค้งคำนับ “นายน้อย!”
เดินผ่านร้านหนังสือ ตลาดดอกไม้ ตลาดผัก ร้านขายเนื้อ ภัตตาคาร ร้านวัตถุโบราณ ร้านของชำ ร้านขายยา โรงตีเหล็ก ร้านขายอาวุธ ทุกผู้คนในกิจการเหล่านั้นต่างเดินออกมาโค้งคารวะเขา
“นายน้อย!”
“นายน้อย!”
“นายน้อย!”
…
ฉินเฟยเยว่ขมวดคิ้ว มองไปที่ฉินมู่ซึ่งเดินตลอดทางไปยังจวนเจ้าเมือง ประตูจวนพลันเปิดออกมาอ้ากว้าง และฝูอวิ๋นตี้เดินออกมาต้อนรับเขาพร้อมหัวเราะร่า ในขณะเดียวกัน เขาก็สั่งองครักษ์ข้างๆ “พวกเจ้าตาบอดกันหรือไร ยังไม่รีบทักทายนายน้อยของพวกเจ้าอีก”
ผู้ฝึกวิชาเทวะที่เฝ้าประตูจึงโค้งคารวะแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง
“นายน้อย!”
“นับตั้งแต่วันนี้ ทั้งเมืองนี้ก็จะเป็นบ้านหลังใหม่ของพวกเรา!” ฝูอวิ๋นตี้หัวเราะฮาๆ แล้วเดินพาฉินมู่หายเข้าไปในจวนเจ้าเมือง
ฉินเฟยเยว่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าหนักกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่ามีอะไรผิดพลาด เขาไม่รู้ว่าทำไมฝูอวิ๋นตี้ถึงหัวเราะเริงรื่นกับผู้ที่สังหารบุตรชายของเขาได้ ดูราวกับว่าเป็นฉินมู่ที่เป็นบุตรชายของเขา ไม่ใช่ฝูติงเยว่
เขาไม่รู้ว่าฉินมู่ทำอีท่าไหนถึงไปเกาะขาผู้ร่ำรวยมากอิทธิพลอย่างฝูอวิ๋นตี้ได้
“คนเถื่อนไร้อารยะก็เป็นได้แค่หัวหน้าตรอก ราชาข้างถนน ไม่มีวันเหยียบย่างเข้าไปในราชสำนักได้”
เขาหันกลับไปและเดินจะออกจากเมือง แต่เมื่อเขาเดินถึงประตูเมือง ร่างของเขาก็สั่นเทิ้มทันใด เขานึกออกแล้วว่ามีอะไรผิดพลาด และหันขวับกลับไปมองจวนเจ้าเมืองด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวไม่อยากจะเชื่อ
“วิชามารฟ้าเสกสรร! ฮูหยินลัทธิ!”
เขาข่มความแตกตื่นของตนเองและหันตัวจากไป “ฝูอวิ๋นตี้ตายไปแล้วและถูกถลกหนัง ฝูอวิ๋นตี้ที่ข้าเห็นในเมืองเมื่อครู่นี้คือฮูหยินลัทธิของลัทธิมารฟ้า! เมืองเขตมังกรเปลี่ยนเจ้าของแล้ว! ผู้ฝึกวิชาเทวะภายใต้บัญชาของฝูอวิ๋นตี้คงถูกสับเปลี่ยนโดยสาวกลัทธิไปทั้งหมด ทั้งเมืองนี้มีแต่ผู้คนจากลัทธิมารฟ้า! โชคยังดีที่ท่านราชครูถูกเรือยักษ์นั่นยับยั้งเอาไว้ ไม่เช่นนั้น…”
เขาตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ ตอนนี้ในเมื่อฮูหยินลัทธิสวมใส่หนังของฝูอวิ๋นตี้ นางก็เพียงแต่ร่วมมือกับผู้สมคบคิดสร้างความวุ่นวายทำลายเสามังกรของเมืองเขตมังกร ด้วยวิธีนี้ กองทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จะถูกทำลายล้างในรวดเดียว สร้างความเสียหายย่อยยับแก่แสนยานุภาพของจักรวรรดิ ความเพลี่ยงพล้ำนี้อาจจะถึงขั้นทำให้จักรวรรดิสันตินิรันดร์ล่มสลาย!
เมื่อมองกลับไปยังเมืองเขตมังกร เจ้าของเมืองได้เปลี่ยนมือไปแล้ว และกลายเป็นสถานที่อันเขาและจักรวรรดิสันตินิรันดร์ไม่อาจเข้ามาพลิกฟ้าป่วนดินได้อีกต่อไป
เมืองนี้กลายเป็นสมบัติแซ่ฉิน แม้จะเขียนด้วยตัวอักษรเดียวกัน แต่ฉินนี้เป็นของฉินมู่ มิใช่ฉินของเขา