ตอนที่ 470 อย่าได้ทำลายสัมพันธ์
สีหน้าเถียนซื่อแลดูย่ำแย่ลงทันที
นางไม่เห็นด้วยที่จะเกี่ยวดองเครือญาติ เหตุผลอันดับแรกก็เพราะว่าตระกูลไม่ทัดเทียม
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าวันหน้าลูกเขยสอบได้เป็นจิ้นซื่อ เกรงว่าแค่ตอนนี้ บ้านตระกูลลู่ก็ไม่มีทางเทียบกับบ้านบุตรสาวได้แล้ว
ภรรยาในวันหน้าของแฝดสี่ย่อมไม่มีทางเป็นหญิงบ้านนา แค่เด็กหญิงที่ไล่ตามเอ้อร์เป่าผู้นั้นยังเป็นถึงคนจวนหย่งหนิงโหว แม้ว่าบิดานางเป็นบุตรชายอนุ แต่สถานะเขาก็ไม่ธรรมดา สถานะเช่นนี้เอ้อร์เป่ายังไม่ต้องการ
เถาจื่อพวกนางถือสิทธิ์อันใดหมั้นหมายกับซานเป่า หากเรื่องนี้ไม่สำเร็จ พี่น้องเกิดความกินแหนงแคลงใจ วันหน้าบุตรสาวจะช่วยหรือไม่ก็คงต้องว่ากันอีกครั้ง
เถียนซื่อคิดได้แล้วก็เดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เรียกสะใภ้รองลู่มาที่มุมนอกประตูบ้านตระกูลลู่ดุด่ายกใหญ่
“เจ้ารีบหยุดความคิดที่ไม่ควรเสีย หากให้ข้ารู้ว่าเจ้ามีความคิดที่ไม่ควรอีก ข้าจะไล่เจ้ากลับบ้านแม่เจ้า”
แต่ไรมาเถียนซื่อดีกับสะใภ้มาก นี่เป็นครั้งแรกที่โมโหเดือดดาลเช่นนี้ สะใภ้รองตกใจจนตั้งตัวไม่ทัน
ลู่อันกำลังตามหานางมาเจอเข้าพอดี ได้ยินเสียงเถียนซื่อก็รีบเข้าไปถาม “ท่านแม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“เจ้าถามนางดู ว่านางคิดอันใด นางคิดทำลายความสัมพันธ์พวกเจ้าสองพี่น้อง สะใภ้ไม่ดีเช่นนี้รีบขับไล่ออกจากบ้านตระกูลลู่ไปเสียดีกว่า”
ลู่อันหันไปมองภรรยาตนเอง “เจ้าทำเรื่องอันใดลงไป”
พี่สะใภ้รองได้ยินลู่อันถาม ก็ขอบตาแดงท่าท่างกล้ำกลืน “ข้าไม่ได้ทำอันใดทั้งนั้น ข้าเพียงแต่คิดจะให้เถาจื่อหมั้นหมายกับซานเป่า ท่านแม่ก็โมโหมาก”
ลู่อันได้ฟังสะใภ้รองลู่ ก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเช่นกัน
เรื่องอื่นเขาไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร แต่เขารู้ว่าสามโรงผลิตทำเงินไม่น้อย เงินทองไหลมาเทมาแท้จริง
แต่พอลู่อันคิด เถียนซื่อก็มองออกทันที นางแค่นยิ้มมองลู่อัน
“เจ้าหวั่นไหวใช่หรือไม่ ฝันไปเถอะ หากเจ้าไม่กลัวล่วงเกินน้องสาวเจ้า เจ้าก็ไปเอ่ยดูว่านางจะรับปากพวกเจ้าหรือไม่ หากไม่รับปากเจ้าแล้วยังโมโหอีก วันหน้าดูว่านางจะยังช่วยพวกเจ้าไหม”
เถียนซื่อกล่าวจบก็มองไปยังลู่อัน กล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ลู่อันเอ๊ย คนเราควรรู้ว่าตนเองรับน้ำหนักได้เพียงใด มีความสามารถเพียงใด อย่าได้ยกชามใหญ่เกินตัว อย่าได้ไม่รู้จักประมาณตน รังแต่จะทำลายความสัมพันธ์พวกเจ้าสองพี่น้อง”
ลู่อันได้สติขึ้นมาทันที ความจริงเขารู้ดีว่าลู่เจียวไม่ได้มีสายสัมพันธ์พี่น้องสนิทกับเขามากนัก หากกล่าวถึงสายสัมพันธ์แล้ว ลู่เจียวนับว่ามีกับลู่กุ้ยอยู่ เขาอย่าวาดหวังมากไปจะดีกว่า
น้องเขยเป็นซิ่วไฉ ปีนี้จะเข้าสอบ หากไม่เหนือความคาดหมายก็น่าจะสอบได้ วันหน้าเขาเป็นขุนนาง จะว่าไปน้องสาวไม่เพียงแต่หาเงินได้ วิชาการแพทย์ยังร้ายกาจ เป็นถึงรองประธานสมาคมการค้าชิงเหอ
สถานะเช่นพวกนางสูงส่งกว่าพวกเขามาก บุตรชายในครอบครัวน้องสาววันหน้าย่อมแต่งสะใภ้ที่ทัดเทียม เถาจื่อไม่คู่ควร
“ท่านแม่ ข้าทราบแล้ว”
ลู่อันกล่าวจบมองไปยังสะใภ้รองลู่ “วันหน้าอย่าได้คิดเช่นนี้อีก ล้มเลิกความคิดนี้ซะ”
สะใภ้รองยังคงกล่าวด้วยสีหน้าไม่ยอมรับว่า “ทำไม ข้าก็เห็นว่าน้องเจียวชอบเถาจื่อมาก”
“นั่นเป็นความชอบแบบหลานสาว ไม่ใช่ความชอบแบบสะใภ้”
เถียนซื่อกล่าวอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย จากนั้นก็หันหน้าไปมองลู่อัน “เจ้าควบคุมนางไว้ให้ดี หากคุมนางไม่ได้ ก็ให้นางไสหัวกลับบ้านแม่ของนางไป”
เถียนซื่อกล่าวจบก็เดินออกไปทันที ลู่อันคุยกับสะใภ้รองจนเข้าใจ สุดท้ายทำให้นางเลิกล้มความคิดได้ สาเหตุเพราะลู่อันเตือนนางว่า หากเอ่ยเรื่องนี้อีก หลังปีใหม่จะไม่พานางไปอำเภอด้วย
สะใภ้รองจึงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ลู่เจียวไม่รู้บ้านตระกูลลู่เกิดเรื่องเช่นนี้ ยามนี้นางกำลังคุยกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นเรื่องลู่กุ้ย
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะต้องตาต้องใจเฝิงจือ”
“เฝิงจือไม่ใช่ว่าโตกว่าเขาหรือ ยังเป็นบ่าวรับใช้ จะคู่ควรกับน้องชายเจ้าหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเพิ่งกล่าวจบ ก็เห็นสีหน้าลู่เจียวจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ
“เป็นอันใดไปหรือ”
“เหตุใดเฝิงจือจึงไม่คู่ควรกับลู่กุ้ย ลู่กุ้ยเป็นแค่ชายบ้านนา แม้เฝิงจือเป็นบ่าว แต่ก็รู้หนังสือและได้รับการอบรมมาดีมาก ควรรู้ว่าหากได้แต่งกับนาง ไม่เพียงแต่ได้ภรรยาที่ดี วันหน้ามีลูก ย่อมอบรมสั่งสอนได้ดีกว่าผู้อื่น นางไม่คู่ควรกับลู่กุ้ยตรงไหน”
ลู่เจียวกล่าวถึงตรงนี้ พลันหรี่ตามองเซี่ยอวิ๋นจิ่น “ตอนนั้นเจ้าเองก็ดูแคลนข้า”
วาจานี้เหมือนกำลังคิดบัญชีย้อนหลัง เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบยื่นมือไปดึงลู่เจียวมากอดไว้พลางกล่าวว่า “นอน นอน วันนี้ตื่นเช้าไปหน่อย พวกเรานอนกันสักครู่ดีกว่า”
ลู่เจียวแค่นเสียงฮึในลำคอก่อนจะนิ่งไปมิได้ขัดขืน
แต่ไม่นานก็เอ่ยอย่างกลุ้มใจว่า “เพียงแต่น่าเสียดาย หากเฝิงจือแต่งกับลู่กุ้ย ข้าก็ต้องอบรมหัวหน้าสาวใช้คนใหม่มาช่วยข้าทำงาน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มปลอบใจว่า “ไม่รีบ ค่อยเป็นค่อยไป”
“อืม”
หลังตื่นจากนอนกลางวัน เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวจะกลับบ้าน
เถียนซื่อรู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างมาก แต่ก็รู้ว่าบ้านพวกเขาไม่พอให้ครอบครัวบุตรสาวกับลูกเขยอยู่ ครั้งนี้ที่มา นอกจากครอบครัวบุตรสาวกับลูกเขยแล้ว พวกเขายังนำรถม้ามาสองคันและลูกน้องมาอีกสองคน ยังมีเด็กน้อยแซ่จ้าวอีกคน ดังนั้นบ้านตระกูลลู่จึงรับรองคนมากมายเช่นนี้ไม่ไหว
ตอนนี้เป็นช่วงปีใหม่ ก็ไม่อาจนำไปฝากไว้บ้านผู้อื่น
เถียนซื่อตัดสินใจว่าปีนี้จะสร้างบ้านใหม่ สร้างหลายห้องหน่อย วันหน้าครอบครัวบุตรสาวมาจะได้มีที่อยู่พอ
ลู่เจียวมองเถียนซื่ออย่างอาลัยอาวรณ์ ดึงมือนางมากุมยิ้มกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านถ่ายทอดการทำเต้าหู้ให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ วันหน้าคิดถึงข้าก็ไปพักที่อำเภอ ท่านว่าดีไหม”
สะใภ้ใหญ่รีบหันหน้าไปมองเถียนซื่อ หากแม่สามีถ่ายทอดฝีมือการทำเต้าหู้ให้พวกเขาก็ดี
เถียนซื่อคิดแล้วก็คิดถึงว่าตอนนี้ความสัมพันธ์บุตรสาวกับลูกเขยดีแล้ว บุตรสาวอาจจะตั้งครรภ์ในเร็ววัน ทว่าไม่มีแม่สามีคอยดูแล นางต้องไปดูแลบุตรสาว พอคิดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะได้อยู่
“ได้ หลังปีใหม่ แม่ก็จะสอนพวกเขา”
พี่ใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ต่างดีใจมาก มองลู่เจียวอย่างซาบซึ้งใจ
น้องสาวพวกเขาพูดจาได้ผลดีมาก
ลู่เจียวคุยกับเถียนซื่ออีกสักครู่ก่อนจะพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กับจ้าวอวี้หลัวจากไป
แต่ครั้งนี้ตอนลู่เจียวกลับ นางพบว่าพี่สะใภ้รองลู่ไม่ได้ออกมาให้เห็นหน้า จึงรู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็ขึ้นรถม้ากลับหมู่บ้านตระกูลเซี่ยอย่างไม่ได้คิดมาก
วันรุ่งขึ้นเด็กๆ ในหมู่บ้านก็พากันมาบ้านตระกูลเซี่ยอวยพรปีใหม่เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว
ลู่เจียวเตรียมซองแดงไว้ล่วงหน้าไม่น้อย ซองแดงใส่เงินไปยี่สิบเหวิน เงินยาซุ่ยเฉียน[1]นี้ถือว่าเป็นจำนวนที่มากสำหรับเด็กในหมู่บ้านแล้ว ดังนั้นเด็กทั้งหมู่บ้านจึงพากันวิ่งมาอวยพรที่ตระกูลเซี่ย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเห็นพวกลูกทั้งสี่มีความสุขกันมาก ก็รู้สึกมีความสุขตามไปด้วย
แม้พวกผู้ใหญ่ไม่คิดว่าเงินยี่สิบเหวินจะมาก แต่เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวให้ความสำคัญกับพวกเด็กๆ เช่นนี้ก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง คนไม่น้อยมาเป็นแขกที่ตระกูลเซี่ย ความคึกคักเช่นนี้ดำรงอยู่เป็นเวลาหลายวัน
…………….
[1] ยาซุ่ยเฉียน (压岁钱) เงินอั่งเปาที่ผู้ใหญ่มอบให้ในเทศกาลตรุษจีน
