ตอนที่ 1037 จัดการ
องค์หญิงสามยิ้มละไมมองเขากล่าวว่า “ใต้เท้าเฉิงรู้ไหมว่าดาบนี้ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ หากท่านเป็นดาบข้าแล้ว ก็ย่อมต้องเป็นศัตรูกับขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนัก วันหน้าท่านจะถูกคนเหล่านี้จดจำเอาคืน”
เฉิงโฮ่วไท่ย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ ได้แต่กัดฟันรับพระบัญชากล่าวว่า “กระหม่อมรับคำสั่งเพียงองค์หญิงสามพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงสามยิ้มพอใจ กล่าวว่า “ข้าจะปกป้องท่านเอง”
นางกล่าวจบก็สำทับอีกประโยคว่า “ในฐานะขุนนางตรวจการ ควรภักดีต่อเจ้านายจึงจะเป็นหลักการที่ยั่งยืน”
จะทำตัวเหมือนขุนนางตรวจการเฉา ที่เอาแต่คอยมองสีหน้าวังโส่วฝู่ทำงาน จะได้อย่างไร
องค์หญิงสามแค่นหัวเราะ จากนั้นก็โบกมือสั่งการว่า “เอาละ ท่านกลับไปได้แล้ว วันหน้าข้ามีงานก็จะถ่ายทอดคำสั่งไปถึงท่าน”
“ขอบพระทัยองค์หญิงสาม”
เฉิงโฮ่วไท่เดินออกไปพร้อมกับเหงื่อเย็นท่วมกายก้าวเดินล่องลอย ยามนี้เขารู้กระจ่างใจแล้วว่า องค์หญิงสามมิใช่ผู้ไร้สามารถ ช้าเร็วนางต้องได้เป็นรัชทายาทหญิงแห่งแคว้นต้าโจว
เฉิงโฮ่วไท่ไปได้ไม่นาน จ้าวเหิงผู้บัญชาการสำนักจิ่วหลงซือก็พาคนมาถึง
จ้าวเหิงเห็นองค์หญิงสามก็รีบก้มหน้าถวายบังคม จะว่าไปองค์หญิงสามก็ถือเป็นเจ้านายเขาครึ่งหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงให้ความเคารพองค์หญิงสามมาตลอด
“กระหม่อมถวายพระพรองค์หญิงสาม”
องค์หญิงสามยิ้มชี้ไปที่เก้าอี้นั่งให้จ้าวเหิงลงนั่ง
จ้าวเหิงเคยพบกับองค์หญิงสามไม่กี่ครั้ง แต่เขารู้ดีว่าการทำงานขององค์หญิงต่างจากฝ่าบาท กอปรกับเขาเห็นฝ่าบาทเติบโตมาแต่เล็ก ฝ่าบาทมีน้ำใจให้เขาไม่เลว แต่องค์หญิงสามกับเขามีเพียงพระเมตตาในแบบนายต่อบ่าว ไม่มีความผูกพันส่วนตัว
ดังนั้นเขารู้ว่าองค์หญิงสามทำงานตรงไปตรงมาไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด
จ้าวเหิงให้ความยำเกรงองค์หญิงสามอย่างมาก ไม่กล้าดูแคลนนางเพราะนางอายุยังน้อย
“ไม่ทราบว่าองค์หญิงเรียกตัวกระหม่อมมาเข้าเฝ้าด้วยเหตุใด”
องค์หญิงสามไม่ได้เอ่ยถึงการเรียกตัวจ้าวเหิงเข้าเฝ้า แต่กลับเอ่ยถึงบุตรชายจ้าวเหิง “ได้ยินว่าตอนนี้บุตรชายผู้บัญชาการจ้าวเป็นจวี่เหริน”
จ้าวเหิงไม่เข้าใจ แต่ก็รับคำทันที “พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงสาม”
“ได้ยินว่าบุตรชายท่านตอนนี้เป็นเซี่ยนเว่ยอยู่ที่อำเภอชิงเหอ”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงสาม”
แม้ว่าจ้าวเหิงเป็นผู้บัญชาการสำนักจิ่วหลงซือ แต่บุตรชายเขาเป็นเพียงแค่จวี่เหริน เขาหาทางเบิกทางให้ได้เป็นเซี่ยนเว่ยอำเภอชิงเหอ ฮูหยินเขาก็อยู่กับบุตรชายที่อำเภอชิงเหอ ส่วนเขาอายุมากแล้ว ใกล้จะเกษียณออกจากเมืองหลวงกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายแล้ว
การที่เขาพยายามยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักจิ่วหลงซือ ก็เพราะในใจเขาไม่อาจทำใจยอมรับได้ ตระกูลจ้าวนอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดเชิดหน้าชูตาได้ หากบุตรชายสอบจิ้นซื่อได้ เขายังพอมีช่องทางได้ ประเด็นก็คือบุตรชายสอบได้เพียงแค่จวี่เหริน แคว้นต้าโจวมีกฎกำหนดชัดเจนว่า จวี่เหรินไม่อาจเป็นขุนนาง ดังนั้นเขาคิดหาช่องทางก็ไม่ได้ ตระกูลพวกเขาไม่เคยออกสนามรบสร้างผลงาน และไม่เคยช่วยงานฮ่องเต้ยิ่งใหญ่อันใด ดังนั้นตระกูลจ้าวจึงคงต้องหยุดอยู่ที่เขาแล้ว จ้าวเหิงทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ มักคิดหาโอกาสหาทางให้บุตรชายก้าวหน้ามากกว่านี้
องค์หญิงสามได้ฟังจ้าวเหิงก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู้ความคิดท่าน ตอนนี้ให้โอกาสท่านครั้งหนึ่ง หากท่านช่วยข้าทำงานชิ้นหนึ่ง รอให้ข้าได้เป็นรัชทายาทหญิง เรื่องแรกที่จะทำก็คือตั้งสำนักจัดการตำแหน่ง ถึงตอนนั้นข้าจะให้บุตรชายท่านได้ดำรงตำแหน่งที่เหมาะสมสักตำแหน่งหนึ่ง”
องค์หญิงสามคิดจัดตั้งสำนักจัดการตำแหน่งขึ้นจริงๆ แน่นอนว่าความคิดแรกสุดของนางก็คือจัดตั้งองค์กรนี้เพื่อจัดหาตำแหน่งให้สตรีมีความสามารถได้รับโอกาสเต็มที่ เพราะแม้นางได้เป็นรัชทายาทหญิง ก็ไม่มีทางทำให้สตรีได้เข้าสอบขุนนาง การศึกษาสี่ตำราห้าคัมภีร์จำเป็นต้องเริ่มแต่เด็ก เมื่อก่อนผู้หญิงไม่ค่อยมีโอกาสเล่าเรียน ดังนั้นนางขึ้นเป็นรัชทายาทหญิงก็ไม่อาจให้สตรีเข้าร่วมสอบเคอจวี่คัดเลือกขุนนางได้ทันที แต่นางจัดตั้งสำนักจัดการตำแหน่ง ให้สตรีที่มีความสามารถและพรสวรรค์จากแต่ละพื้นที่ได้เข้าทำงานรับราชการ
แต่องค์หญิงสามไม่ได้บอกรายละเอียดพวกนี้กับจ้าวเหิง โนเวล-พีดีเอฟ
จ้าวเหิงได้ฟังองค์หญิงสามก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นในใจก็รู้สึกดีใจอย่างมาก นี่ไม่ใช่โอกาสที่เขารอคอยหรือ
เขาไม่จำเป็นต้องให้องค์หญิงสามบอกรายละเอียดก็รู้ว่าองค์หญิงสามกล่าวกับเขาเช่นนี้ย่อมมีจุดประสงค์เพื่อให้เขาให้ความร่วมมือกับนางไม่ใช่หรือ
ในความเป็นจริง เรื่องนี้ก็ไม่ได้ขัดพระประสงค์ฝ่าบาทแม้แต่น้อย ประการแรก ฝ่าบาทได้มอบสำนักจิ่วหลงซือให้ฮองเฮานานแล้ว และฮองเฮาก็มอบสำนักจิ่วหลงซือให้องค์หญิงสามตอนนางอายุสิบสาม องค์หญิงสามมาดูแลสั่งการได้ ดังนั้นตอนนี้ก็นับได้ว่าฟังคำสั่งเจ้านายทำงาน ไม่ขัดต่อพระประสงค์ฝ่าบาท
จ้าวเหิงครุ่นคิดแล้วก็คุกเข่าลงนอบน้อม “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาองค์หญิงสาม ฟังคำสั่งองค์หญิงสามเพียงผู้เดียว”
“ดีมาก ท่านออกไปได้แล้ว ไว้หากข้ามีอันใดสั่งการก็จะส่งคนไปแจ้งท่าน”
“ขอบพระทัยองค์หญิงสาม”
จ้าวเหิงหันหลังก้าวออกไป ไว้รอช่วยงานองค์หญิงสามสำเร็จ เขาก็ควรเกษียณตนเองแล้ว ถึงตอนนั้นบุตรชายก็มีโอกาสก้าวหน้าแล้ว เขาเองก็นับว่าได้บรรลุภารกิจเพื่อตระกูลจ้าว วันหน้าก็ปล่อยให้เป็นวาสนาของบุตรชายแล้ว
จ้าวเหิงไปแล้ว ชิงฉางก็เดินเข้ามารายงานว่า “องค์หญิงสาม ใต้เท้าวังมาแล้วเพคะ”
องค์หญิงสามพยักหน้าเล็กน้อย บอกให้นางเชิญเขาเข้ามา
เอ่ยถึงใต้เท้าวังเจิน ใต้เท้าวังก็นับว่าโชคร้ายพอควร เดิมเขาก็อยู่ร่วมกับคนตระกูลวังได้ไม่เลว เขากับวังโส่วฝู่เป็นคนวงศ์ตระกูลเดียวกัน เพียงแต่เขาถือกำเนิดจากอนุ วังโส่วฝู่ถือกำเนิดจากภรรยาเอก เดิมวังเจิน ได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท จะส่งเขาไปเป็นผู้บัญชาการฝ่ายขวาสำนักจิ่วหลงซือ
ต่อมาใต้เท้ากาวโส่วฝู่แห่งสำนักมนตรีอายุมากแล้ว เลือดออกในสมองตาย คณะมนตรีต้องการโส่วฝู่หนึ่งท่าน ตอนนั้นใต้เท้าวังเป็นคนที่ทุกคนเห็นว่าคู่ควรที่สุด แต่ฝ่าบาทไม่อาจให้ตระกูลวัง คนหนึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายขวาสำนักจิ่วหลงซือ คนหนึ่งดำรงตำแหน่งโส่วฝู่ หากตระกูลวังมีคนดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายขวาสำนักจิ่วหลงซือ วังโส่วฝู่ก็ไม่อาจดำรงตำแหน่งโส่วฝู่แคว้นต้าโจว ดังนั้นตอนนั้นเซียวเหวิน อวี๋ลำบากใจมาก แต่คิดสะระตะแล้วก็จะส่งวังเจินไปดำรงอีกตำแหน่งหนึ่ง
ปรากฏไม่ทันรอให้เซียวเหวินอวี๋มีราชโองการ วังเจินก็เกิดเหตุ ในค่ำคืนวันหนึ่ง เขาดื่มสุราและพลัดตกจากรถม้าขาหัก
ตอนนั้นเซียวเหวินอวี๋ได้ฟังรายงาน ก็รู้ว่าเรื่องนี้หากไม่เหนือความคาดหมายย่อมเป็นฝีมือของคนตระกูลวังอีกสายหนึ่ง แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว เขาจึงระงับตำแหน่งวังเจิน ให้เขาพักรักษาขาให้หายก่อน ส่วนใต้เท้าวังขึ้นสู่ตำแหน่งเป็นโส่วฝู่แห่งแคว้นต้าโจว ต่อมาวังเจินรักษาขาหายดี แต่วังโส่วฝู่กลับไม่คิดหาทางช่วยเขา กลับส่งเขาไปประจำกองทัพชานเมือง เป็นขุนพลทหารรั้งตำแหน่งขุนนางระดับสี่
ตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับผู้บัญชาการฝ่ายขวาสำนักจิ่วหลงซือขุนนางรับใช้ใกล้ชิดฝ่าบาทได้หรือ หากในตระกูลมีคนมีความสามารถได้ ก็ควรทูลเสนอต่อฝ่าบาท จากนั้นก็จะนำพาวงศ์ตระกูลให้ก้าวหน้าต่อไปได้ แต่ตอนนี้มันอันใดกัน
วังเจินมีแต่ความเคียดแค้นชิงชังต่อวังโส่วฝู่ แต่กลับทำอันใดเขาไม่ได้ เพราะวังโส่วฝู่เป็นโส่วฝู่แคว้นต้าโจว เขาทำอันใดไม่ได้จริงๆ
ดังนั้นหลายปีมานี้วังเจินได้แต่ซุ่มเก็บตัวเงียบรอคอยโอกาส พอองค์หญิงสามเรียกตัวเขาเข้าเฝ้า เขาก็รู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว ดังนั้นจึงรีบมาอย่างรวดเร็ว
“กระหม่อมถวายพระพรองค์หญิงสาม”
องค์หญิงสามมองประเมินวังเจิน ความจริงนางรู้ว่าการที่เสด็จพ่อไม่ได้ยุ่งกับเรื่องตระกูลวัง เพราะคิดเก็บวังเจินผู้นี้ไว้ให้นางใช้งาน ไม่เพียงแต่วังเจิน แม้แต่จ้าวเหิง ก็ทรงคิดเก็บไว้ให้นางใช้งานเช่นกัน
“ลุกขึ้นได้ ข้าเรียกตัวท่านมา ไม่รู้ว่าวในใจท่านคิดเช่นไร”
วังเจินไม่เหมือนเฉิงโฮ่วไท่กับจ้าวเหิงที่มีความลังเลอยู่บ้าง เขาไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย และยังมีความรู้สึกว่าบุตรที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอกถือสิทธิ์อันใดมาวางอุบายทำร้ายเขา ถือสิทธิ์อันใดที่พวกเขาต้องดำรงอยู่เพื่อเป็นฐานรองรับบุตรชายภรรยาเอก การที่พวกเขาเสียสละเป็นสิ่งที่สมควรแล้วอย่างนั้นหรือ
วังเจินคิดไปก็โมโหโกรธแค้นไป กล่าวว่า “หลายปีมานี้กระหม่อมรอคอยโอกาสนี้มาตลอด”
เขากล่าวจบก็รีบยื่นสมุดบันทึกเล่มหนาส่งให้องค์หญิงสาม ล้วนเป็นบันทึกการแลกเปลี่ยนของวังโส่วฝู่กับแต่ละตระกูลในหลายปีมานี้ และยังมีความลับที่ผู้อื่นไม่รู้
องค์หญิงสามมองวังเจิน หัวเราะพลางเอ่ยรับปากว่า “รอให้ข้าได้เป็นรัชทายาทหญิงแคว้นต้าโจว ท่านก็จะได้กลับมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายสำนักจิ่วหลงซือ ข้าเชื่อว่าท่านจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
ผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายสำนักจิ่วหลงซือก็เท่ากับตำแหน่งสูงส่งอย่างที่สุด แม้แต่ผู้บัญชาการฝ่ายขวาสำนักจิ่วหลงซือก็ยังต้องชิดซ้าย ตำแหน่งนี้มักจะมีแต่คนสนิทฮ่องเต้เท่านั้นที่จะดำรงตำแหน่งได้
ตอนนี้องค์หญิงสามให้เขาดำรงตำแหน่งนี้ ย่อมเห็นเขาเป็นคนสนิท วังเจินดีใจยิ่งนัก รีบโผลงคุกเข่า “กระหม่อมขอบพระทัยรัชทายาท”