ตอนที่ ๒๐
คนสำคัญ
ธรรม์หนีนางอรดีไปนั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองยังที่ซึ่งชายหนุ่มเคยนำเครื่องถนิมพิมพ์อาภรณ์มากำนัลโสม เขายังจำได้ว่านางงามมากเพียงใดและเขินอายมากเพียงไรเมื่อถูกจับจ้อง เขายิ้ม อย่างเลื่อนลอยแล้วก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อคิดถึงสถานการณ์ที่นำไปสู่การแตกหัก หัวใจของเขากำลังร่ำไห้รันทดท้อด้วยหาทางแก้ไขไม่ได้และยังไม่สามารถตั้ง รับกับ
ความสูญเสียที่เกิดขึ้น
เพียงเพราะข้ารักนาง ใยต้องสูญเสียและเจ็บปวดถึงเพียงนี้!
ชายหนุ่มปรารถนาจะคุยกับนางด้วยไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป แต่เขาไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหน เขาจำเป็นต้องมีสิ่งที่เป็นของนาง ฉุกใจคิดได้ว่านางอาจเก็บซ่อนเครื่องนุ่งห่มเอาไว้แถวนี้จึงลองร่ายคาถาถอนกำบังตาพบว่าของทั้ง หมดถูกซุกซ่อนไว้ในพงพุ่มไม้ เขาหยิบต่างหูขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วจัดการกำบังทุกอย่างไว้ตามเดิมก่อนเร่งรีบเปิดประตูสู่เมืองลับแล
กลับเรือนเก่าของตนเพื่อประกอบพิธี
กลุ่มเมฆหมอกในขันน้ำามนต์หมุนวนจับตัวแน่นก่อนจะเลือนหายไปอย่างช้าๆ สมใจเจ้าอาคมนัก ธรรม์เห็นโสมนอนรํ่าไห้อย่างเงียบๆบนแอ่งน้ำแห่งหนึ่งกลางป่ารกชัฏดูน่าเวทนาสงสารจนเขาตาแดงกํ่าร่ำจะร้องตามด้วยความปวดใจนางเจ็บปวดมากเท่าไรเขายิ่งเจ็บปวดมากกว่านางเป็นทบทวี เขาตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องทะนุถนอมเชิดชู
นางเป็นหญิงเดียวให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยสิ่งใดก็ตาม ฉับพลันนั้น มีทหารภูตนายหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ทำให้โสมไหวตัวระมัดระวังก่อนจะผ่อนคลายลง
ธรรม์ฮึดฮัดขัดใจที่ไม่สามารถได้ยินเสียงสนทนาได้ เห็นแต่เพียงว่าทั้งคู่รู้จักคุ้นเคยกัน พูดคุยกันด้วยเรื่องลับบางอย่าง ชายหนุ่มบังเกิดความไม่สบายใจขึ้น มาเมื่อทหารภูตนายนั้น ขยับเข้าไปใกล้นางผู้เป็นที่รักของเขาด้วยฝีเท้าและท่าทางคล้ายจะจู่โจม แล้วหายนะของเขาก็เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว
ธรรม์คำรามกร้าวด้วยความโกรธที่มีผู้บังอาจมาทำร้ายดวงใจและความกลัวว่าจะสูญเสียนางผู้เป็นที่รักไปตลอดกาล โสมกุมบาดแผลซึ่งมีเลือดไหลซึมออกมามากจนย้อมเสื้อผ้าบริเวณนั้น ให้กลายเป็นสีแดงเป็นวงกว้างด้วยความมึนงง นางดูเปราะบางและคล้ายจะแตกสลาย ทหารภูตมือสังหารเช็ดดาบอย่างใจเย็นก่อนก้มคำนับอย่างเคารพ
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากที่นั่งในตอนนั้น แล้ววิ่งด้วยความเร็วจนแทบจะเป็นเหาะออกจากเมืองลับแลเพื่อเสาะหานาง เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุเขาก็ต้องตัวเย็นวาบแทบไร้เรี่ยวแรงเพราะนอกจากรอยเลือดที่เปรอะเปื้อนผืนดินบริเวณ
นั้น จนแดงฉานแล้วเขาไม่พบร่องรอยใดๆ ของนาง ชายหนุ่มรู้สึกกลัวเหมือนสติแตก พยายามสืบเสาะหาร่องรอยที่จะทำให้ติดตามหาตัวนางได้แต่ก็ไม่พบ ดูเหมือนว่าคนที่พาตัวนางไปได้กลบเกลื่อนร่องรอยไว้อย่างหมดจด
ชายหนุ่มคำรามลั่นราวกับสัตว์ที่บาดเจ็บ ดวงตาของเขาแดงฉานกรามบดกันแน่น ร่างกายเกร็งเครียดและปะทุไปด้วยความอาฆาตแค้น ดาบนั้น สามารถปลิดชีพของโสมได้และเจตนาของผู้ลงมือก็คือการสังหารให้ตาย ตอนนี้นางอาจจะจากเขาไปตลอดกาลแล้ว เขาสันนิษฐานว่าเจ้าทหารภูตนายนั้น พาร่างของนางไปด้วยเพื่อกำจัดหลักฐาน ขณะนั้น สภาพอากาศที่สงบเงียบพลันปั่นป่วนราวกับจะมีพายุใหญ่ เมฆมืดทะมึนปกคลุมทั่วฟ้า ใบหน้างดงามปานเทพบุตรนั้น บัดนี้ฉาบไปด้วยรัศมีเข่นฆ่าปานเทวทูตแห่งความตาย
ทหารภูตจะไม่กระทำสิ่งใดโดยไม่มีอำนาจ ฉะนั้น ผู้ที่เป็นตัวการพรากโสมไปจากเขาก็คือ ราชันไพรสัณฑ์!
ธรรม์ร่ำไห้อย่างไร้ซึ่งเสียง นางงดงามถึงเพียงนั้น สดใสและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันถึงเพียงนั้น ทำไมนางต้องมาจบชีวิตลงเช่นนี้ด้วย ตลอดกาลที่ผ่านมาเขาอยู่ในโลกสีเทาที่หาความสุขความรื่นรมย์ไม่ได้ ทันทีที่นางเข้ามาในชีวิต โลกของเขาก็เปลี่ยนไป นางนำเสียงหัวเราะ นำความสุขทั้ง มวลและสีสันทั้ง หมดบนโลกมาให้เขา ทำให้เขาชื่นบานและ
เปี่ยมไปด้วยความรักที่ช่วยเยียวยาจิตใจอันแข็งกระด้างให้อ่อนโยนลง
ราชันหน้ากากภูตไม่ได้เพียงพรากชีวิตของนางไป แต่ได้พรากเอาความรักความสุข ความหวัง ความปรารถนาและสีสันทั้ง หมดบนโลกนี้ไปจากเขาอีกด้วย!
เวลานี้จิตใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความหมายมาดอาฆาตแค้นที่มุ่งทำลายล้างศัตรู เขาไม่เคยคิดจะพาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลการเมืองซึ่งกำลังวุ่นวายปั่นป่วนราวคลื่นใต้น้ำในราชสำนักมาก่อน ด้วยตระหนักอยู่เสมอว่าตนทรยศต่อพี่น้องทหารภูตด้วยกันจึงตกเป็นหนี้แก่กณวรรธน์นครจนมิอาจชดใช้ได้ แต่มาบัดนี้… เมื่อเจ้าแผ่นดินแห่งกณวรรธ์นครเป็นผู้พรากทุกสิ่งไปจากเขา เขาจึงได้แต่ทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายเมืองนี้ให้ย่อยยับเพื่อสังเวยชีวิตของนางผู้เป็นที่รัก!
ข้าจะไม่เห็นแก่คำสัตย์สาบานทั้งมวลที่มีให้แก่บ้านเมือง ข้าจะไม่เห็นแก่เจ้าที่เคยบูชาข้าและยึดข้าแบบอย่าง ข้าจะไม่เห็นแก่เจ้าที่เคยเคารพนับถือข้าเป็นพี่ชายอีกต่อไป! เจ้าบีบบังคับข้าให้โหดเหี้ยมเอง… เจ้าไพรสัณฑ์!
โสมลืมตาขึ้น พร้อมกับความอ่อนเพลีย อาการปวดร้าวทั่วตัวและภาวะเลื่อนลอย หญิงสาวกระพริบตาแต่ก็ยังพบแต่เพียงความมืดมิด เมื่อทราบว่าไม่สามารถทำอะไรเพื่อขับไล่อนธการได้เธอจึงหันมาตั้งสติเท่าที่ทำได้เพื่อตรวจสอบสภาพของตัวเองและสภาพแวดล้อมเพื่อประเมินสถานการณ์สำหรับการรับมือที่เหมาะสม การกระทำของเธอเป็นไปโดย
สัญชาติญาณของบอดี้การ์ดที่ถูกฝึกฝนจนเป็นนิสัยโดยแท้
เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่บนแผ่นไม้แข็งกระด้าง ร่างกายร้อนสลับหนาว ลำคอของเธอเจ็บแสบเหมือนถูกครูดด้วยกระดาษทราย น้ำลายเหนียวบ่งบอกว่าร่างกายขาดน้ำ เมื่อลองขยับกาย ความปวดระบมจนแทบทนไม่ได้ที่บริเวณหน้าท้องก็ทำให้เธอต้องเกร็งตัวด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุดกระทั่งจะร้องก็ร้องไม่ออก สติที่เพิ่งรวบรวมขึ้นมาได้ เริ่มหลุดลอยไปอย่างน่าสงสาร
ท่ามกลางความมึนงงสับสนกับความเจ็บปวดนั้น มีแสงเทียนแรงหนึ่งส่องวะวูบขึ้นในความมืด นอกจากเธอมองเห็นมือข้างหนึ่งที่ถือเชิงเทียนกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้แล้ว ยังเห็นชั้น วางของหลายแถวที่ล้วนแล้วแต่เป็นไหขนาดต่างกันไปวางเรียงอย่างเป็นระเบียบพร้อมป้ายกระดาษกำกับติดอยู่ข้างไห จนกระทั่งเธอได้เห็นเจ้าของมือที่ถือเชิงเทียนเต็มตาเมื่อเขามาหยุดนั่งอยู่ข้างเตียงของเธอ
“ธรรม์” เสียงแหบแห้งเป็นผลมาจากความระคายคอเปล่งออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพพระบุตรนั้น หล่อเหลาไม่เปลี่ยน แต่สิ่งเปลี่ยนไปคือแววตาของเขาที่แสนจะเย็นยะเยียบแฝงเร้นความวิกลจริตกับริมฝี ปากเหี้ยมเกรียมมาดร้าย เขาทำให้เธอขนลุกไปทั่วกายด้วยความหวาดหวั่น
“เป็นยังไงบ้าง” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เขาคิดว่าปล่อยให้เจ้าราชองครักษ์ตกยากคนนี้เข้าใจผิดไปก็ดีแล้ว
“ฉัน… เจ็บคอ ไม่มีแรง ปวดไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่ท้อง” หญิงสาวตอบอย่างไม่แน่ใจเพราะสับสนกับบุคลิกของธรรม์ที่เปลี่ยนไป
“จำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ”
“ฉันถูกหิรัญแทง” เธอหวนระลึกด้วยความเจ็บปวดใจ “เป็นการเสียสละชีวิตเพื่อราชันไพรสัณฑ์”
“ราชันไพรสัณฑ์สั่งให้หิรัญมาสังหารเจ้าหรือ” น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสงกาและสาสมใจ อีกทั้ง ธรรม์ไม่เคยเรียกเธอว่า ‘เจ้า’ คนฟังจึงสะดุดหูแต่ไม่ได้กระโตกกระตากออกมา
“ฉันไม่รู้หรอก แต่หิรัญจะกล้าทำหรือหากไม่ได้รับคำสั่ง” เธอกำลังสับสนในหลายๆ เรื่อง และที่สำคัญคือสุขภาพที่ยํ่าแย่เป็นตัวแปรสำคัญไม่ให้เธอมีสติปัญญาเท่าที่ควร “ที่นี่ที่ไหนหรือ”
“ถิ่นของข้า”
“ฉันจำได้ลางๆ ว่ามีคนมาอุ้มฉันและมีใครบางคนพูดจาแปลกๆกับฉันด้วย”
“เจ้ากำลังไม่สบาย เจ้าเลอะเลือนไปเอง” น้ำเสียงของชายหนุ่มเย็นเยียบ อีกทั้งแววตานั้น ชวนให้โสมไม่สบายใจอยู่มาก
“ท่านไปพบฉันได้ยังไงหรือ” หญิงสาวฝืนตัวเองเพื่อไต่ถามหาความกระจ่าง
“บังเอิญไปพบน่ะ” ชายหนุ่มตอบอย่างขอไปที
“ทำไมที่นี่มันมืดจัง ท่านช่วยจุดเทียนให้สว่างหน่อยได้ไหม”
“เจ้าสมควรต้องนอนพัก ความมืดทำให้เจ้าฟื้นตัวได้เร็วกว่า”
“จับมือฉันหน่อยสิ” เธอรวบรวมกำลังเพื่อแบมือออกเป็นเชิงอ้อนวอนร้องขอ นึกขบขันระคนสบประมาทตัวเองในใจเพราะไม่คิดว่าจะต้องมีวันหนึ่งที่ตนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้น ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะแบมือ
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปวูบหนึ่งก่อนจางหายไปจนคนมองเกือบคิดว่าตาฝาดเพราะแรงเทียนวูบไหว โสมรออยู่ชั่วเวลาหนึ่งก่อนมือข้างที่ว่างของเขาจะยื่นมาจับมือบางกว่า
โสมกลั้นหายใจออกแรงกุมมือที่ใหญ่กว่าข้างนั้น ความอบอุ่นที่เคยสัมผัสได้ไม่มีอยู่เลย ฝ่ามืออันแข็งแรงก็
กลับเปราะบางได้ถึงเพียงนี้ นํ้าเสียงอันทุ้มนุ่มนวลกลับมีเพียงความกระด้างเย็นชา ห่างเหินและมาดร้าย แววตาที่เคยเปี่ยมความรักก็อัดแน่นไปด้วยความสาสมใจร้ายกาจและแวววิกลจริต
“เป็นบุรุษแท้ แต่มือกลับบอบบางราวสตรี สรีระของเจ้าช่างแปลกประหลาดนัก” สิ้นเสียงเยียบเย็นมาดร้ายของอีกฝ่าย มือบางของโสมที่กุมมือใหญ่กว่ากระตุกเกร็งจนสะเทือนไปถึงบาดแผล ท้องของเธอรวดร้าวระบมและส่งความรู้สึกนั้นไปทุกอณูบนร่างกาย ผิวของเธอปวดร้าวเหมือนจะปริแตก หัวสมองหนักอึ้ง และเต้นตุบอย่างแรงราวกับถูกมือปริศนาบีบคั้น เหงื่อกาฬไหลพรากเพียงชั่วเวลาเดียวก็ซึมโทรมกาย มือใหญ่ของชายตรงหน้ารีบกระตุกออกเพื่อตรวจอาการอย่างขมีขมัน
“อืม… แปลว่ายาที่ข้าเพิ่งคิดค้นยังไม่มีฤทธิ์ดีพอ คงต้องผสมตัวยาอีกอย่างสองอย่างจึงจะได้ผล” ชายหนุ่มพึมพำ แต่ไม่ได้สนใจว่าหญิงสาวเจ็บป่วยมากไปกว่าการคิดค้นหาตำรับยา “น่าจะผสมฝิ่นลงไปมากกว่านี้สักหน่อย จะได้ลดความเจ็บปวดของบาดแผลได้นานกว่านี้”
“ท่านเป็นใคร” โสมกัดฟันถามด้วยความพิศวงและความหวาดกลัวในตัวเขาอย่างแปลกประหลาด “ท่านไม่ใช่ธรรม์ที่ฉันรู้จัก แต่ท่านหน้าตาเหมือนกับเขามาก”
“ถูกจับได้เสียแล้วหรือนี่” ชายหนุ่มแสยะยิ้ม แล้วแผดเสียงหัวเราะแสงเทียนที่ไหววูบวาบทาบบนใบหน้านั้น ให้เกิดเป็นภาพที่ชวนสยดสยองราวกับว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับผีร้าย “เจ้าลองทายดูสิ… ถ้าเจ้าทายถูกข้าจะให้ยารักษาเจ้าให้หาย แต่ถ้าทายผิดข้าจะทำแค่ยื้อให้อาการของเจ้าทรงอยู่เช่นนี้ทรมานดีแท้ว่าไหม”
โสมหอบหายใจด้วยเหนื่อยต่อความเจ็บปวดทรมานที่รุมเร้าไม่ห่าง สติของหญิงสาววูบวาบเลือนรางแต่เพื่อเอาชีวิตรอดจำต้องรวบรวมสมาธิเพื่อครุ่นคิดให้ได้ แต่เธอไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เลยนอกจากว่าเขาเหมือนกับธรรม์ราวกับฝาแฝด แต่ก็แตกต่างอย่างเห็นไดชัดราวฟ้ากับเหว
“ลักษณะทางพันธุกรรมของท่านบ่งบอกได้ว่าต้องเป็นญาติใกล้ชิดกับธรรม์และด้วยรูปลักษณ์ที่เหมือนกันจนแทบแยกไม่ออกนี้ฉันสันนิษฐานว่าท่านเป็นพี่น้องฝาแฝดของธรรม์อย่างแน่นอน”
“เจ้าพูดจาแปลกพิกลนัก แต่ข้าสนใจสิ่งที่เจ้าพูด” ชายหนุ่มกระชากมือออกจากการเกาะกุม จ้องมองคนที่นอนพะงาบๆ อยู่บนเตียงไม้ด้วยแววตาพิศวงเจือความโมโหที่อธิบายไม่ได้ “อะไรคือลักษณะทางพันธุกรรม”
“ฉันทายถูกใช่ไหม ถ้าอย่างนั้น ท่านต้องทำตามสัญญา” หญิงสาวทวงสิ่งที่ตัวเองต้องได้ก่อน
“เจ้ายังทายถูกไม่หมด เจ้าไม่รู้ว่าข้าชื่ออะไร”
“แล้วฉันจะรู้ลึกถึงขนาดนั้น ได้ยังไงกันเล่า!” คนป่วยตะคอกด้วยความหงุดหงิดโมโหแล้วก็พบว่าเป็นการทำร้ายตัวเองแท้เพราะปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที
“คราวนีห้ากเจ้าตอบไม่ได้ข้าจะไม่รักษาเจ้า ทั้งยังจะใช้ยาบังคับให้เจ้าตอบคำถามทุกข้อที่ข้าต้องการรู้อีกด้วย”
โสมกัดฟันแน่นเพื่อยับยั้งอาการปวดหัวและอาการเจ็บป่วย ผู้ชายคนนี้ไม่มีความปรานีให้เธออย่างแน่นอนและมันน่าเคียดแค้นที่ตัวเองอ่อนแอจนตกอยู่ในกำมือของเขาอย่างปราศจากทางรอด เช่นนี้เธอต้องยอมทำทุกวิธีเพื่อรักษาชีวิตรอดเอาไว้ให้ได้เพราะตราบใดที่มีชีวิตอยู่ นั่นหมายความว่ามีโอกาสรอดไปจากที่นี่
“แน่ใจได้ยังไงว่าถ้าใช้ยาแล้วฉันจะพูดทุกอย่างที่รู้อย่าง ‘ถูกต้อง’ ตามความเป็นจริงน่ะ ขอสันนิษฐานว่าท่านจะใช้ยาชนิดที่ออกฤทธิ์กล่อมประสาทกับฉัน ทำให้ฉันอยู่ในอาการมึนเบลอเคลิบเคลิ้ม คำพูดของคนที่มีอาการอย่างนั้น ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจริงหรือไม่จริงอยู่ดี”
หญิงสาวระงับอารมณ์โกรธแล้วพูดเบาๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปกระเทือนอาการบาดเจ็บส่วนไหนของตนอีก “ฉันสันนิษฐานเกี่ยวกับเรื่องของท่านได้อย่างมากที่สุดก็แค่ท่านเป็นพี่น้องฝาแฝดที่มีความสำคัญต่อธรรม์คนหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย”
พูดจบก็ฉุกใจคิดอย่างอย่างจากประโยค ‘พี่น้องฝาแฝดที่มีความสำคัญต่อธรรม์’ เธอชะงักเพื่อครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็ต้องหลับตาร้องคราง ไม่คาดคิดว่าคนโหดเหี้ยมอำมหิตที่ไล่ควักไส้ถลกหนังคนในคืนเดือนมืดที่ควานหาอยากพบเจอ บทจะเจอก็เจอในตอนที่เธอไม่สามารถปกป้องตัวเองได้แม้แต่นิดเดียว เธอคิดถึงความที่สืบได้จากนางสุวิมลมา
ประกอบด้วย จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่เขาจะเป็นคนที่เธอคิด
“ท่านคือคนสำคัญของธรรม์คนนั้น” โสมพูดด้วยเสียเหนื่อยอ่อน “ท่านคือคนที่แข็งขืนครอบครองนางสุวิมลและถือมีดวิ่งไล่ฆ่าคนในความมืดคนนั้น มันน่าแช่งชักนักที่ดันมาชื่อโสมเหมือนกับฉัน!”
“ปากเจ้ามันน่าเลาะฟันออกมานัก!” มือใหญ่ฉกมาบีบปากคนปากเสียก่อนจะสะบัดออกอย่างแรง “ใช่! ข้าคือคนที่เจ้าพูดถึง ข้าชื่อโสมเหมือนกับเจ้า!”
“รักษาสัญญาด้วย”
“ข้าสนใจความคิดทางการแพทย์ของเจ้านัก ย่อมต้องให้เจ้ามีชีวิตรอดอยู่แล้ว” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างที่หญิงสาวลงความเห็นว่าเป็นรอยยิ้มจระเข้ “แต่จะให้มีชีวิตรอดอยู่ในสภาพใดข้ามิรับรองดอกหนา”
โสมเหนื่อยและแทบจะไม่สามารถครองสติเอาไว้ได้อีกแล้ว ก่อนที่จะหมดสติไปนั้น เธอได้ยินเสียงหัวเราะราวกับคนวิกลจริตของเขาที่ทำให้วิตกกังวลถึงชะตากรรมของตัวเองเมื่อฟื้นขึ้น มาอีกครั้งนัก
หากมีกรรมใดที่ต้องชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้พวกท่านจงมารับไปให้สิ้นเถิด!
คุณเพชรนั่งเอนหลังบนเตียงมองเนื้อตัวขาวๆ ของภรรยาที่สวมเสื้อคลุมอาบน้ำผ้าแพรสีม่วงตัวน้อยก้มๆ เงยๆ หาผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้ามาซับหน้า คราใดที่หญิงสาวก้มลงต่ำขอบเสื้อคลุมก็จะเลิกขึ้นจนเห็นต้นขาขาวกลมกลึงจนชายหนุ่มต้องยิ้มอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ทำตัวเป็นคนใจร้ายไม่ยอมเสนอตัวช่วยหาของให้เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็คงอดดูภาพสวยๆงามๆ แบบนี้จนเมื่อหญิงสาวได้ของที่ต้องการมาซับหยาดน้ำบนหน้าแล้วชายหนุ่มค่อยเอื้อมไปหยิบครีมบำรุงผิวและครีมทาแก้ผิวแตกลายมาถือไว้ในมือ
“หนูวันยังไม่ได้ทาครีมเลย จำได้ไหมจ๊ะ”
“จะทาก็ทาเลยสิ” ภรรยาสาวยิ้ม เอียงอายกึ่งท้าทาย ใบหน้าแดงระเรื่อราวกับแต้มกลีบกุหลาบยามเมื่อค่อยๆ ทิ้ง กายลงเอนหลังบนเตียงแล้วยอมให้มือใหญ่ปลดเสื้อ คลุมอาบน้ำลงจนเหลือเพียงซับในตัวบางปกปิด
ท่อนบนและล่าง ก่อนที่เขาจะชโลมครีมบำรุงผิวให้อย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน “เอริกหลับเกือบทั้งวันเลยค่ะวันนี้ตื่นมาอีกทีก็ก่อนที่พี่เพชรจะกลับบ้านสักครึ่งชั่วโมง”
“แล้วหนูวันได้นอนพักกลางวันบ้างรึเปล่าเอ่ย” สามีหนุ่มเอ่ยถามภรรยา ค่อยๆ ชโลมครีมบำรุงผิวลงบนปลีขากลมกลึงจรดปลายเท้า
“ก็นอนพร้อมกับเอริกนั่นแหละค่ะ” ภรรยาสาวหลับตาพริ้ม ครางอย่างสุขใจเพราะมือใหญ่เริ่มวนมาสัมผัสที่แผ่นหลังพลางกดและนวดหลังที่ขัดยอกให้ “ตื่นขึ้นมาเอริกก็ทำเหมือนไม่มีอะไรแต่ดวงตาไม่ค่อยสงบนัก วันบอกให้แกเล่าว่าฝันอะไรถึงได้ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีแกก็นิ่งไปแล้วก็พูดเปลี่ยนเรื่อง”
“พี่รู้สึกว่าครอบครัวเราผูกพันกับที่นั่นมากนะ” ชายหนุ่มวกขึ้น มานวดต้นคอและไหล่ภรรยาเบาๆ พอใจที่เห็นเธอผ่อนคลายลง “แต่ที่เราไม่รู้ก็คือเอริกมองเห็นใครและอะไรที่นั่นและรู้อะไรมากแค่ไหน”
“ได้ยินว่าพูดถึงทหารภูต พูดถึงราชัน ก็คงอยู่ในวังแล้วคงเห็นโสมด้วยมั้งคะ” หญิงสาวพูดเบาๆ หดคอลงแล้วหัวเราะคิกเมื่อริมฝีปากสามีแตะแต้มลงบนลำคอระหงเบาๆ อย่างหยอกล้อและเย้ายวนใจในเวลาเดียวกัน
“สำหรับตัวพี่ตอนนั้น มองกณวรรธน์นครผ่านสายตาของราชันอคิราภ์ แล้วเอริกมองกณวรรธน์นครผ่านสายตาของใคร”
“หรือจะเป็นไพรสัณฑ์คะ” นลวรรณนิ่งครุ่นคิด ขณะที่คุณเพชรหยิบครีมทาแก้ผิวแตกลายมาชโลมบนหน้าท้องนูนอย่างอ่อนโยนและอ่อนหวานที่สุดโดยไม่แสดงท่าทีอะไรให้ภรรยารู้แม้แต่น้อยว่าคิดอย่างไร
“สี่เดือนก็ท้องใหญ่เกินอายุครรภ์แบบนี้ลูกเราคงตัวอ้วนมากๆ หรือว่าไม่ได้มีแค่คนเดียวในท้องนี้กันแน่นะ” ชายหนุ่มเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแล้วเวียนจุมพิตลงบนครรภ์ของภรรยาด้วยความรัก วงแขนแข็งแกร่งโอบเอวที่หนาขึ้น เพราะอุ้มท้องอย่างประคับประคอง
ภรรยาสาวถอนใจด้วยความสุข ลูบผมเขาด้วยความรักใคร่อย่างเช่นที่ชอบทำ
“หนูวันจะไม่ลองอัลตราซาวน์ดูจริงๆ หรือจ๊ะ”
“ค่ะ วันอยากรอลุ้นตอนคลอดมากกว่า” นลวรรณบอกยิ้ม เมื่อสามีแนบแก้มลงบนครรภ์ของเธอพลางหลับตาพริ้ม ราวกับสุขสบายนักหนา
“ท้องใหญ่แบบนี้พี่อยากให้ผ่าท้องคลอดจะดีกว่า” คุณเพชรพูดงึมงำ “ถ้าลูกเราไม่กลับหัวขึ้น มาล่ะจะทำยังไง เขาอาจจะตัวใหญ่ หรือไม่ก็อาจจะเป็นแฝด หนูวันคลอดธรรมชาติเองคงลำบากมาก พี่เป็นห่วง”
“พี่เพชรกลัววันตายทั้งกลมหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถาม ชายหนุ่มผงกหัวขึ้น มองดวงตาดุจัดทันที “โธ่… วันก็แค่ถามเอง อย่าดุสิคะ แต่วันท้องแค่สี่เดือนเองนะคะเราก็มาพูดเรื่องคลอดกันแล้วหรือ”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง” สามีหนุ่มเอ็ดเสียงเข้ม “จำเอาไว้เลยห้ามพูดแบบนี้อีกเด็ดขาด”
นลวรรณถอนหายใจ เธอเข้าใจสามีว่าทำไมเขาถึงจริงจังกับเรื่องนี้มาก นั่นเป็นเพราะเมื่อครั้งที่ดวงจิตของเธออยู่ที่กณวรรธน์นครและดวงจิตของเขาผูกพันกับราชันอคิราภ์ เขาเคยเสียเธอไปเพราะความตายและต้องอยู่อย่างเดียวดายจวบจนสิ้นอายุขัย ฉะนั้น เมื่อได้กลับมาครองรักกันที่นี่เขาจึงหวงแหนชีวิตของเธอมากนัก
“วันขอโทษค่ะ” หญิงสาวประคองมือสามีขึ้น มาจูบขอโทษ เขาจึงใจอ่อนลงแล้วนั่งโอบกอดเธอด้วยความหวงแหน “ถ้าพี่เพชรอยากให้วันผ่าท้องคลอด วันก็ตามใจพี่ค่ะ”
“หนูวันสำคัญกับพี่มากถึงได้เจ้ากี้เจ้าการแบบนี้และเพื่อความปลอดภัยของหนูวันเองก็ไปอัลตร้าซาวน์ดูหน่อยนะจ๊ะ ถือว่าทำเพื่อทุกคนที่รักหนูวัน” คุณเพชรพูดพึมพำชิดเรือนผมของภรรยาและได้ยินเธอกระซิบรักตอบกลับให้ชื่นใจ