Skip to content

Tales of Herding Gods 95

95. กระบี่

เส้นผมฉินมู่หยุดงอกยาวเมื่อมันยาวถึงเอวเขา เขานำเชือกรัดออกมามัดผมให้เรียบร้อย จากนั้นเดินไปที่เตาหลอมด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

ท่านยายซีขมวดคิ้ว “เฒ่าใบ้ นี่เจ้าสามารถหลอมตีแก่นเหล็กเหมันต์ได้ตั้งแต่ขั้นทารกวิญญาณเรอะ”เฒ่าใบ้พยักหน้า

“เจ้ามันบ้า!”

นักปรุงยา เฒ่าบอด และคนอื่นๆ พยักหน้ากันหมด เห็นด้วยอย่างสุดจิตสุดใจ และกล่าวพร้อมๆ กัน “บ้าจริงๆ! เฒ่าใบ้ เจ้ามันอัจฉริยะเป็นบ้า!”

เฒ่าใบ้ภูมิใจในตัวเองสุดๆ และฉีกยิ้มแทบถึงใบหู

แก่นเหล็กเหมันต์นั้นเป็นวัสดุที่เหนือชั้นกว่าเหล็กผลึกเหมันต์มาก ในเมื่อมันเป็นแก่นบริสุทธิ์ที่ถูกรีดหลอมออกมาจากเหล็กผลึกเหมันต์ เหล็กผลึกเหมันต์นั้นยังพอจะหลอมให้นิ่มลงได้ด้วยไฟเตาหลอม และสามารถนำไปตีเป็นอาวุธได้ แต่อากาศเย็นเยือกจากแก่นเหล็กเหมันต์นั้นสามารถดับไฟในเตาหลอมได้ในพริบตา ทำให้มันยากที่จะหลอมตี

โยนแก่นเหล็กเหมันต์สองก้อนให้ฉินมู่ เฒ่าใบ้แสดงเจตจำนงว่าหมายจะให้ฉินมู่หลอมแก่นเหล็กเหมันต์สองก้อนนี้เข้าด้วยกันแล้วหลอมตีมันให้กลายเป็นอาวุธ!

หากว่าฉินมู่ทำสำเร็จ ก็จะผ่านด่านทดสอบเขาไปได้

ปราณชีวิตของฉินมู่หมุนเวียนโคจรแปรเปลี่ยนเป็นปราณชีวิตหงส์แดง ด้วยเปลวไฟในมือ เขาเอื้อมมือนั้นเข้าไปในเตา ขณะที่อีกมือหนึ่งใช้ที่สูบลมอัดอากาศเข้าไปหมายจะเป่าเปลวไฟให้ลุกไหม้ก้อนถ่านในนั้น

แต่ทว่า เมื่อเขายื่นมือเข้าไปในเตาก็พลันรู้สึกถึงกระแสอากาศหนาวยะเยือกจนทำให้เปลวไฟในมือเขาริบหรี่จนแทบดับ แม้กระทั่งปราณชีวิตหงส์แดงก็ดูทำท่าว่าจะกลายเป็นน้ำแข็ง!

เฒ่าใบ้เห็นแล้วก็กระหยิ่มใจและส่งสัญญาณมือให้กับเฒ่าหนวกที่เอ่ยถาม “เจ้าหมายความว่าการจุดไฟในเตาให้ติดก็เป็นการทดสอบหนึ่งที่ต้องใช้ทักษะความสามารถ? นี่เกี่ยวพันกับความอัศจรรย์ละเอียดอ่อนในฝีมือการตีเหล็กและไม่อาจจุดให้ติดโดยอาศัยกำลังเพียงอย่างเดียว?”

ขณะที่เฒ่าใบ้ยิ้มเกลื่อนหน้าอยู่นั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงพรึ่บ เมื่อเปลวเพิงในเตาหลอมลุกฮือขึ้นมา ถ่านในเตาถูกปราณชีวิตหงส์แดงอันรุนแรงของฉินมู่บีบบังคับให้ติดไฟ และสยบอากาศหนาวยะเยือกที่แผ่ออกมาจากแก่นเหล็กเหมันต์

เฒ่าหนวกมองไปยังเฒ่าใบ้ด้วยสายตาสงสาร “ไม่สามารถจุดไฟให้ติดโดยใช้กำลังบังคับ ก็แปลว่าชัดๆ ว่าพลังวัตรของเจ้าในขั้นทารกวิญญาณนั้นยังขาดพร่อง มู่เอ๋อมีกำลังรุนแรงป่าเถื่อน ดังนั้นถึงสามารถจุดไฟโดยไม่ต้องอาศัยทักษะวิชา”

เฒ่าใบ้ส่งสัญญาณมืออย่างเดือดดาล เฒ่าหนวกอ่านแล้วก็ยิ้ม “เจ้ามันจิ้งจอกเฒ่า ไฟจากถ่านไม่แรงพอที่จะหลอมแก่นเหล็กเหมันต์ ก็แปลว่าเจ้ายังมีไพ่ลับกั๊กไว้อยู่สินะ”

ฉินมู่จุดไฟในเตาหลอมติด และเร่งรีบส่งปราณชีวิตของตนเข้าไปเร่งเร้าให้เปลวเพลิงในเตาโหมกระพืออย่างรุนแรงที่สุด แต่ว่าแก่นเหล็กเหมันต์กลับไม่ละลาย แม้แต่จะแดงขึ้นมาจากความร้อนก็ไม่มีให้เห็น

ฉินมู่ขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเขาก็ยื่นทั้งสองมือเข้าไปในเตา และหยิบก้อนแก่นเหล็กเหมันต์ทั้งสองไว้ในมือพลางโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ทารกวิญญาณของเขาก็พลันพลุ่งพล่าน ปราณชีวิตรอบๆ ทารกวิญญาณพลันสันดาปติดไฟเหมือนเตาหลอมขนาดใหญ่ เมื่อมันเองก็เร่งเร้าปราณชีวิตหงส์แดงอย่างเต็มพิกัด!

แก่นเหล็กเหมันต์ในมือเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นแดงฉานจากความร้อน และไม่นานนัก โลหะหลอมละลายก็ไหลหยดลงมา

ฉินมู่ปล่อยโลหะหลอมเหลวนั้นเทลงไปในรางหล่อ จากนั้นแก่นเหล็กเหมันต์ทั้งสองชิ้นก็หลอมรวมกันเร็วขึ้นเร็วขึ้น ไม่นานนักแก่นเหล็กเหมันต์ทั้งหมดก็ผสานเป็นหนึ่ง โลหะหลอมเหลวนั้นปนเปกันเป็นเนื้อเดียว

เฒ่าหนวกมองไปยังเฒ่าใบ้ที่อึ้งจนอ้าปากค้าง “คราวนี้เจ้าจะทดสอบอะไรเขาอีกล่ะ”

เฒ่าใบ้ผิดหวัง เจตนาแรกเขาหมายจะทดสอบทักษะช่างตีเหล็กของฉินมู่

ในการหลอมแก่นเหล็กเหมันต์ อันดับแรกต้องจุดเตาให้ติด แต่ว่าความร้อนจากเตานั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะหลอมแก่นเหล็กเหมันต์ แต่ตราบใดที่พลังวัตรของคนผู้นั้นกล้าแข็งพอ ก็จะสามารถใช้ปราณชีวิตหงส์แดงเพื่อทำให้แก่นเหล็กเหมันต์อ่อนนุ่มลงได้

ในการคาดคะเนของเขา ฉินมู่จะต้องทำให้แก่นเหล็กเหมันต์อ่อนตัวลงก่อน จากนั้นเอาไปตีบนทั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยค้อนตีเหล็กเพื่อบดมันเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ก่อนที่จะหลอมสร้างขึ้นมาเป็นอาวุธ แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าพลังวัตรของฉินมู่จะเข้มข้นเหลือเชื่อขนาดที่สามารถหลอมละลายแก่นเหล็กเหมันต์ทั้งสองก้อนได้ด้วยปราณชีวิต!

จุดมุ่งหมายเขาคือการทดสอบทักษะ แต่ฉินมู่สามารถตะลุยผ่านด่านทดสอบไปด้วยพลังดิบๆ เน้นๆ ด้วยวิธีการที่ง่ายยิ่งกว่าง่าย จนทำให้เฒ่าใบ้ไม่มีอะไรจะพูด

เสียงเคร้งๆ ของโลหะกระทบดังดังมาจากค้อนที่ฉินมู่เหวี่ยงทุบ สะเก็ดไฟกระเด็นกระดอนไปทั่ว ทุกการทุบค้อนแฝงไว้ด้วยพลังปราณมหาศาลระหว่างที่เขาใช้ปราณชีวิตหงส์แดงทำให้แก่นเหล็กเหมันต์อ่อนตัว และใช้ปราณชีวิตเต่าดำทำให้มันเย็นลง สลับอุณหภูมิไปมารีดเร้นให้มันเป็นเหล็กกล้า

เขาทุบมันไปด้วยการเหวี่ยงค้อนนับไม่ถ้วน และไม่นานมีดเชือดหมูก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

เฒ่าใบ้พลิกดูตรวจสอบไปมา แล้วพยักหน้าอย่างอ่อนระโหย ฉินมู่ผ่านด่านทดสอบของเขา

เมื่อหลอมสร้างมันขึ้นเป็นมีด ฉินมู่ก็ทดสอบความคมกล้าของมันด้วยความพึงพอใจ ในที่สุดเขาก็มีอาวุธที่ตนเองหลอมสร้างเองเอาไว้ในครอบครอง

เฒ่าบอดแย้มยิ้ม “มู่เอ๋อ อย่ามัวแต่ทดลองมีดเจ้า เจ้ายังไม่ผ่านด่านทดสอบของข้า คราวนี้เราจะแข่งขันกับร่ายบทกวี”

ฉินมู่มีสีหน้าซีดเผือดและพึมพำ “ท่านปู่บอด ข้าไม่มีทางชนะท่านได้หรอก…”

เฒ่าหนวกดึงหูเหล็กทั้งสองข้างของตนออกเสียงดังป๊อป ซึ่งแสดงว่าเขาไม่อยากฟัง ยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเหยียดหยามพร้อมกับกล่าวพร้อมๆ กัน “เฒ่าบอด เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นด่วนๆ!”

เฒ่าบอดเกาหัวแกรกๆ แต่ก็ไม่อาจต้านเสียงของทุกคนได้ “งั้นพวกเราแข่งขันวิชาทวนกัน รวบรวมปราณมาเป็นทวน!”

เขาโยนไม้เท้าไผ่ไปด้านข้าง นิ้วทั้งห้าของเขากางออกเผยให้เห็นปราณเต่าดำที่ก่อรูปเป็นน้ำไหลหลั่ง แล้วรวมตัวกันเป็นทวนมังกรน้ำในมือ

ปราณชีวิตของฉินมู่ก็พวยพุ่งออกมาปรากฏทวนมังกรเพลิงในมือ ทั้งคู่ขยับตั้งท่า ทวนใหญ่ในมือสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องราวกับมังกรพิษที่รอจังหวะพุ่งเข้าฉกใส่จากหุบเหว

ทั้งคู่เดินวนจังก้าเป็นวงกลมไม่หยุดยั้ง ทว่าทวนมังกรน้ำและทวนมังกรเพลิงก็มิได้สัมผัสแตะต้องกัน

ฉินมู่ปลุกเนตรสวรรค์ของเขาและสายตาเขาจับจ้องมองเฒ่าบอดเสาะหาช่องโหว่ แต่ไม่อาจพบ ถึงเฒ่าบอดจะตาบอดแต่ท่วงท่าของเขาไม่เปิดช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย

ไม่มีช่องโหว่ งั้นข้าจะสร้างขึ้นมาเอง!

เดินวนรอบกันสักพัก ฉินมู่ก็พลันกระทืบเท้า พื้นดินยุบลงไปเป็นหลุมใหญ่จากแรงกระทืบ แรงสั่นสะเทือนจากผืนดินทำให้ท่าเท้าของเฒ่าบอดไม่มั่นคง

วูช

ทวนมังกรไฟของเขาแทงออกไป แต่เฒ่าบอดกลับเผยรอยยิ้ม ทวนมังกรน้ำเขาแทงทีหลังแต่กลับถึงก่อนเมื่อเขาแทงทวนไปยังฉินมู่ แม้ว่าฉินมู่จะชิงลงมือเป็นคนแรก แต่ทวนของเฒ่าบอดก็ไวกว่า ชิงแทงเข้ามายังอกของเขา!

ฉินมู่เผยยิ้มบ้าง มวลน้ำพลันระเบิดที่หน้าอกของเขาจากวังวนน้ำอันพลันปรากฏเพื่อป้องกันทวนของเฒ่าบอด ทวนมังกรวารีในมือเฒ่าบอดพลันแหลกระเบิด และเจ้าของทวนเองก็กระเด็นถอยหลังไปด้วยกำลังแรงจากแรงระเบิดนั้น ทวนมังกรเพลิงในมือฉินมู่พลันปะทุกลายร่างเป็นมังกรไฟร้ายกาจพุ่งแทงใส่หน้าอกของเฒ่าบอด

เฒ่าบอดตีลังกากลับตัวลงเหยียบพื้น เขาเซแซ่ดถอยไปอีกหลายก้าว และรีบปลุกพลังสมบัติเทวะที่เขาผนึกเอาไว้ เพื่อหยุดยั้งพลังปะทะ เขาตะโกนอย่างเดือดดาล “โกงชัดๆ ใช้ปราณชีวิตสองธาตุพร้อมๆ กัน! ทักษะเจ้าแพ้ อาศัยแต่ปราณชีวิตกายาจ้าวแดนดินมารังแกข้า!”

ฉินมู่พึมพำ “ท่านปู่บอด สู้กันใหม่ไหม”

ความโกรธของเฒ่าบอดก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นลิงโลด “ฮี่ๆ แต่กายาจ้าวแดนดินก็มีเอาไว้รังแกผู้อื่นมิใช่เรอะ นี่คือพลังของเจ้า ดังนั้นเจ้าผ่านทดสอบของข้า ตาเจ้าล่ะยายเฒ่า”

ยายเฒ่าซีมองไปยังฉินมู่ที่เพิ่งได้ชัยชนะด้วยสายตาอันซับซ้อน “มู่เอ๋อ สำหรับข้าแล้วเจ้าผ่านการทดสอบของข้ามาตั้งนานแล้วล่ะ ตั้งแต่เมื่อเจ้าต่อสู้ผ่านสามร้อยหกสิบห้องนั่น เจ้าก็ผ่านในใจข้าแล้ว”

ฉินมู่อึ้งไปครู่ “ท่านยาย?”

“เด็กที่ไหนจะไม่จากบ้านไปในสักวันล่ะ”

ยายเฒ่าซีกล่าวด้วยเสียงเบาหวิว “เมื่อพวกเขาเติบโต พวกเขาก็ล้วนแต่ต้องจากไป เจ้าไม่อาจอยู่ข้างข้าไปตลอดกาล ตาแก่พวกนี้ให้เจ้าผ่านด่านทดสอบของพวกเขาแล้ว ถ้าข้าไม่ยอมให้เจ้าผ่านคงเห็นแก่ตัวเกินไป…” นางหิ้วตะกร้าของนางแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง งับประตูปิด

ฉินมู่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

ผู้ใหญ่บ้านกระแอมไอเพื่อเรียกสติเขากลับมา แล้วกล่าว “หากว่าเจ้าผ่านการทดสอบของข้า เจ้าจะสามารถออกไปจากหมู่บ้านพิการชรา สามารถออกไปนอกแดนโบราณวินาศเพื่อแสวงประสบการณ์ในโลกภายนอก”

ฉินมู่หันกลับไปแล้วกล่าว “ผู้ใหญ่บ้าน ชี้แนะข้าด้วย”

ผู้ใหญ่บ้านยิ้ม “สิ่งที่ผู้เฒ่าเหล่าเหย่อย่างพวกเราสอนเจ้าล้วนแต่เป็นทักษะในการเอาตัวรอดในโลกนี้ เฒ่าหม่าสอนความแข็งแกร่งและศักดิ์ศรี คนแล่เนื้อสอนความกล้าหาญและขจัดความกลัว เฒ่าหนวกสอนศิลปะและความสง่างาม เฒ่าเป๋สอนการหนีเอาชีวิตรอดและปฏิภาณกลอกกลิ้ง นักปรุงยาสอนวิธีปรุงยาและการช่วยเหลือชีวิตคน ท่านยายสอนปัญญาญาณและความเมตตา เฒ่าใบ้สอนความยืดได้หดได้และความใจเย็น และสิ่งที่ข้าสอนได้คือไม้บรรทัด ใช้จิตสำนึกเจ้าเป็นไม้บรรทัดวัดความชั่วและความดี ยกกระบี่ของเจ้าขึ้น”

ฉินมู่นำกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ออกมาและยกมันขึ้นตรงหน้า หลังกระบี่มีรอยนูนกลางแบ่งใบกระบี่ออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งสะท้อนเงาของใบหน้าฉินมู่ และอีกฝั่งหนึ่งก็สะท้อนเงาของใบหน้าฉินมู่

“ใบกระบี่มีเงาสะท้อนสี่ด้าน หนึ่งฝั่งซึ่งหันไปหาเจ้านั้นคือจิตใจของเจ้า ซึ่งด้านหนึ่งคือความดีและอีกด้านคือความชั่ว”

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ “ฝั่งที่หันเข้าหาศัตรูเจ้าคือจิตสำนึกของเขา ด้านหนึ่งคือความดีและอีกด้านคือความชั่ว กระบี่คือไม้บรรทัดของเจ้าในการวัดความดีและความชั่ว มันใช้วัดจิตสำนึกเจ้าเองเช่นเดียวกับวัดของศัตรู เพลงกระบี่ใช้วัดความดีและความชั่วของเจ้าและของศัตรู ข้าจะถ่ายทอดกระบวนท่าแรกของเพลงกระบี่ข้า เมื่อเจ้าเรียนมัน ก็จะถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบและสามารถออกไปจากหมู่บ้านได้”

ฉินมู่ตื่นเต้นขึ้นมา ในที่สุดผู้ใหญ่บ้านก็ถ่ายทอดกระบวนท่ากระบี่ให้เขา!

หัวใจของเฒ่าหม่า เฒ่าบอด และคนอื่นๆ ก็สั่นสะท้านเล็กน้อย เมื่อพวกเขามองไปยังผู้ใหญ่บ้านเป็นสายตาเดียวกัน ท่านยายซีก็แอบแง้มประตูออกมาดูด้วย

ในที่สุดผู้ใหญ่บ้านก็ยอมถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้ฉินมู่ นี่อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของผู้อื่น แต่ในสายตาพวกเขาแล้ว นี่คือเหตุการณ์สำคัญอัศจรรย์

โดยเฉพาะกับนักปรุงยา เมื่อเขารู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในเพลงกระบี่ที่ผู้ใหญ่บ้านจะถ่ายทอดให้ฉินมู่

เพลงกระบี่ของผู้ใหญ่บ้านไม่เพียงแต่เป็นวิชาสืบทอด แต่ยังเป็นภาระความรับผิดชอบ!

เรียนรู้เพลงกระบี่ของผู้ใหญ่บ้านหมายความว่าฉินมู่ต้องแบกรับความรับผิดชอบอันหนักหนาที่แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านก็กระทำไม่สำเร็จ

นักปรุงยากระซิบ “ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าคิดว่าเขาจะรับภาระนี้ได้หรือ”

ผู้ใหญ่บ้านเผยยิ้ม “ข้าทำไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะทำไม่ได้ ปรมาจารย์ลัทธิมารแก่เฒ่าและเหลืออายุขัยเพียงเจ็ดปี ข้าเองก็แก่มากแล้วและคงตามเขาไปภายในไม่กี่ปี มันได้เวลาที่ข้าจะถ่ายทอดมรดกของข้า”

เขาปลุกใจฮึกเหิมของตนแล้วกล่าวแก่ฉินมู่ “วิชากระบี่ของข้าเรียกว่าภาพจิตรกรรมกระบี่ และกระบวนท่าแรกของภาพจิตรกรรมกระบี่เรียกว่า กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!