ตอนที่ 1068 เจ็บปวด
เซียวหวงคิดแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “หากเสด็จพี่คิดสังหารข้า ย่อมไม่ต้องลำบากเช่นนี้ เช่นนั้นก็ย่อมประการที่สอง แต่เสด็จพี่คิดว่าเสด็จพ่อจะมอบบัลลังก์ให้เสด็จพี่เพื่อข้าหรือ หากเสด็จพ่อไม่ทรงทำเช่นนี้เล่า”
เซียวหวงไม่รู้ว่าตนเองมั่นใจ หรือเพราะเสด็จพ่อให้ความรักต่อนางมากจนทำให้นางเชื่อมั่น หากมีเพียงสองทางเลือกจริง เสด็จพ่อย่อมไม่ทรงลังเลที่จะเลือกนาง
แต่ในฐานะบิดาที่ดีต่อบุตรสาว นางไม่มีทางให้เสด็จพ่อต้องก้าวไปถึงเส้นทางที่ยากเลือกเดิน
เซียวจิ่งนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ไหนว่าเสด็จพ่อรักเจ้ามาก รักจนไม่หวั่นเกรงความวุ่นวายในใต้หล้าถึงกับแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท ยังไม่บอกชัดเจนอีกหรือว่าทรงโปรดปรานเจ้ามากเพียงใด หรือว่าควรกล่าวว่ารักผู้ใดก็รักคนของผู้นั้น”
เซียวจิ่งเอ่ยถึงตรงนี้ก็ปวดใจอย่างมาก เขาคิดถึงเสด็จแม่ที่จากไปแล้วของตนเอง ความจริงกล่าวตามตรง ล้วนเป็นเพราะเสด็จพ่อรักเสด็จแม่เขาไม่พอเท่านั้น จึงได้ส่งเขามาเฝ้าสุสานเพราะเรื่องที่เสด็จแม่ทำกับเขา
ในใจเซียวจิ่งบังเกิดความคับแค้นใจขึ้นมาทันที แววตาเต็มไปด้วยความคั่งแค้น
เซียวหวงยิ้มบางมองเซียวจิ่ง เอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “เสด็จพี่อยู่ๆ รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาหรือ คิดถึงเสด็จแม่ท่านหรือ”
เซียวจิ่งได้ยินคำพูดเซียวหวงก็อดไม่ได้โมโห ตวาดว่า “หุบปาก อย่าได้เอ่ยถึงเสด็จแม่”
แม้ว่าเสด็จแม่ไม่ดี แต่นางยังคงเป็นเสด็จแม่เขา เขาไม่ยินยอมให้ผู้อื่นกล่าวหาว่านางไม่ดี
เซียวหวงยิ้มกล่าวว่า “ข้ารู้เรื่องของเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ท่าน ในฐานะผู้หญิง เสด็จแม่ของเสด็จพี่ไม่มีอันใดโดดเด่นแม้สักนิด เดิมนางควรจะพยายามแสดงความโดดเด่นที่สุดของนาง ก็คือรักเสด็จพ่อให้มากยิ่งขึ้น ปรากฏกลับเพราะความรักของเสด็จพ่อ จึงเอาแต่ใจตนเองขึ้นมา ข้าขอถามสักคำว่านางถือสิทธิ์อันใด ถือสิทธิ์อันใดทำกับเสด็จพ่อเช่นนั้น”
บางครั้งเซียวหวงไม่เพียงแต่สงสารเสด็จพ่อ ยังสงสารเสด็จแม่นาง เสด็จแม่นางเป็นหญิงที่ยอดเยี่ยมมาก แต่เพราะตอนได้พบกับเสด็จพ่อ เขาก็มีฮองเฮามาถึงสองคน และยังมีบุตรอีกหลายคนแล้ว
แต่ไรมาเสด็จแม่นางไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางรักเสด็จพ่อมาก ให้ความใส่ใจห่วงใยเสด็จพ่อทุกอย่าง อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เสด็จพ่อไอเพียงครั้งเดียว เสด็จแม่ก็จะนอนไม่หลับกินไม่รู้รส จะต้องไปดูแลเสด็จพ่อกินยาด้วยตนเอง จนกระทั่งทรงหายดี
เสด็จแม่เซียวจิ่งถือสิทธิ์อันใด
ระหว่างคนสองคนควรให้กันและกัน ไม่ควรให้ผู้ใดทุ่มเทฝ่ายเดียว
“ใช่แล้ว เสด็จพี่อีกคน เสด็จพี่คิดว่าเสด็จพ่อส่งเสด็จพี่ไปสุสานหลวง เป็นเพราะไม่พอใจเสด็จแม่ของเสด็จพี่ พาลมาเกลียดเสด็จพี่ จึงได้ส่งเสด็จพี่ปสุสานหลวงหรือ”
เซียวหวงยิ้มกว้างดังบุปผางามแสบตา
เซียวจิ่งตวาดดุดัน “หรือว่าไม่ใช่”
เซียวหวงส่ายหน้า “ไม่ใช่ทั้งหมด เดิมเสด็จพี่ก็ทำผิดจริง ตามหลักควรประหาร แต่เสด็จพ่อทรงทำใจไม่ได้ จึงได้ปลดเสด็จพี่และส่งไปเฝ้าสุสานหลวง นอกจากลงโทษเสด็จพี่ ยังหวังให้เสด็จพี่อย่าได้ข้องเกี่ยวกับขุนนางในราชสำนักพวกนั้น ป้องกันว่าจะมีคนคิดยืมมือเสด็จพี่”
“เสด็จพี่ใจอ่อนเกินไป เห็นแก่น้ำใจมากเกินไป ไม่เหมาะกับการเป็นรัชทายาทแคว้นต้าโจว แต่เพราะเสด็จพี่เคยเป็นรัชทายาท หากมีคนคิดใช้ประโยชน์จากเสด็จพี่ เสด็จพี่ย่อมตกหลุมพราง ดังนั้นเสด็จพ่อจึงได้ส่งเสด็จพี่ไปเฝ้าสุสานหลวง”
“หรือว่าเสด็จพี่ไม่เห็น องครักษ์เฝ้าสุสานหลวงไม่ได้ดูแลเสด็จพี่ขาดตกบกพร่อง และเสด็จพ่อบอกกับข้าแล้วว่า รอให้ข้าขึ้นครองราชย์ ก็จะให้ข้าอภัยโทษทั่วหล้า ถึงตอนนั้นเสด็จพี่ก็จะออกมาได้ ทรงให้ข้าแต่งตั้งเสด็จพี่เป็นอ๋อง ให้เสด็จพี่ได้มีชีวิตที่สุขสบายไร้กังวล”
เซียวจิ่งได้ยินก็โมโหสุดขีด “ไม่ ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อวาจาเจ้า เจ้าหลอกข้า ใช่หรือไม่”
เรื่องนี้เซียวหวงไม่ได้หลอกเขาจริงๆ เซียวเหวินอวี๋วางแผนไว้เช่นนี้ ยังกำชับนางไว้แล้ว
แต่เซียวจิ่งไม่อาจยอมรับความจริงนี้ ที่จริงเขาจับตัวเซียวหวงมาก็เพื่อได้ออกจากสุสานหลวง ไม่ได้สนใจบัลลังก์แม้สักนิด
แต่หากไม่ครองบัลลังก์ เขาก็ไม่อาจออกจากสุสานหลวงอย่างเปิดเผยได้ ดังนั้นเขาจึงได้ยอมตกลงจับตัวเซียวหวงมาแลกบัลลังก์ฮ่องเต้เพื่อจะได้ออกจากสุสานหลวง
แต่ตอนนี้เซียวหวงกลับบอกเขาว่า เสด็จพ่อได้ทรงตรัสแล้วว่า พอเซียวหวงขึ้นครองราชย์ก็จะอภัยโทษทั่วหล้า ถึงตอนนั้นเขาก็จะได้ออกจากสุสานหลวงอย่างเปิดเผย
ตอนนั้นเขาก็จะไม่ได้มีสถานะนักโทษอีกแล้ว ขอเพียงเซียวหวงมีราชโองการ เขาก็จะได้กลับคืนสู่ตำแหน่งอ๋อง
เซียวจิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ หลายปีมานี้ เขาคิดปรุโปร่งแล้ว ตนเองมีจุดอ่อนตรงที่อ่อนแอเกินไป และสมองยังไม่นับว่าฉลาด เช่นครั้งนี้ที่ถูกคนหลอกใช้
เซียวจิ่งขว้างปาข้าวของในห้องอย่างบ้าคลั่ง เซียวหวงมองเขาอย่างนึกสงสาร นางรู้ว่าเขาทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้
เซียวจิ่งขอบตาแดงมองเซียวหวง ตวาดดังว่า “ว่ามา เจ้ากำลังหลอกข้า ใช่หรือไม่”
เซียวหวงส่ายหน้า “เปล่านะ เสด็จพี่”
เซียวจิ่งเริ่มขว้างปาข้าวของอีก
ในวัง ณ เมืองหลวง
ก่อนหน้านี้เจี้ยงเสวี่ยได้รับสัญญาณจากเซียวหวงให้แอบตามเซียวหวงไป จากนั้นพอนางแน่ใจสถานที่อยู่ของเซียวหวงแล้ว ก็รีบเข้าวังไปรายงานฮ่องเต้กับฮองเฮาทันที
เซียวเหวินอวี๋กับซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนได้รับรายงานก็พลันตกใจ ทั้งสองคนตกใจอย่างมาก เซียวเหวินอวี๋ตวาดอย่างโมโหว่า “เจ้าสุนัขตัวใดกล้าจับตัวหวงเอ๋อร์ไป คงไม่ใช่เจ้าพวกตาแก่ในเมืองหลวงพวกนั้นกระมัง”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนส่ายหน้า “น่าจะไม่ใช่คนเมืองหลวงพวกนี้ เพราะการจัดการของหวงเอ๋อร์ทำให้พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวลงมืออีก แต่ก็ไม่แน่ อาจมีคนบังอาจเหิมเกริม เพียงแต่คนบงการต้องการทำอันใด หวงเอ๋อร์จะไม่เกิดเรื่องอันใดใช่ไหมเพคะ”
เซียวเหวินอวี๋โอบซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนปลอบใจว่า “เจ้าดู เจี้ยงเสวี่ยมาส่งข่าวถึงในวังได้ แสดงให้เห็นว่านางจะไม่เกิดเรื่องอันใด”
แม้ว่าเซียวเหวินอวี๋กล่าวเช่นนี้ แต่ยังคงไม่วางใจ รีบจัดคนจะไปช่วยเซียวหวง
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนดึงดันจะตามไปด้วย
ทุกคนออกจากวังหลวง เซียวเหวินอวี๋พลันสั่งให้คนไปแจ้งฟู่หลินที่ตระกูลฟู่
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “ฝ่าบาทไม่ชอบเด็กคนนั้นไม่ใช่หรือ ให้คนไปแจ้งให้เขามาทำอันใด”
“พวกเราจะได้สัมผัสเขามากหน่อย จะทำให้เขาเผยตัวตนออกมาได้ง่ายขึ้น ให้หวงเอ๋อร์ได้เห็นตัวตนชั่วร้ายของเขาก็คงดี”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนได้ฟังเซียวเหวินอวี๋ก็ไม่พูดอันใดอีก
ตระกูลฟู่
ฟู่หลินได้รับคำบอกกล่าวจากคนที่เซียวเหวินอวี๋ส่งมา รู้ว่าเซียวหวงถูกคนจับตัวไป
ฟู่หลินสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที เปล่งรัศมีโหดเหี้ยมรอบกายดุจดังกระบี่อาบยาพิษ แววตาดำทะมึนอย่างที่สุด
องครักษ์ที่มารายงานตกใจสะดุ้ง ผงะถอยหลังด้วยสัญชาตญาณทันที
ฟู่หลินไม่ได้สนใจเขา ให้บ่าวรับใช้ไปจูงม้ามาตัวหนึ่ง กระโดดขึ้นหลังมาทะยานออกไปทันที
คนตระกูลฟู่กับองครักษ์ต่างมองตาค้าง นั่นใช่คุณชายใหญ่ใหญ่ตระกูลฟู่ที่สุขภาพอ่อนแอหรือ เหตุใดเคลื่อนไหวเร็วดังพายุ
ไม่เอ่ยถึงคนตระกูลฟู่ แม้แต่องครักษ์เองก็ตกใจนิ่งอึ้ง
ฟู่หลินไล่ตามรถม้าเซียวเหวินอวี๋กับฮองเฮามาทันอย่างรวดเร็ว เขาไม่สนใจมารยาทตามปกติ ถามขึ้นทันทีว่า “ฝ่าบาท อาหวงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เซียวเหวินอวี๋กับซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนได้ยินก็นิ่งอึ้งไปทันที ฟู่หลินถึงกับเรียกบุตรสาวพวกเขาว่าอาหวงและยังเรียกได้สนิทปากเช่นนี้
ตามหลักแล้วชื่อรัชทายาทไม่ใช่ผู้ใดคิดเรียกก็เรียกได้ แต่คนผู้นี้กลับกล้าเรียก และเรียกได้สนิทปากเช่นนี้