98. วารีลับ
มือของเขายื่นลงไปในน้ำ ทว่าไม่อาจแตะต้องใบหน้าของนางได้
“ทำไมท่านถึงยังอยู่ที่นี่ ท่านยังคงคอยปกป้องข้าอยู่หรือ…”
ฉินมู่ร่ำไห้ เขาไม่อาจคว้าจับหญิงในน้ำได้ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม เขาหยุด และหญิงในน้ำก็หยุดเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่ามีโลกทั้งโลกกั้นขวางระหว่างพวกเขา ทำให้เขาไม่อาจสัมผัสแตะต้องนางได้
“ท่านคือครอบครัวร่วมสายเลือดของข้าหรือ”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ทำไมท่านถึงต้องหนีออกมากับข้า หนีมายังหมู่บ้านพิการชรา?”
“ท่านอยู่นี่เพื่อรอเจอข้าอีกเช่นนั้นหรือ”
หญิงในน้ำไม่อาจตอบคำถามของเขาได้ นางจ้องเขาอย่างเงียบงัน สายตาของนางดูราวจะเต็มไปด้วยความรักอาทรและความสมหวังตั้งใจ
เฝิงจิวอวิ๋นใช้พลังเวทมนตร์ของนางขับเคลื่อนเรือมาใกล้ และขณะที่นางกำลังจะโจมตีสตรีในน้ำนางก็เห็นฉินมู่คุกเข่าอยู่บนผิวน้ำ นางตะลึงไปและหยุดยั้งไม่ลงมือ
ศพของหญิงในน้ำมองหนุ่มน้อยจากหมู่บ้านพิการชรา สิบหกปีก่อนนางได้ไหลมา ณ จุดนี้ ที่ซึ่งกระแสน้ำอ่อนแรงลงและซากร่างของนางไม่ถูกพัดพาต่อไป จมลงใต้ท้องน้ำแทน
ความห่วงหาอาดูรได้ผูกมัดนางไว้กับท้องน้ำและรอคอยอย่างเงียบเชียบ เมื่อรู้ว่าเรือที่ฉินมู่นั่งอยู่กำลังจะลอยผ่านคุ้งน้ำนี้ ความห่วงหาอาดูรของนางก็ถูกจี้หยกอันคุ้นเคยปลุกขึ้นมา ทำให้นางลอยขึ้นมาบนผิวน้ำเพื่อมองดูเงาร่างของหนุ่มน้อยบนเรือ
“ท่านเห็นไหม ข้าเติบโตแล้ว ข้ารอดชีวิต…”
ฉินมู่มองลงไปยังหญิงในน้ำและสะกดกลั้นน้ำตา จากนั้นกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านหมดห่วงได้แล้ว ข้าจะตามเสาะหาชาติกำเนิดและบ้านเกิดเมืองนอนของข้า ข้าจะเสาะหาอดีตความเป็นมาของท่านและจะรำลึกถึงท่านตลอดไปไม่รู้ลืม…”
สตรีในน้ำเหมือนกับจะเผยรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะค่อยๆ จมลงไปในน้ำลึก แล้วหายลับไปในที่สุด
ฉินมู่คุกเข่าอยู่บนผิวน้ำอย่างเหม่อลอย นานอยู่เขาจึงลุกขึ้น เขารู้สึกว่าเขาได้เติบโตขึ้นแล้วจริง ๆ และไม่ใช่เด็กชายไร้เดียงสาเหมือนที่เคย
เขากลับไปขึ้นเรือ หมอกก็จางหายไปจากผิวน้ำ
หลังจากที่สตรีใต้แม่น้ำหายไป หมอกก็หายวับ ท้องน้ำกลับมาใสเหมือนเดิม และเมื่อมองไปไกลๆ ก็จะเห็นประตูด่านใหญ่มหึมาอันสูงลิบลิ่วและกีดกันข้ามตลอดความกว้างของแม่น้ำหย่ง ด่านอัศจรรย์นี้จริงๆ แล้วก่อขึ้นมาจากการเชื่อมต่อเรือจำนวนมากเป็นค่ายทหารที่ซึ่งกองทัพหมื่นกำลังพลแสนทหารม้าคอยเฝ้าประจำการอยู่!
ด้วยโซ่กีดขวางไปทั่วแม่น้ำ มีแต่ทางน้ำที่ไหลผ่านไปได้ตรงกลาง จากทางน้ำนี้ ผู้คนสามารถข้ามผ่านด่านวารีลับและเข้าไปยังอาณาเขตของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้
“นายน้อย ที่นี่คือด่านวารีลับ”
เฝิงจิวอวิ๋นบังคับสัตว์ยักษ์ให้ลากเรือไปยังทางน้ำตรงกลางและกล่าว “กระจกตรวจสอบนั้นตั้งอยู่ใจกลางเมืองอันมีแต่คนของข้าประจำการอยู่ดังนั้นนายน้อยสามารถวางใจได้”
ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นกองทัพอันยิ่งยงของด่านวารีลับ มีแม้กระทั่งม้าศึกที่ควบแล่นจากเรือลำหนึ่งไปยังอีกลำหนึ่งอย่างรวดเร็ว ระหว่างเรือแต่ละลำแทบไม่มีช่องว่าง และเมื่อเรือทุกลำถูกร้อยรัดเชื่อมต่อกันด้วยเส้นเอ็น มันก็ดูเหมือนสิ่งก่อสร้างอันสลับซับซ้อนมากกว่าที่จะดูเหมือนฝูงเรือ
และเมื่อปลดเส้นเอ็นออก เรือเหล่านั้นก็จะสามารถกลายเป็นกองเรืออันแล่นออกไปได้ทุกเวลา
“ช่างที่ก่อสร้างสถานที่แห่งนี้ฝีมือยอดเยี่ยมราวกับเทวดา!” ฉินมู่อุทานด้วยความชื่นชม
เฝิงจิวอวิ๋นระเบิดหัวเราะ “คุณชาย ด่านวารีลับถูกออกแบบและก่อสร้างโดยหัวหน้าโถงงานช่างของลัทธิเรา”
ฉินมู่สะท้านใจ และยิ่งชื่นชมไม่หยุดปาก
บัดนี้เขาถึงรู้ว่าเหตุใดราชครูสันตินิรันดร์ถึงอยากจะสยบลัทธิมารฟ้าไว้ในอุ้งมือเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าแสนยานุภาพของลัทธิมารฟ้านั้นจะเป็นรองมหากองทัพของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ทว่าลัทธิมารฟ้านั้นมีผู้คนจากทุกสาขาอาชีพ สามร้อยหกสิบสาขาอาชีพนั้นก็มีที่มาจากสามร้อยหกสิบโถง ซึ่งแต่ละสาขาอาชีพเหล่านั้นแทรกซึมเข้าไปในทุกพื้นที่ชีวิตของผู้คนธรรมดาสามัญอย่างลึกล้ำ ทั้งยังมีรากฐานอันแข็งแกร่ง
เรือแล่นเข้าไปในเมืองด่าน ที่นั่นมีเรือพ่อค้าที่จอดต่อๆ กัน รอการตรวจสอบ ทำให้เห็นเป็นแถวยาวบนทางน้ำ แต่เฝิงจิวอวิ๋นขับเรือของนางเข้าไปในเส้นทางน้ำสายย่อยแล้วจอดเรือเพื่อนำฉินมู่ขึ้นฝั่ง
ฮู่หลิงเอ๋อรีบติดตามไป และกระโดดโหยงๆ ขึ้นไปเกาะสัมภาระของฉินมู่ มุดเข้าไปในกระเป๋า แล้วโผล่หัวเล็กๆ ของนางออกมาดูภายนอกอย่างสงสัยใคร่รู้
“คุณชาย สิ่งเหล่านั้นคือกระจกตรวจสอบ”
ฉินมู่มองไปตามทิศทางที่นางชี้ และมองเห็นสะพานอันลอยสูงอยู่เหนือทางน้ำ ที่กลางสะพานมีกระจกกระจ่างใสสะท้อนแสงซึ่งส่องเล็งไปยังทางน้ำ เรือใดก็ตามที่ผ่านทางน้ำนี้ก็จะปรากฏเงาสะท้อนในกระจก
เรือของพ่อค้าที่ผ่านมา จะต้องหยุดจอดเรือใต้สะพาน จากนั้นแต่ละคนบนเรือต้องเดินผ่านการส่องของกระจกตรวจสอบ
แต่ว่าตอนนี้ฉินมู่ขึ้นฝั่งไปเรียบร้อยแล้วและหลบเลี่ยงกระจกตรวจสอบ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกกระจกตรวจสอบจับได้
ทุกๆ สิบก้าวจะมีทหารยามลาดตระเวนไปทั่วด่านวารีลับ และการตรวจค้นของทหารยามนั้นก็เข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง แต่โชคดีที่เขามากับเฝิงจิวอวิ๋น ทำให้เขาไม่ถูกเรียกให้หยุดตรวจเลยสักหน
เฝิงจิวอวิ๋นนำเขาไปยังจุดพักรวมของพ่อค้าแล้วบอกเขา “นายน้อยจะต้องพักในเมืองก่อน จากนั้นจะมีกลุ่มพ่อค้าที่จะออกจากด่านวารีลับในวันพรุ่งนี้เมื่อทางน้ำเปิดให้ผ่านได้ นายน้อยสามารถไปกับกองคาราวานนั้น”
นางลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “ช่วงนี้จักรวรรดิสันตินิรันดร์ไม่ค่อยจะสงบสันตินัก หากว่านายน้อยเดินทางตามลำพัง ข้าเกรงว่าอาจจะไม่ค่อยปลอดภัย เดินทางไปพร้อมกับคาราวานน่าจะดีที่สุด”
ฉินมู่ตกใจ “ไม่ค่อยสงบสันติ?”
หญิงสาวมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังจากนั้นโน้มหน้ามากระซิบใกล้ๆ หูเขา “เร็วๆ นี้มียอดฝีมือที่ได้ยินว่าราชครูสันตินิรันดร์บาดเจ็บพ่ายแพ้จากการเข้ารุกรานแดนโบราณวินาศ ดังนั้นพวกเขาจึงฉวยโอกาสลอบสังหารราชครูสันตินิรันดร์ในการเดินทางขากลับของเขา ว่ากันว่าราชครูสันตินิรันดร์บาดเจ็บสาหัสเกือบตาย เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ทุกผู้คนล้วนแตกตื่น บางสำนักที่ไม่อยากอยู่ใต้อาณัติของราชสำนักก็เริ่มสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย บ้างก็ถอนตัวออกไป บ้างก็ฉวยโอกาสฮุบพื้นที่ขยายเขตแดน และหลายต่อหลายสำนักก็ก่อกบฏ…”
ปอยผมนางร่วงลงไปในคอเสื้อของหนุ่มน้อย และทำให้เขาจั๊กจี้ หูของฉินมู่เองก็จั๊กจี้เล็กน้อยจากลมหายใจนาง
เมื่อเฝิงจิวอวิ๋นเห็นใบหูเขาเริ่มแดงก่ำ นางถึงรู้ตัวว่าเข้าใกล้มากเกินไป จึงรีบถอย
เด็กหนุ่มผู้นี้คือว่าที่จ้าวลัทธิศักดิสิทธิ์ นางจะปฏิบัติต่อเขาโดยไม่ระวังได้อย่างไร
“ยังมีอีกเรื่อง”
เฝิงจิวอวิ๋นสำรวมสีหน้าแล้วเพ่งพิศชุดของฉินมู่ “นายน้อยยังต้องเปลี่ยนชุดของท่าน สันตินิรันดร์ไม่ใช่แดนโบราณวินาศ ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าที่ทนทานเกินไป”
เสื้อผ้าบนเนื้อตัวฉินมู่ทำจากหนังสัตว์ ท่านยายซีเบื่อที่เขาทำเสื้อผ้าขาดวิ่นทุกวันเมื่อฝึกวรยุทธ นางจึงให้เขาสวมใส่หนังสัตว์ตั้งแต่ยังเล็กๆ และแม้ว่าเสื้อผ้าของเขาจะเป็นหนังสัตว์ แต่ก็ไม่ใช่หนังสัตว์ธรรมดา มันถูกตัดเย็บอย่างประณีตและคัดสรรมาอย่างดี
เสื้อผ้าฉินมู่ตัดเย็บจากขนชั้นในของสัตว์พิสดารชนิดหนึ่ง เสือดาวเมฆหิมะ หนังที่ติดกับขนถูกดึงออกทำให้มันเย็นยามสวมใส่ในหน้าร้อน และอบอุ่นในหน้าหนาว การออกแบบประโยชน์ใช้สอยเสื้อผ้าถึงแม้ว่าจะดี แต่ก็ไม่ได้ดูสวยงามนัก
หลังจากที่ฉินมู่เรียนรู้วิธีตัดเย็บเสื้อผ้า เขาก็จะใช้ขนชั้นในของเสื้อดาวเมฆหิมะในการสร้างเสื้อผ้าของตน เสื้อผ้าทุกชิ้นที่เขาสวมใส่เป็นฝีมือตัดเย็บของเขาทั้งหมด หากว่าวัตถุดิบของเสื้อผ้าเขาเป็นใยผ้าธรรมดามันคงฉีกขาดเสียหายไปหมดแล้วจากการฝึกอันหนักหน่วงกับเฒ่าบอดและคนแล่เนื้อ
“งั้นพี่สาวรู้หรือไม่ว่าผ้าเนื้อดีมีขายที่ไหน” ฉินมุ่ถาม
เฝิงจิวอวิ๋นนำเขาไปยังร้านขายผ้า และเดินเข้าไปข้างในเพื่อเลือกผืนผ้ากับฉินมู่ เมื่อเดินไปรอบๆ ร้าน ฉินมู่ก็ยังไม่อาจค้นพบเนื้อผ้าที่เขาพึงพอใจได้ จึงเรียกเถ้าแก่ร้านมา “ร้านของเจ้ามีผ้าชนิดนี้ไหม”
เขาควักผ้าเช็ดหน้าที่หลิงอวี้จิวกำนัลแก่เขาออกมา และเมื่อเถ้าแก่ร้านผ้าเห็นก็ตระหนกตกใจ เขารีบส่ายหัวรัว ๆ แล้วกล่าวตอบ “นี่ถักทอขึ้นมาจากไหมหอมธรรมชาติ และเป็นหนึ่งในเครื่องราชบรรณาการแด่องค์จักรพรรดิ ร้านผ้าเล็กๆ ของข้าน้อยจะมีสินค้าทรงคุณค่าเช่นนี้ได้อย่างไร”
เฝิงจิวอวิ๋นแย้มยิ้มกล่าว “หัวหน้าธูป นี่คือนายน้อยของพวกเรา”
เถ้าแก่ร้านผ้าสะดุ้งอีกครา จากนั้นรีบโค้งคำนับเพื่อทักทาย แต่ฉินมู่รีบประคองแขนเขาเอาไว้ “ที่นี่เป็นด่านวารีลับ มีหูตามากเกินไป ไม่ต้องมีพิธีกับข้า”
เถ้าแก่ร้านผ้าหัวหน้าธูปชู่จึงยิ้มกล่าว “บ่าวมีตาแต่กลับมองไม่เห็นนายน้อย จึงละเลยการต้อนรับ กรุณารอสักครู่”
เขารีบเดินเข้าไปในห้องเก็บสินค้าของร้านผ้า แล้วนำม้วนผ้าออกมา “นายน้อย ถึงแม้ว่าไหมหอมธรรมชาติจะเป็นเครื่องราชบรรณาการแก่ราชสำนัก แต่มันก็ยังมีเนื้อผ้าชนิดอื่นที่มิได้ด้อยไปกว่าไหมหอมธรรมชาติ ม้วนผ้าม้วนนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของร้านเล็กๆ ของบ่าว และเรียกว่าไหมทองธรรมชาติ โถงแมลงพิษของลัทธิศักดิ์สิทธิเราเชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงแมลงพิษ พวกเขาปรับปรุงสายพันธุ์แมลงพิษ หนอนไหมทองคำร้อยพิษ ให้กลายเป็นหนอนไหมทองคำหกปีกซึ่งมีพิษร้ายแรงยากหาใดเปรียบ เมื่อหนอนไหมทองคำหกปีกเติบโต มันจะพ่นใยไหมธรรมชาติที่เหนียวแน่นทนทานเป็นพิเศษ ไหมชนิดนี้ไม่อาจแทงทะลุได้ด้วยหอกดาบ ทนน้ำและไฟ ทั้งขับไล่สายฟ้าและพิษ ม้วนผ้านี้ข้าได้รับฝากขายจากโถงแมลงพิษ นายน้อยโปรดชมดู”
ฉินมู่ลูบไล้เนื้อผ้า พบว่าไหมชนิดนี้นุ่มลื่นและมีความเย็นในตัว ผืนผ้ามีสีทองจางๆ และรอยถักทอแปลกประหลาดบนนั้น เขาลองดึงกระชากผ้าในมือและพบด้วยความอัศจรรย์ใจว่าไม่อาจฉีกให้มันขาดออกจากกันได้ เขาจึงอุทานด้วยความชื่นชม
“นี่ราคาเท่าไร”
หัวหน้าธูปชู่รีบส่ายศีรษะแล้วตอบ “ข้าจะกล้ารับเงินนายน้อยได้อย่างไร นี่คือของขวัญแก่นายน้อยจากข้าและหัวหน้าโถงแมลงพิษ!”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “เจ้าไม่กล้ารับ แต่ข้าต้องให้ หลิงเอ๋อ นำถุงเหรียญออกมา”
ฮู่หลิงเอ๋อที่หลบอยู่ในกระเป๋ามาตลอดและโผล่มาแค่หัวของนาง รีบมุดลงไปในกระเป๋าเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่นานนักนางก็โผล่ขึ้นมาใหม่พร้อมกับถุงเหรียญ และฉินมู่กล่าว “เหรียญพวกนี้เป็นเหรียญมังกรและไม่น่าจะใช้ได้ในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ข้ายกให้เจ้าทั้งหมด”
หัวหน้าธูปชู่จึงได้แต่รับเหรียญทองถุงนั้นมาแล้วกล่าวตอบ “จักรวรรดิสันตินิรันดร์ใช้เหรียญสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งแตกต่างจากหน่วยเงินตราในแดนโบราณวินาศ นายน้อย ในถุงเหรียญนี้มีหลายพันเหรียญ ให้บ่าวแลกเปลี่ยนพวกมันเป็นเหรียญสมบูรณ์พูนสุขแก่นายน้อย เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ท่านระหว่างการเดินทาง”
ฉินมู่ขบคิดแล้วพยักหน้า “ขอบใจที่เป็นธุระให้ ว่าแต่ข้าจะตัดผ้าไหมทองธรรมชาตินี้ได้อย่างไร”
หัวหน้าธูปชู่ยิ้มกล่าว “อาวุธวิญญาณทั่วไปไม่อาจตัดผ้านี้ได้ แต่ในร้านเล็กๆ ของบ่าวมีกรรไกรเขี้ยวมังกรซึ่งพอจะตัดผ้านี้ได้บ้าง นายน้อยกรุณารอสักครู่”
เขาเดินไปที่หน้าโถงจากนั้นนำธูปสามดอกมาจุด ที่หน้าโถงนั้นมีวิหารเล็กๆ และกรรไกรเล่มหนึ่งถูกบูชาไว้ในวิหารนั้น
หัวหน้าธูปชู่โค้งคารวะกรรไกรเล่มนี้ จากนั้นยกมันลงมาอย่างระมัดระวัง แล้วส่งให้แก่ฉินมู่ “บ่าวขอมอบกรรไกรนี้เป็นบรรณาการชิ้นเล็กๆ แด่นายน้อย…”
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “หัวหน้าธูป ข้าไม่เอากรรไกรเจ้าไปหรอกนะ…หืม? กรรไกรวิเศษอะไรอย่างนี้!”
เขามีสีหน้าตระหนก เมื่อแตะกรรไกร เขารู้สึกราวกับว่ามันสร้างขึ้นมาจากหยกอุ่นอันนุ่มนวลและชุ่มชื้น เมื่อปราณชีวิตของเขาแล่นเข้าไปในกรรไก มันก็คล้ายกับกลายเป็นอวัยวะหนึ่งของเขาสามารถเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องขัด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสัมผัสได้ถึงขุมพลังอย่างน่าพรั่นพรึงที่ซ่อนอยู่ในกรรไกรกำลังจะแผ่พุ่งออกมา!
ขุมพลังนี้ทั้งน่าเกรงขามและดุร้าย
ฉินมู่ลองตัดมุมหนึ่งของผ้า และผ้าไหมทองธรรมชาติที่เหนียวแน่นทนทานเป็นพิเศษนี้ก็ถูกตัดออกจากกัน แม้ว่าจะต้องใช้แรงมากเสียหน่อย แต่ความคมกล้าของกรรไกรก็เป็นประจักษ์อยู่กับตา
“กรรไกรวิเศษจริงๆ” ฉินมู่อุทานอีกครา
หัวหน้าธูปชู่นำเข็มและด้ายอันฟั่นมาจากเส้นไหมของหนอนไหมทองคำร้อยพิษมาให้
ชวูชชช
ฉินมือยื่นมือออกไปและโบกมือ พลันกวาดทั้งม้วนผ้าให้คลี่คลายบนอากาศเมื่อปราณชีวิตเขาแผ่พุ่ง ด้วยผืนผ้าที่ห้อยลงมา ฉินมู่ใช้ปราณควบคุมกรรไกรบินไปตัดผืนผ้า และในเวลาเดียวกันเข็มที่หัวหน้าธูปชู่เตรียมไว้ให้ก็โบยบินขึ้นไปด้วยปราณชีวิตของเขา และเย็บปักผ้าที่กำลังถูกตัดไว้ในอากาศโดยอัตโนมัติ
ทักษะนี้มหัศจรรย์น่าจับตามอง และทำให้ทุกคนที่เข้ามาในร้านผ้าล้วนแต่หยุดยั้งและเฝ้าชมดู
ไม่นานนักฉินมู่ก็เรียกกรรไกร เข็ม และด้ายกลับมาเก็บ และเสื้อผ้าชุดหนึ่งร่วงลงมาจากอากาศอย่างแผ่วเบา ชิ้นแรกเป็นเสื้อคลุมยาวปักลายซับซ้อนที่มีแขนเสื้อแคบ สาบเสื้อนูนบริเวณกระดุม ชิ้นที่สองเป็นเข็มขัดผ้า และชิ้นที่สามเป็นเสื้อตัวในปักลายงดงาม และชิ้นที่สี่ก็เป็นกางเกง
หัวหน้าธูปผายมือ “เชิญนายน้อยเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องชั้นใน”
ฉินมู่เดินเข้าไปในห้องชั้นในระหว่างที่หัวหน้าธูปชู่และเฝิงจิวอวิ๋นรออยู่ภายนอก เฝิงจิวอวิ๋นขมวดคิ้วแล้วพึมพำ “ทำไมนายน้อยถึงเรียนวิชาตัดเย็บจากฮูหยินลัทธิ นี่เป็นวิชาที่จ้าวลัทธิน้อยควรเรียนหรือ”
หัวหน้าธูปชู่กล่าวตอบ “เสื้อผ้าที่นายน้อยตัดเย็บนั้นเข้าขั้นมืออาชีพ…”
เฝิงจิวอวิ๋นยิ้มหยัน “เจ้านี่เก่งประจบประแจงจริงๆ ข้าดูแคลนเจ้า ผ้าที่เจ้ามอบให้จ้าวลัทธิน้อยเป็นผ้าล้ำค่าที่ถักทอจากหนอนไหมทองคำร้อยพิษซึ่งต้องใช้หนอนไหมทองคำหลายพันตัวเพื่อจะถักทอผ้าได้สักม้วน ไหมเส้นหนึ่งที่หนอนไหมทองคำร้อยพิษพ่นออกมา มีค่าพอๆ กับเหรียญมังกรถุงนี้ ดังนั้นเสื้อผ้าชุดนี้ของนายน้อยจึงมีราคาสูงลิ่วไม่อาจประเมินได้”
เมื่อประตูของห้องชั้นในเปิดออก และฉินมู่เดินออกมา สายตาของทั้งคู่พลันลุกวาว ผู้คนในร้านผ้าเองก็มองตรงไปเป็นสายตาเดียวกันและอุทานในใจ หนุ่มน้อยรูปหล่ออะไรอย่างนี้!