ตอนที่ ๑๒
ฝนตก
โสมรอไม่นานนักธรรม์ก็กลับมาพร้อมห่อผ้าห่อใหญ่ หญิงสาวถอนมนตร์พรางกายแล้วรับเอาห่อผ้ามากางดูบนพื้นหญ้า เครื่องประดับทองหยองฝังเพชรพลอยหลายชิ้น เป็นประกายสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านแนวไม้มาจนแสบตา เครื่องนุ่งห่มสีน้ำเงินเข้มแค่มองผาดๆ ก็รู้ว่าเป็นผ้าเนื้อดีและปักลายอย่างวิจิตรบรรจง แน่นอนว่าราคาต้องแพงระยับ
ทำให้เธอนึกสงสัยว่าคนที่ปลีกวิเวกไปสร้างเมืองอยู่อย่างลับๆ มีเงินทองมากมายได้อย่างไร
“เดี๋ยวใช้เสร็จจะคืนให้นะ” เธอบอกแล้วหอบห่อผ้าขึ้น ไปเปลี่ยนในที่อันมิดชิดแล้วจึงเดินกลับออกมาซุกเครื่องแต่งกายทหารภูตไว้ในพงหญ้า เธอร่ายอาคมบังตาเอาไว้ก่อนนั่งลงเลือกเครื่องประดับอย่างพิถีพิถัน แต่แล้วก็ต้องทำตัวแข็งทื่อเมื่อชายหนุ่มหยิบสร้อยคออ้อมมาซ้อนหลังแนบชิด ใกล้กันจนความร้อนจากเรือนกายชายหนุ่มโอบล้อมเธอ
กว่าจะรู้ว่าเขาสวมสร้อยคอให้ก็ปรากฏว่าเขากำลังใส่ต่างหูให้เธอแล้ว ปลายนิ้ว ซึ่งสัมผัสติ่งหูนุ่มนิ่มมีความร้อนประหลาดที่แผ่ซ่านมาเกาะกุมหัวใจน่าพิศวงที่เธอไม่รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด มือใหญ่ประคองข้อมือของเธอเพื่อใส่กำไลและสวมแหวนเพชรน้ำงามวงหนึ่งบนนิ้วนางข้างขวาของเธอพร้อมจุมพิตลงบนหัวแหวนและปลายนิ้ว สัมผัสนั้นของเขาได้ทิ้งอยู่บนผิวเป็นรอยจารึกที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
“ชุดนี้อยู่กับข้าก็ไม่มีประโยชน์อันใด แม่หญิงเก็บไว้เถอะ” ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ ถือโอกาสสูดดมกลิ่นกายหอมระรินบริเวณซอกคอขาวผ่อง พึงพอใจยิ่งเมื่อเห็นว่าผิวขาวนวลเริ่มระเรื่อแดงเป็นร่องรอยที่เขาตั้งใจทิ้งลมหายใจไว้
“ก็เก็บไว้ให้ผู้หญิงของท่านไงล่ะ” หญิงสาวพูดแก้เขิน
ธรรม์หุบยิ้มแล้วทำหน้าเคร่งขึ้นทันที ชายหนุ่มหมุนร่างเพรียวมาเผชิญหน้าตนและกุมมือบางของหญิงสาวละม้ายจะถ่ายทอดความมั่นใจให้
“ในอดีตข้าจำต้องรับสตรีนางหนึ่งแต่งเป็นเมียเพราะบุญคุณค้ำคออยู่ ข้าไม่เคยเดือดร้อนกับมันเลยจนกระทั่งมาเจอแม่หญิง”
ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทำให้โสมชะงักงัน
“หากข้ารู้เสียก่อนว่าวันหนึ่งบุญวาสนาจะนำพาให้มาเจอแม่หญิงและทำให้ต้องทูนหัวใจทั้งดวงให้แม่หญิงแล้ว ในวันนั้นแม้จะต้องถูกตราหน้าว่าอกตัญญูข้าก็จะไม่ยอมแต่งงานกับนางเด็ดขาด”
ชายหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาของหญิงสาว เขารวบร่างหอมระรินเข้ามาสวมกอดราวกับประคองดวงแก้วอ้นล้ำค่า ซุกใบหน้าลงบนกลุ่มผมนุ่มสลวยด้วยอารมณ์อันอ่อนหวานลึกซึ้ง ที่แฝงไปด้วยความรวดร้าวใจ
“ข้าเลวนักที่ทำให้แม่หญิงต้องเสียใจ ข้า… ข้าจะทำอย่างไรดีเพื่อที่จะถนอมแม่หญิงไว้ได้”
โสมยืนนิ่งในอ้อมแขนที่อบอุ่น ในใจบอกตัวเองว่าเกิดมาไม่คิดที่จะทำลายครอบครัวใคร ถ้าเธอจะหวังเกินกว่านั้น คงต้องตัดใจเพราะเธอจะไม่ยอมรับความรักที่เห็นจุดจบชัดแจ้งว่าเต็มไปด้วยความขื่นขมอกตรมและต้องทำลายชีวิตครอบครัวของคนอื่นไว้แน่
“ฉันกับท่านยืนอยู่คนละข้างกันและอยู่ในสถานภาพที่ฉันไม่อาจหักใจสานต่อความสัมพันธ์ได้ เรา…” หญิงสาวกลืนน้ำลายที่ขมปร่า สัมผัสได้ว่าอ้อมแขนแข็งแกร่งรัดร่างเธอแน่นขึ้น “เรา… ยุติมันก่อนที่จะถอนตัวไม่ได้เถอะนะ อย่าร่วมกันสร้างเวรกรรมกับผู้หญิงที่เป็นเมียของท่านเลย”
“อย่าเพิ่งตัดรอนข้าเลย” เสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูของเธอแหบพร่าและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ “ข้าขอสาบานว่าจะไม่ให้เกียรติของแม่หญิงต้องหมองมัวด้วยเหตุที่แม่หญิงกังวลอยู่แน่นอน”
“ท่านจะทำอะไร” โสม เกรงว่าธรรม์จะคิดการบางอย่างที่ทำให้เธอต้องผิดศีลธรรม “ขอบอกไว้ว่า ฉันไม่มั่นใจว่าความรู้สึกของฉันที่มีต่อท่านจะเป็นเหมือนอย่างที่ท่านต้องการหรือเปล่าเพราะฉะนั้น อย่าคิดทำอะไรที่จะทำให้ท่าน เมียของท่านและตัวของฉันต้องเสียใจภายหลังเลยนะ”
“เรื่องนั้นไม่ใช่สิ่งที่แม่หญิงควรกังวล” ธรรม์บอกด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและหนักแน่น ชายหนุ่มคลายอ้อมแขนแล้วเดินมุ่งหน้าเข้าเมือง
“วันนี้แม่หญิงต้องไปเป็นเพื่อนข้าตามที่แม่หญิงรับปากเอาไว้ แม่หญิงเคยเดินเที่ยวตลาดแล้วหรือยัง”
“เอ้อ… ฉันไม่ค่อยมีเวลาเที่ยวหรอก” หญิงสาวตอบด้วยความมึนงง เขาเปลี่ยนเรื่องปุบปับจนเธอตามไม่ทัน
“ข้าจะพาแม่หญิงไปเที่ยวให้ทั่ว” ชายหนุ่มหันมายิ้มกระจ่าง ดวงตาดำขลับเป็นประกายล้อแสงแดด เขาดูสว่างไสวจนดวงตาของเธอพร่ามัว
เสียงหัวเราะของชายหนุ่มทำให้โลกสดใสเบิกบานกว่าทุกวันจนหญิงสาวรู้สึกได้ ต้นไม้ทุกต้นที่เขาเดินผ่าน ดอกไม้ทุกดอก ก้อนเมฆทุกก้อน และชีวิตทุกชีวิตดูวิเศษมากกว่าที่มันเคยเป็น เธอเดินติดตามเขาไปโดยง่ายราวกับหัวใจได้ปลิดปลิวไปอยู่กับเขาเสียแล้ว แผ่นหลังของเขาทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ตื้นตัน แต่น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ของเธอและเขาคงไม่มีทางดำเนินไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่นี้
เมื่อเขาหันมาหาเธออีกครั้งด้วยใบหน้าอันสดชื่นแจ่มใสนั้น มีบางสิ่งบางอย่างในอกของเธอลั่นดังเปรื่อง ดวงตาของเขาหม่นแสงลงพร้อมรอยยิ้ม ที่ลดเหลือเพียงความอดกลั้น ชั่วครู่เดียวดวงตาคู่นั้น ก็สว่างไสวขึ้น มาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม อ่อนหวานเอาใจ
เขาพาเธอไปเที่ยวทั่วตลาดได้ชมข้าวของเครื่องใช้แปลกๆ หลายอย่าง ได้ชิมอาหารมากมาย ยิ่งเขาพาไปทุกซอกทุกมุม ทั้ง ทางลัดและทางลับ ผลที่ได้ตามมาก็คือเธอรู้ทางหนีทีไล่ที่นี่และรู้ว่าจะหาอะไรได้จากที่ไหนบ้าง
“ท่านพาฉันเที่ยวไปทั่วแล้ว แต่มีที่หนึ่งฉันยังไม่เคยไปและหวังว่าท่านจะพาฉันไปเปิดหูเปิดตาด้วย”
“คงไม่ได้หมายถึงสถานที่บุรุษชอบไปหรอกนะ” ชายหนุ่มตีหน้าเคร่งเพราะระแวงในนิสัยอันแปลกประหลาดของนางนัก
หญิงสาวทำท่าจะหัวเราะก๊าก แต่ยังเห็นแก่ที่ปลอมตัวเป็นผู้หญิง… เอ่อ… เห็นแก่ที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงเลยหัวเราะคิกคักเบาๆ แบบที่คิดว่าดูมีจริตจะก้าน
“ที่นั่นก็เคยไปมาแล้ว แหม… สาวสวยน่ารักทั้ง นั้น ” เธอบอกด้วยท่าทางเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม พอเห็นอีกฝ่ายจะเปิดปากขึ้น กัณฑ์เทศน์เลยรีบพูดขัด “แต่ที่พูดถึงนี่ฉันอยากไปบ่อนต่างหากล่ะ”
“แม่หญิงไม่ควรไปที่แบบนั้น” เขาค้านเสียงเข้มแต่เธอจะกลัวก็หาไม่
“ถึงท่านไม่พาไป วันอื่นฉันก็ต้องหาทางไปคนเดียวอยู่ดี” เธอบอกยิ้มๆ หยิบขนมเรไรในกระทงใบเตยที่ตนถืออยู่มือหนึ่งใส่ปาก “ถ้าท่านไม่พาฉันไปบ่อนวันนี้ก็พาไปเที่ยวที่อื่นก่อนก็ได้ ฉันไม่ทำให้ท่านลำบากใจหรอก”
ธรรม์อึกอักอยู่ในลำคอด้วยความกลัดกลุ้ม มองหญิงสาวที่ตนผูกจิตสมัครรักใคร่กึ่งขบขันกึ่งระอา ทั้งดินแดนแห่งนี้ คงมีนางเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้เขาหัวหมุน อีกทั้งนางยังเจ้าแผนการเจ้าความคิดหาวิธีร้องขอให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการอย่างที่เขาไม่อยากปฏิเสธเลยแม้สักคำขอเดียวอีกด้วย ได้รักนางในวันนี้ถือว่าทำให้ชีวิตของเขามีสีสันและเป็นสุขยิ่งกว่าที่แล้วมามากนัก
“ข้าจะพาแม่หญิงไปเอง” ชายหนุ่มถอยหายใจอย่างยอมแพ้ เขาพาเดินลดเลี้ยวผ่านตรอกซอกซอยที่สิ่งแวดล้อมดูอึมครึมมากขึ้น ทุกที มีทั้ง ขี้เหล้า คนเมายา หญิงกร้านโลก คนท่าทางสกปรกมอมแมม เสียงด่าทอและเสียงร้องโหยหวนแปลกประหลาด แต่ทุกสายตาอันน่ากลัวจับจ้องเธอราวกับเป็นเหยื่ออันโอชะ
“อยู่ใกล้ๆ ข้าเข้าไว้” ชายหนุ่มพูดเสียงขรึม สีหน้าเย็นชาและดูทะมึนผิดไปจากปกติ
เขาพาเธอผ่านคนเหล่านั้น อย่างสะดวก แต่แล้วเมื่อจะเลี้ยวเข้าตรอกกลับมีร่างเล็กร่างหนึ่งกระเด็นมาล้มลุกคลุกคลานอยู่ต่อหน้า เด็กชายสกปรกมอมแมมและยับเยินด้วยบาดแผลเต็มตัว เด็กหญิงที่โตกว่าเล็กน้อยซึ่งมีสภาพไม่ต่างกันรีบถลาออกจากเรือนที่เด็กชายลอยออกมา เสียงแหลมเล็กกรีดร้องเรียกเด็กชายด้วยความเสียขวัญและตาม
ด้วยเสียงร้องโหยหวนของเด็กหลายคนในเรือนที่ถูกขู่กรรโชกและมีเสียงการรุมทำร้าย
หญิงสาวคิดภาพออกเลยว่าเรือนด้านในสถานการณ์เป็นเช่นไร นึกอยากจะแล่นเข้าไปจัดการนัก
แต่ธรรม์รีบดึงเธอไว้อย่างรู้ทัน สีหน้าของเขาเย็นชาจนเหมือนปีศาจเลือดเย็นเมื่อชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดิน
ปึงปังออกมาจิกหัวเด็กชายและเด็กหญิงโยนโครมกลับเข้าไปในเรือน ครั้นทำท่าจะมาหาเรื่องผู้ผ่านมาก็ชะงักเมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่มก่อนจะรีบหันหลังกลับเรือนไป
หญิงสาวทำท่าจะอ้าปากพูดแต่ถูกชายหนุ่มดันให้เดินผ่านไปโดยเร็ว
“ท่านปล่อยไปได้ยังไง เด็กพวกนั้น น่ะ…”
“เป็นซ่องคนของทางการไงล่ะ” ชายหนุ่มตอบอย่างเย็นชาจนหญิงสาวหนาวเยือก “เด็กพวกนั้น คือโสเภณีที่มีไว้บริการพวกวิปริต ถ้าเชื่องก็จะกินดีอยู่ดีบ้าง แต่ถ้าไม่เชื่องก็จะมีสภาพอย่างที่แม่หญิงเห็น”
“คนของทางการงั้น หรือ… มันเป็นใคร!” เธอกระซิบถามเสียงเหี้ยมเกรียม
“ราชันไพรสัณฑ์ทรงรู้ทุกอย่าง” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบเย็น แต่เมื่อเห็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมของหญิงสาวก็ชะงักก่อนถอนหายใจแล้วพาเดินไปที่บ่อนโดยเร็ว
“สถานที่นี้อโคจรยิ่ง แม่หญิงคงได้ประจักษ์แล้วว่าไม่ควรมาคนเดียว หากไม่เป็นห่วงตัวเองก็ได้โปรดคำนึงถึงข้าที่เป็นห่วงความปลอดภัยของแม่หญิงจนวิตกกังวลด้วยเถิด”
“ฉันจะพยายามก็แล้วกัน” หญิงสาวตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็วจนชายหนุ่มเห็นแล้วหน้าผิดสีไป “ถึงแล้วใช่ไหมล่ะ เข้าไปกันเถอะ แหม… น่าตื่นเต้นดีจัง”
เมื่อเธอก้าวเข้าไปด้วยสีหน้าระรื่น ทุกสายตามองมายังเธอด้วยแววตาน่ากลัว ใบหน้าดำทะมึนไม่สบอารมณ์จนเหมือนจะเข้ามาทำร้ายได้ทุกนาที เธอจึงขยับเข้าไปใกล้ธรรม์อีกนิดแล้วเกาะชายเสื้อเขาเอาไว้ ดวงตาหลายคู่จึงค่อยๆ เบือนกลับไปและบรรยากาศอึกทึกก็กลับมาอีกครั้ง เธอสามารถเดินไปทั่วได้โดยมีชายหนุ่มเป็นนายอารักขาชนิดไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ แม้จะมีสายตาไม่เป็นมิตรบางคู่จับจ้องอยู่เนืองๆ ก็ตาม
“ให้ฉันลองเล่นดูบ้างสิ แค่น้ำเต้าปูปลากับกำถั่วก็ยังดี” โสมถูไม้ถูมือ พรข้อที่หนึ่งที่แม่หญิงจันทรวดีให้เธอมาจะได้ใช้ก็งานนี้รับรองเธอกอบโกยเงินเป็นถุงเป็นถังชดเชยให้ธรรม์ได้แน่
“ไม่เหมาะกระมังแม่หญิง” ธรรม์ถอนหายใจ พยายามไม่สบตากับคนที่ส่งแววตาอ้อนวอนเพื่อไม่ให้ใจอ่อน
“งั้น ท่านรออยู่ตรงนี้ฉันจะไปวงน้ำเต้าปูปลา” หญิงสาวหันหลังเดินไปดื้อๆ แล้วเธอก็ต้องลอบหัวเราะขบขันเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกๆของคนที่เดินตามอารักขา
ทุกคนในวงทำท่าจะไม่ให้เธอร่วมเล่นและจะอ้าปากตะเพิดในคราแรก แต่เมื่อโสมเทถุงเบี้ยของตนลงจนหมดเป็นจำนวนไม่น้อยเลยจึงสามารถอุดปากเอาไว้ได้
เจ้ามือรับแทงทั้งหน้าหงิก
หญิงสาวไม่แคร์และแสร้งเมินไม่สนใจแผ่นกระดาน หันไปชะโงกผ่านไหล่กว้างของธรรม์ที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังปัก
หลั่นราวกับจะไม่ให้ใครได้เข้าใกล้เธอได้ จนกระทั่งธรรม์ทำสีหน้าพิลึก แล้วสะกิดให้เธอหันกลับไปจึงได้ประจักษ์ชัดว่าตนชนะพนัน
เจ้ามือมีสีหน้าบึ้งตึง
แต่โสมยิ้มแป้นแล้นแล้วหันไปถามคนข้างหลังคล้ายจะเยาะทุกคนในวงว่า “อย่างนี้ฉันได้เท่าไหร่น่ะ”
“ห้าเท่า”
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ตบมือดีใจ แล้วกอบเอาจำนวนห้าเท่าของที่ได้แทงลงไปมาไว้กับตน “ว้า… เก็บไม่หมด ท่านช่วยฉันเก็บไว้หน่อยสิ เอาถุงของท่านมา”
เธอไม่รอให้เขาหยิบมาให้เพราะทันทีที่พูดจบเธอก็ปลดถุงใส่เบี้ยของเขามาโกยเบี้ยเข้าเก็บจนแน่นถุงแล้วจึงส่งคืน
“แม่หญิง” ธรรม์กระซิบเรียกให้หันมาฟัง “แม่หญิงเคยเล่นมาก่อนหรือ”
“เปล๊า” โสมปฏิเสธเสียงสูง พ่อพฤกษ์ของเธอเข้มงวดจะตายอบายมุขมัวเมาที่ท่านยอมให้เธอสัมผัสได้ก็มีแต่สุราเมรัยเท่านั้นด้วยเหตุผลว่าจะได้ไม่โดนคนเขามอมเหล้า “ฉันแค่รู้ๆ มาบ้างว่าเล่นยังไง แต่เพิ่งลองเล่นจริงเป็นครั้ง แรกนี่แหละ”
บทสรุปของการเล่นพนันครั้งแรกของโสม พยัคฆ์ดำรงก็คือถุงเบี้ยที่เต็มล้นจนต้องหาผ้ามาห่อกลับ
ธรรม์ยิ้มอ่อนอกอ่อนใจให้กับโสมที่เดินลอยนวลออกมาจากบ่อนด้วยอารมณ์ดี ชายหนุ่มเดินประชิดกายหญิง
สาวอย่างปกป้องพลางเหลือบสังเกตสีหน้าและแววตาของนางเมื่อต้องเดินผ่านเรือนโสเภณีเด็กอีกครั้งแต่นางกลับไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด แม้ว่าเสียงร้องทุรนทุรายโหยหวนของเด็กเหล่านั้น จะดังออกมาให้ได้ยินก็ตาม จนเขาอดคิดไม่ได้ว่านางช่างเป็นสตรีที่มีหัวใจประดุจบ่อน้ำใสอะไรเช่นนี้
ความใสที่เห็นลวงตาว่าตื้น เขิน แท้จริงกลับลึกสุดคาดนัก!
ยามนี้โพล้เพล้เต็มทน ท้องฟ้าแดงฉานเมื่อตะวันยอแสงเกือบลับฟ้า หมู่นกกาเริ่มบินกลับสู่รังนอน ตลาดวายไปนานแล้ว ถนนที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนมากมายเริ่มซาผู้คน ชายหนุ่มเหลือบมองดวงหน้างามที่ถูกอาบด้วยแสงตะวัน ดวงตาที่เคยแพรวพราวละม้ายดวงดาวบัดนี้กลับมืดสนิทราวหลุมลึกและตาขาวอาบเป็นสีแดงฉาน นางเหมือนภูตสาวกระหายเลือดที่แสนเยียบเย็นจนใจเขาหนาวเยือก
“แม่หญิงคิดอันใดอยู่” ธรรม์กระซิบถาม
“ฉันคิดว่ารู้แล้วว่าท่านเอาเงินมาจากไหนมากมายน่ะสิ”
“หืม?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว แปลกใจ
“บ่อนนั่นน่ะของท่านใช่ไหมล่ะ” หญิงสาวพูดเรื่อยๆ ขณะหันไปมองทาง “ผู้หญิงที่ไปในที่แบบนั้น ถึงยังไงก็ต้องถูกจับโยนออกมาอยู่แล้ว เว้นแต่ว่าคนที่ติดตามฉันมาจะใหญ่จริง อีกทั้ง ฉันสังเกตมาตลอดว่าแม้เจ้ามือ
ทุกคนจะถลึงตาใส่ฉันแต่ก็เกรงอกเกรงใจท่านมาก และหากท่านไม่ใช่เจ้าของบ่อน ตัวฉันที่หอบผลประโยชน์จำนวนมหาศาลของบ่อนออกมาเดินในที่เปลี่ยวร้างผู้คนแบบนี้ก็ต้องโดนคนของบ่อนดักปล้นคืนไปนานแล้ว”
ธรรม์มองโสมอย่างนิ่งงัน ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสองอยู่นาน
จนในที่สุดชายหนุ่มก็เปิดปากพูด “แม่หญิงคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วรึ จึงได้ขอให้ข้าพาไปบ่อน”
“เปล่าหรอก มันบังเอิญมากกว่า” เธอเงยหน้าขึ้น มาตอบยิ้มๆ แต่ทำให้ผู้มองต้องสะทกสะท้านเป็นรอบที่เท่าไรก็จำไม่ได้ “แล้วบ่อนนี่คงไม่ใช่ที่เดียวหรอก ท่านยังมีร้านขายยาด้วย”
“ทำไมแม่หญิงถึงรู้”
“ผ้าขาวม้าของท่านมีกลิ่นยาสมุนไพรอยู่หลายชนิด” เธอตอบ “บางครั้งตอนที่ท่านเข้ามาใกล้ฉัน ฉันก็มักจะได้กลิ่นตัวยาฉุนๆ ที่กลิ่นกำยานกลบไม่ได้”
“… ดีเหลือเกินที่ข้าไม่คิดเป็นศัตรูกับแม่หญิง” เขาพูดอย่างจริงใจ
“ที่จริงแล้วฉันแค่สงสัยแต่ไม่แน่ใจเลยมาหลอกถามท่านนะ ท่านเองต่างหากที่ยอมรับมาเสียหมด” โสมหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลก
แต่ธรรม์กลับหน้าเปลี่ยนสีไปวูบหนึ่ง ก่อนจะคลายลงเป็นยอมแพ้และอ่อนใจ เหนือสิ่งอื่นใดเขาไม่โกรธแม้สักนิดเดียวเพราะนางเป็นคนที่เขารัก ถึงเช่นไรเขาก็มองว่านางน่าเอ็นดูอยู่นั่นเอง “ส่วนที่เล่นได้มาน่ะท่านเอาไปเถอะ ฉันไม่ต้องการเลย”
“แต่แม่หญิงสมควรได้มัน” ธรรม์ท้วงเสียงอ่อน แล้วสัพยอกหยอกเย้าว่า “แต่อย่ามาถลุงที่บ่อนของข้าบ่อยนักล่ะ มิเช่นนั้น ข้าคงขาดทุนเพราะดวงของแม่หญิงข่มดวงเจ้ามือทุกคนเสียราบ”
“ฉันจะไม่เล่นพนันถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ” โสมหัวเราะ “แต่ฉันไม่สามารถรับเอาไว้ได้จริงๆ ฉันไม่ยอมรับอะไรจากท่านที่มีค่าน้อยกว่าสิ่งที่ท่านมอบให้ฉันตลอดทั้งวันนี้หรอก”
ธรรม์สูดลมหายใจเข้าอก ตื้นตันจนไม่อาจหาคำพูดมาเอื้อนเอ่ย มือใหญ่ฉวยมือเล็กกว่าจับจูงเดินไปข้างหน้าอันไร้จุดหมายด้วยกัน ต่างคนต่างไม่พูดอะไร เพียงแต่ซึมซับเอาอารมณ์ลึกซึ้ง อันละเอียดอ่อนระหว่างกันอย่างเงียบงัน
จนกระทั่งสุดเส้นทางโสมจึงดึงมือออกแล้วพูดว่า “วันนี้ฉันสนุกมาก แต่เราต้องแยกทางกันตรงนี้แล้วล่ะ”
“แม่หญิงจะไปเอาเครื่องแบบทหารที่ซ่อนเอาไว้ใช่หรือไม่ ให้ข้าไปส่งเถอะ” ธรรม์เพ่งมองสีหน้าและแววตาของโสมผ่านความมืดเมื่อตะวันลับลาไปแล้ว แต่ก็ไม่เห็นอะไรมากไปกว่าแสงแวววามจากดวงตาของนาง
“ไม่ต้องหรอก ท่านยังต้องไปทำธุระของท่านนี่นะ เราเดินไปทางเดียวกันไม่ได้หรอก” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงอันยากจะคาดเดาอารมณ์
แต่คนฟังรู้สึกใจหายวูบโหวง ต้องสูดลมหายใจเข้าแรงเพื่อยืนยันว่าตนยังมีหัวใจอยู่
“ฉันไปล่ะ”
หญิงสาวหันหลังก้าวได้เพียงสามก้าว แขนก็ถูกดึงรั้งเอาไว้ด้วยมือใหญ่อันร้อนระอุ สรรพเสียงพากันเงียบราวกับโลกได้ดับสูญลงเสียแล้ว เธอผ่อนลมหายใจอันบางเบาออกจากอกหันกลับไปหาเขาด้วยรอยยิ้ม
ครั้นเห็นสีหน้าของเขาแล้วพลันรู้สึกคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างบีบคั้นดวงใจ จนต้องกัดปากเพื่ออดกลั้นความเจ็บปวดนั้นไว้ แต่เพียงชั่วครู่ก็เกลื่อนสีหน้านั้นให้สลายไปแทนที่ด้วยรอยยิ้ม สว่างไสว
“ฝนตกนะ”
มือที่กุมแขนเรียวกำแน่นขึ้น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า มีบางสิ่งสะท้อนเลื่อมพรายตกลงที่หางตา แล้วเขาก็ต้องก้มลงมองเมื่อนางที่กำลังปลดมือของเขาออกอย่างนุ่มนวลก่อนหันหลังเดินจากไปในความมืดมิด ทิ้งคำปลอบโยนสุดท้ายและรอยสัมผัสที่อ่อนหวานแต่ก็แสนจะ… เจ็บปวดเอาไว้ที่หัวใจของเขา
“แต่เดี๋ยวมันก็หยุดแล้ว… อีกไม่นาน”