ตอนที่ ๒๑
โหยหา
ตั้งแต่ราชองครักษ์โสมหายตัวไปพระตำหนักสุริยันก็เหมือนถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ข้าราชบริพารที่รับใช้ใกล้ชิดราชันไพรสัณฑ์รู้สึกเสมือนตกอยู่ในสถานการณ์ศึกที่ตึงเครียดและกดดัน ต่างมีความระมัดระวังตัวและไม่ส่งเสียงดังจนบรรยากาศทั้งเยือกเย็นและเงียบงันเหมือนร้างผู้คน
ราชองครักษ์หิรัญอยู่อารักขาราชันหน้ากากภูตอย่างใกล้ชิดด้วยในเวลานี้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าพรั่นพรึง บรรดาข้าราชการที่ต่อต้านราชันเหิมเกริมหนัก ปล่อยข่าวเสียหายเกี่ยวกับชาติกำเนิดของราชันว่าเป็นเพียงสามัญชนต่ำต้อยมิคู่ควรแก่การกราบไหว้ จึงเริ่มมีชาวบ้านที่มีความคิดต่อต้านมากขึ้น และอีกไม่นานคลื่นใต้น้ำ นี้ก็อาจจะกลายเป็นคลื่นยักษ์ที่สั่นคลอนความมั่นคงของกณวรรธน์นครได้
หากชาวเมืองเกิดรวมกลุ่มกันออกมาต่อต้านราชัน แล้วทางการเข้าควบคุมสถานการณ์ ก็จะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนที่เหลือลุกฮือมากขึ้น ถึงแม้ทางการจะไม่ใช้ความรุนแรง แต่ก็เป็นไปได้ที่จะมีผู้ต้องการทำให้เกิดความรุนแรงแล้วจัดฉากปัดความผิดให้ทางการ เมื่อคิดจะกำจัดที่ตัวต้นเหตุทั้งหลายก็ไม่สามารถทำได้ เพราะคนเหล่านั้น ตั้งตนเป็นหัวหน้ากลุ่มชน หากทำรุนแรงเรื่องก็จะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น เพราะการเข้ามามีบทบาทของธรรม์! ผู้ที่ดูเหมือนไม่น่าจะมีบทบาทในทางการเมืองได้บัดนี้กลายเป็นผู้นำทิศทางการเมืองร่วมกับท่านกรวิกแห่งกระทรวงยุติธรรมที่เป็นหัวหอก
การก่อความคิดล้มล้างราชันไพรสัณฑ์ เมื่อต้องปะทะกันก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าฝ่ายใดจะกำชัย ตัวตัดสินชัยชนะมีเพียงใครพลาดน้อยกว่ากันเท่านั้น !
ราชองครักษ์หนุ่มเหลือบมองราชันหน้ากากภูตซึ่งกำลังทรงงานอย่างเงียบเชียบพลางขบคิดกลัดกลุ้ม แม้ราชันจะไม่ทรงเกรี้ยวกราดเมื่อการติดตามหาตัวคนที่ต้องการไม่ได้ความไม่คืบหน้า แต่ชายหนุ่มรู้ว่าทรงร้อนพระทัยและกริ้วมากเพียงไร การที่ทรงอดกลั้น และไม่แสดงความกริ้วออกมานั้น น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกว่าคลื่นใต้น้ำ เพราะหากทรงหมดความอดกลั้นขึ้นมาเมื่อใด หมายความว่าจะต้องมีหลายคนหิ้วหัวตัวเองออกมารับผิดชอบความโกรธเกรี้ยวของพระองค์ หนึ่งในนั้นรวมถึงหัวของเขาซึ่งเป็นผู้สังหารคนผู้นั้น !
บัดนี้เขารับรู้ได้ว่าหากราชันไพรสัณฑ์ทรงรู้ว่าเขาเป็นคนสังหารคนผู้นั้นด้วยมือของตัวเอง พระองค์จะไม่ยินยอมให้เขาตายอย่างเด็ดขาด แต่จะเลี้ยงให้มีชีวิตอยู่แล้วฆ่าให้ตายอย่างช้าๆ เพื่อให้เขาดื่มด่ำกับความเจ็บสาหัสและความทุกข์ทรมานเป็นการระบายความแค้นและโทสะทั้ง หมดกระนั้น เขาก็ไม่เสียใจที่ได้สังหารท่านโสมเพราะราชันไพรสัณฑ์ทรงปักหทัยหมายรักราชองครักษ์ผู้มีที่มาลึกลับผู้นั้นอย่างแท้จริง หากปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปกณวรรธ์นครอาจถึงกาลวิบัติเพราะทรงรักคนผิด!
มหาดเล็กเข้ามากระซิบความกับเขาอย่างเงียบๆ ว่าช่างจากโรงผลิตอาวุธมาขอเข้าเฝ้าเพื่อถวายผลงาน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ราชันไพรสัณฑ์ก็ทรงโบกพระหัตถ์ให้มหาดเล็กพาช่างเหล่านั้น เข้ามาได้
เขามองพระองค์ละจากงานอย่างแปลกใจเพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องใดที่ดึงดูดความสนพระทัยของพระองค์ออกจากงานได้ หมายความว่างานของช่างเหล่านั้นสำคัญจริงๆ
เหล่าช่างฝีมือพากันขนห่อผ้าหลายห่อเข้ามาด้วยอาการเกร็งๆ ก่อนจะวางของเหล่านั้น เพื่อถวายบังคม
ราชันหน้ากากภูตลุกขึ้น จากพระเก้าอี้ แล้วทรงเร่งให้ช่างเปิดห่อผ้าให้ทอดพระเนตร สิ่งที่อยู่ในห่อผ้าดูแล้วช่าง
ประหลาดตา มีทั้งฉมวกที่มีรูปทรงแปลก โลหะหนักที่มีด้ามจับหลายกระบอกกับลูกโลหะเรียวยาวหลายขนาด ราชันหนุ่มทรงหยิบจับอย่างทะนุถนอม ชั่วเวลานั้นบรรยากาศที่เกร็งเขม็งก็ผ่อนคลายลงและแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกโหยหาอาลัย
แต่เมื่อพระหัตถ์กำด้ามโลหะแน่นเกร็งจนขึ้นข้อขาว ความยะเยือกเย็นชาก็เคลื่อนเข้าปกคลุมบรรยากาศอีกครั้ง
จนแทบจะทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องวิ่งหนีด้วยความรู้สึกกดดัน
“เขาได้บอกพวกเจ้าหรือไม่ว่า อาวุธเหล่านี้เรียกว่าอะไรและใช้อย่างไร” ทรงรับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงเยียบเย็น แต่คนฟังเหงื่อตกราว
“ชื่อเฉพาะเป็นสัญลักษณ์แปลกประหลาดยากแท้ ข้าพระพุทธเจ้าจนด้วยเกล้าจะจดจำตามที่ท่านราชองครักษ์โสมบอก แต่ท่านราชองครักษ์ได้บอกวิธีใช้ให้แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจึงนำไปลองผิดลองถูกจนอาวุธเหล่านี้สามารถใช้การได้จริง” แม้ในตอนแรกจะหวาดกลัวราชัน แต่เมื่อกราบทูลแล้วก็ถูกความตื่นเต้นทำให้ลืมเลือนไป “อาวุธที่เรียกโดยรวม
ว่าปืนนี้เมื่อยิงไปที่เป้าหมายจะเกิดเสียงคำรามราวฟ้ากัมปนาท ข่มขวัญผู้คนนัก อีกทั้งยังทำลายล้างสูงถึงขั้นอาจทะลุทะลวงถึงเนื้อหนังคน ส่วนรอกชนิดนี้เมื่อนำมาประยุกต์ทำเป็นปืนยิงรอกสามารถเป็นเครื่องทุ่นแรงในการปีนป่ายได้ ข้าพระพุทธเจ้าไม่เคยเห็นอาวุธชนิดใดวิเศษเท่ากับอาวุธที่ท่านราชองครักษ์โสมออกแบบมาให้ทั้งหมดนี้แล้วพระเจ้าค่ะ”
“เขามักทำอะไรที่ไม่มีใครคาดคิดได้เสมอ” รับสั่งอย่างเลื่อนลอย
“คราแรกที่ท่านราชองครักษ์นำแบบทั้งหมดมาให้ พวกข้าพระพุทธเจ้าแทบอยากจะลากลับบ้านไปทำไร่ไถนา แต่เมื่อตรากตรำไม่ยอมแพ้จนกระทั่งทำสำเร็จ พวกข้าพระพุทธเจ้าอยากจะกอดท่านราชองครักษ์โสมแรงๆ เสียหลายทีที่ทำให้ในชีวิตนี้ของพวกข้าพระพุทธเจ้าได้มีโอกาสทำงานใหญ่สะเทือนฟ้าดินเช่นนี้”
“กอด?” ราชันไพรสัณฑ์วางอาวุธในมือ รับสั่งเยือกเย็น “เจ้าสามารถกอดเขาได้รึ”
“โอ้… ย่อมมิได้พระเจ้าค่ะ ย่อมมิได้!”
“ข้าให้เวลาเจ้าสองเดือน จงทำอาวุธทั้งหมดนี้อีกชนิดละร้อย” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงห้วนเจือกริ้ว “หากทำสำเร็จเจ้าจะได้รับการปูนบำเหน็จ แต่หากไม่สำเร็จจะได้รับโทษ!”
“พระเจ้าค่ะ!” เหล่าช่างอยากจะถอนคำพูดทั้งหมดคืนหากเป็นไปได้เพราะปากไวพาตายแท้ๆ จึงต้องเผชิญเคราะห์กรรมผลิตอาวุธที่แสนซับซ้อนชนิดละร้อยภายในสองเดือน เช่นนี้มิต้องทำงานกันอย่างลืมกินลืมนอนเลยหรือไร ไหนจะภาระที่ต้องหาเนื้อแร่ เนื้อทราย เนื้อโลหะ กับอีกสารพัดที่ยังต้องเฟ้นหา หรือเขาควรจะไหวตัวขอลากลับไปทำไร่ไถนาดี
ราชันจะประทานพระราชานุญาตหรือไม่
“ทิ้งอาวุธไว้ที่นี่ แล้วรีบไปจัดการตามที่ข้าสั่ง” รับสั่งเสร็จก็ตรงไปประทับยืนมองทิฆัมพรที่บานพระแกล ไม่ให้ความสนพระทัยในสิ่งใดอีก
ราชองครักษ์หิรัญนำความที่ได้ยินมาปะติดปะต่อได้ความว่า อาวุธทำลายล้างอานุภาพสูงนี้เป็นผลงานการออกแบบของท่านโสม นั่นทำให้ราชองครักษ์หนุ่มถอนใจโล่งอกที่กำจัดคนผู้นั้น เสียก่อนที่จะแปรพักตร์ไปเข้ากับฝ่ายของธรรม์โดยเต็มตัวเพราะจะเท่ากับว่าฝ่ายนั้นชิงความได้เปรียบในอีกหลายสิ่งที่คนผู้นั้น ยังไม่ได้เผยออกมาให้ราชันทรงทราบ
“ข้าเหลือความอดทนน้อยเต็มที” พระสุรเสียงแผ่วเบาแต่เย็นยะเยียบซึ่งลอยมาตามสายลมเยือกเย็นนั้น ทำให้แม้แต่หิรัญเองก็ขนลุกและใจแทบจะหายออกจากอก “พวกเจ้าไร้ความสามารถ ข้าสั่งให้หาคนเพียงคนเดียวก็หาให้ข้าไม่ได้ บอกข้าทีสิว่าสมควรทำเช่นไร”
“ข้าพระพุทธเจ้าสัมผัสได้ว่าท่านโสมไม่ใช่คนธรรมดา เพราะฉะนั้น…”
“พวกเจ้าจึงไม่สามารถพาเขามาให้ข้าได้” ราชันหน้ากากภูตหันมาสบตา หิรัญซึ่งรีบก้มหน้าลงเพราะไม่อาจทนต่อการสบจ้องของหน้ากากภูตได้เลยสักครั้ง แต่แม้จะหลบเลี่ยงก็ยังรู้สึกถึงคลื่นความกดดันที่บีบรัดร่างของเขาอยู่จนหายใจแทบไม่ออก เรี่ยวแรงค่อยเหือดหายจนเกรงว่าจะล้มลงได้ในทุกขณะ
“ข้าพระพุทธเจ้ามีข้อสงสัยว่า ท่านโสมไม่ปรารถนาให้พวกเราพบตัวพระเจ้าค่ะ” กว่าจะได้มาเป็นราชองครักษ์เขาย่อมต้องผ่านการเคี่ยวกรำมาหนักหน่วง ดังนั้น แม้จะถูกเล่นงานจากราชันหน้ากากภูตก็ยังคงมีขวัญกำลังใจที่จะพูด “แต่ที่ท่านโสมหายตัวไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวเป็นอริของธรรม์ ทำให้ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าท่านโสมอาจแปรพักตร์ไปหาธรรม์แล้วก็เป็นได้”
“เหลวไหล” พระสุรเสียงเย็นเยียบและคมกริบปานใบมีดจนแทบจะเฉือนใจของหิรัญได้ ชายหนุ่มยืนเหงื่อแตกโซมกาย เข่าอ่อนจนต้องทรุดลงคุกเข่ากับพื้น
“อาจเป็นไปได้จริงๆ พระเจ้าค่ะ ท่านโสมกับธรรม์มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อกัน หากท่านโสมบริสุทธิ์ใจแน่แล้วเหตุใดจึงไม่กราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ นี่อาจทำให้คิดได้ว่าท่านโสมมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ และเมื่อมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ก็ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าท่านโสมจะลงมือทำอะไร เช่นนี้ทรงแน่พระทัยได้อย่างไรว่าท่านโสมจะไม่ทรยศพระองค์”
“โสมไม่มีวันทรยศข้า!”
“ราชัน! โปรดไตร่ตรองด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ” หิรัญไม่ยอมแพ้ เขาขอวางเดิมพันด้วยชีวิตเพื่อแลกแก่การทำให้ราชันตัดพระทัยจากท่านโสมให้ได้ “หากท่านโสมยังคงภักดีต่อพระองค์ เวลาผ่านมาป่านฉะนี้ก็ต้องกลับมาเข้าเฝ้าพระองค์แล้ว แต่นี่กลับเงียบหายไป เรื่องนี้ใม่น่าสงสัยหรือพระเจ้าค่ะ”
“โสมไม่มีวันทรยศข้า!” ทรงรู้ว่ากำลังกำชับพระองค์เองมากกว่ากำชับให้หิรัญเชื่อ “หรือหากเจ้าคิดว่าโสมจะทรยศข้าจริง เจ้าก็ต้องยิ่งเร่งหาตัวเขาให้พบแล้วพามาพบข้า”
“คงไม่มีวันหาพบพระเจ้าค่ะ” เมื่อพูดออกไปแล้วจึงรู้ตัวว่าพลาดเผยบางอย่างให้ทรงสงสัยได้ ดังนั้น จึงรีบพูดกลบเกลื่อน “ท่านโสมเป็นเอตทัคคะในสรรพวิชา หากเขาไม่ปรารถนาจะให้ใครเจอก็ย่อมไม่มีใครเจอตัวเขาพระเจ้าค่ะ”
“เจ้ากำลังยอมรับว่าไร้ความสามารถ” ทรงก้าวพระบาทมายืนค้ำร่างที่ทรุดลงคุกเข่ากับพื้น อย่างไร้เรี่ยวแรง รับสั่งพระสุรเสียงกร้าวกระด้างและเย็นชา “ข้านึกสงสัยเหลือเกินว่าทำไมเจ้าจึงมั่นใจนักว่าจะไม่มีใครหาโสมพบ หรือเจ้ารู้อะไรในสิ่งที่ข้าไม่รู้”
“ข้าพระพุทธเจ้าได้พูดออกไปหมดแล้ว” ถึงคั้นให้ตายเขาก็ไม่ยอมบอกว่าคนที่พระองค์ทรงตามหาได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว หรือเขาจำเป็นต้องนำศพของท่านโสมมายืนยันเพื่อให้พระองค์ตัดพระทัยได้เสียที แล้วอาจจะถือโอกาสนั้นปัดความผิดไปให้ธรรม์รับผิดชอบว่าเพราะเกิดการทรยศจึงฆ่าล้างกันเอง หรือเป็นท่านโสมที่ภักดีต่อราชันจึงสู้กับธรรม์
จนตัวตายก็ตามแต่ที่ราชันจะทรงอยากเชื่อความคิดไหนก็แล้วกัน!
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าอีกเพียงสองสัปดาห์ หากโสมยังไม่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจะต้องมีคนหิ้วหัวตัวเองมา! เจ้าออกไปถ่ายทอดคำสั่งแล้วกลับมารั้งอยู่กับข้า! ไป!”
รับสั่งเสร็จก็สาวพระบาทไปยังห้องพระบรรทมเพื่อไปประทับนั่งบนเตียงของโสม ราชันหน้ากากภูตรู้สึกเหมือนกำลังเป็นบ้าด้วยความรู้สึกอันหลากหลายเกี่ยวกับโสม ไม่ว่าจะเป็นรัก ระแวง โกรธ เป็นห่วงและโหยหา ยามนี้ไม่ว่าจะทอดพระเนตรไปยังที่ใดก็จะทรงเห็นเงาของโสมในทุกที่ คนที่เป็นดั่งดวงหฤทัยของพระองค์ผู้นั้น จะสามารถทรยศพระองค์ได้จริงหรือ
ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลายหรือต่อให้ใครทั้ง หมดทั้ง มวลบนพื้น พิภพนี้จะคิดว่าโสมทรยศ พระองค์ก็จะยังทรงมั่นพระทัยว่าโสมจะไม่มีวันเป็นคนทรยศไปได้
โสมต้องมีเหตุผลที่ไม่บอกว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับธรรม์ ต้องมีเหตุผลที่ไม่กลับมา พระองค์ทรงสังหรณ์ไม่ดีมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เพราะไม่มีเบาะแสใดๆ เพิ่มเติมจึงได้แต่ร้อนพระหฤทัยอยู่เช่นนี้
ท่ามกลางความไม่รู้ที่มืดมนนี้พระองค์ทรงภาวนาให้โสมรอดปลอดภัยเป็นสุขกายสบายใจ อย่าได้พลาดถูกใครจับไปและอย่าได้ถูกกระทำทรมานหรือถูกทำอะไรที่ร้ายกว่านั้น เลย เพราะหากโสมกำลังเผชิญความทุกข์ทรมานเช่นนั้น ในขณะที่พระองค์ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ หรือได้มีอันเป็นไปโดยที่พระองค์ทรงไม่รู้เรื่องอะไรเลยขึ้น มาจริงๆ หัวใจดวงนี้ต้องแตกสลายและไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลนั้น ได้แน่นอน!
ในที่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากราชวัง ธรรม์ซึ่งเพิ่งกลับจากการวางแผนโค่นล้มราชันไพรสัณฑ์ตรงกลับเข้าห้องลงกลอนโดยไม่ให้ใครเข้ารบกวน ทันทีที่เข้าสู่ห้องหับมิดชิด ความผึ่งผายและประกายกร้าวแกร่งก็หายไป กลายเป็นความทุกข์ตรมและไร้ชีวิต ชายหนุ่มหอบสังขารไปยังเตียงนอนบนนั้นมีอาภรณ์สตรีที่โสมเคยสวมใส่วางอยู่ มือใหญ่ลูบไล้มันอย่าง
นุ่มนวลแผ่วเบาราวกับกำลังสัมผัสนางก่อนจะชักมือออกแล้วก้าวขึ้น เตียงนอนคู้จ้องมองมันอย่างเลื่อนลอย เขาจำได้ว่านางงดงามน่ารักเพียงใดเมื่ออยู่ในชุดนี้ดวงหน้าของนางผ่องใส ดวงตาเป็นประกาย เสียงของนางยามเจื้อยแจ้วจำนรรจา ตื่นเต้นสนุกสนานกับการเที่ยวไปทั่วเมือง แม้กระทั่งน้ำตาที่เขาและนางหลั่งออกมาก็เป็นความเจ็บปวดอันแสนหวานซึ่งเขาจะไม่มีวันลืมเลือน
ทุกวันนี้เขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยเป้าหมายเดียวคือแก้แค้นให้กับนาง หากเมื่อบรรลุเป้าหมายเมื่อไร ใครก็ขัดขวางเขาไม่ให้ด่ำดิ่งสู่หุบเหวได้ ตัวเขาขาดนางไปก็เหมือนจะขาดใจตายตาม เขาคิดถึงนาง โหยหานางเหลือเกิน นางคือโลกทั้ง ใบของเขา มีอิทธิพลต่อเขาอย่างที่เขาเองก็ไม่อยากเชื่อว่าเป็นไปได้ นางสมควรมีชีวิตอยู่เพื่อยังความสุขมาสู่ทุกคนรอบ
ข้าง สมควรอยู่เพื่อรับความรักจากเขา แต่ราชันไพรสัณฑ์กลับประหัตถ์ประหารนาง!
น้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่รินไหลออกมาง่ายๆ กลับตกต้องหมอน เป็นน้ำตาที่เปี่ยมไปด้วยความอาฆาตมาดหมายต่อราชันและความโหยหาในนางที่จากไป แต่น้ำตาเพียงเท่านี้ยังไม่สามารถสื่อถึงความรู้สึกของเขาทั้งหมด ความเคืองแค้นอาฆาตหากเปรียบเป็นเพลิงไฟก็อาจไหม้ไฟในนรกได้ ความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจนั้นหากแม้นเปรียบเป็นเม็ดทรายก็
สามารถถมมหานทีจนเต็ม
เสียงเคาะประตูเบาๆ อย่างเกรงใจระคนหวาดหวั่นขัดความคิดของธรรม์จนทำให้หงุดหงิดโมโห ชายหนุ่มก้าวลงจากเตียงด้วยกิริยากระฟัดกระเฟียดแล้วเดินไปเปิดประตู คนที่ยืนทำหน้าลำบากใจอยู่หลังบานประตูคือคนที่เขาสั่งให้ติดตามสอดส่องน้องชายอยู่
“ตอนนี้นายน้อยอยู่ที่เมืองลับแลมาหลายวันแล้วขอรับ ข้าพยายามจับตามองนายน้อยอย่างเงียบเชียบ ได้ความมาว่านายน้อยกำลังตื่นเต้นกับของเล่นใหม่ที่เพิ่งจับมาได้” ผู้มารบกวนรีบเร่งรายงานสิ่งที่จำเป็นต้องรายงานทันที
ธรรม์อยากจะถอนหายใจกับนิสัยวิกลของน้องชายนัก หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกขัดแย้งไม่เห็นด้วย แต่ในเวลานี้เขากลับเห็นว่าเป็นการณ์ดีเสียอีกที่จะสร้างความไม่ปลอดภัยในชีวิตให้กับผู้คนในเมือง จนกระทั่งไม่มีใครกล้าก้าวขาออกจากบ้านหรืออาจถึงขั้น รู้สึกไม่ปลอดภัยแม้จะอยู่ในบ้านตนเอง เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปถึงจุดนั้น ประชาชนจะลุก
ฮือ เปิดโอกาสให้เขาสร้างความวุ่นวายได้ง่ายขึ้น
“เจ้าจงนำความของข้าไปบอกแก่โสม” ชายหนุ่มลืมความหงุดหงิดที่ถูกรบกวนเวลารำลึกถึงแม่หญิงโสมในดวงใจทันทีเพราะมีอย่างอื่นน่าสนใจมากกว่า “ข้าอนุญาตให้เขามีอิสระทำอะไรก็ได้อย่างที่เขาอยากทำ!”
“ขอรับ”
โสมได้รู้ว่าเจ้าโสมวิปริตคนนี้เชี่ยวชาญการแพทย์จนอาจเรียกได้ว่าเป็นหมออัจฉริยะ แต่หมออัจฉริยะคนนี้ไม่ได้รักษาคนอย่างมีจรรยาบรรณ
เพราะเขาเลี้ยงไข้เธอ ในขณะนี้เธอคิดว่ามีเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เขายังไว้ชีวิตเธอก็คือความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่เธอมี แต่เธอคงใช้มันปกป้องตัวเองเอาไว้ได้อีกไม่นานเพราะมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ไม่มากพอ
สำหรับอัจฉริยะอย่างเขา เธอได้แต่มองเข้าไปในความมืดอย่างสิ้นหวัง ในเมื่อสภาพของเธอไม่สามารถจะหลบหนีได้คงได้แต่หวังว่าธรรม์จะมาช่วยเธอจากเงื้อมมือน้องชายของเขา เธอรอแล้วรอเล่าแต่เขาก็ไม่มา เขารู้หรือเปล่าว่าน้องชายของเขาทำกับเธออย่างไร เป็นไปได้หรือที่เขาจะไม่รู้ในเมื่อทุกคนอยู่ในความดูแลของเขา จะมีใครสักคนทำนอกเหนือคำสั่งของเขาได้หรือ
สิ่งที่คิดทำให้ร่างกายที่ผอมซูบลงสั่นสะท้านหนาวเหน็บไปถึงกระดูก หญิงสาวผ่านการทรยศจากคนที่ไว้วางใจมาแล้วครั้งหนึ่ง เธอยังไม่พร้อมที่จะยอมรับความจริงที่ว่าคนที่เธอคิดมอบความรักให้จะทรยศเธอด้วย เพราะนั่นเท่ากับว่าทุกคนรอบตัวพากันทรยศเธอและไม่มีที่ไหนที่เป็นของเธอ
เธอมันก็แค่คนที่โลกทรยศ!
หากเธอยอมรับเช่นนั้น แล้วชีวิตบัดซบนี้จะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า จะอยู่ต่อไปทำไมให้ถูกเขาทรมาน น่าจะตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่หญิงสาวไม่แน่ใจว่าหากตายแล้วมีการกลับชาติไปเกิดใหม่ ชีวิตจะดีขึ้น กว่านี้หรือไม่ หากเวรกรรมชักนำให้ชีวิตใหม่ตกต่ำลงไปกว่านี้จะมีประโยชน์อะไร เธอไม่ต้องการตายซ้ำๆ เพื่อพบกับความทุกข์แสนสาหัสอีกครั้ง
แสงเทียนถูกจุดขึ้น ในความมืดราวกับลูกไฟวิญญาณ โสมมองมันเคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยแววตาเรียบเฉยจนกระทั่งมีมืออันเย็นชืดข้างหนึ่งสัมผัสเนื้อตัวของเธอ เธอนึกขอบคุณพรข้อสุดท้ายของแม่หญิงจันทรวดีที่ยังทรงพลังแม้กระทั่งเธออยู่ในสภาพที่ไม่อาจช่วยตัวเองได้ มิเช่นนั้น แล้วสิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าที่กำลังเผชิญอยู่คงเกิดขึ้น และโลกใบนี้ก็คงเปรียบเสมือนนรกขุมสุดท้ายสำหรับเธอ
“เจ้าดูดีมาก”
“ตลกน่ะ ผอมโกรกขนาดนี้น่ะหรือ แล้วพนันด้วยเลยว่าสภาพของฉันโทรมไม่ต่างจากศพ อย่างนี้เรียกว่าห่างไกลจากคำว่าดูดีชนิดฟ้ากับเหวต่างหาก”
“เจ้ามันน่าหมั่นไส้” ชายหนุ่มผู้ปิดบังร่างกายทุกส่วนอย่างเม้นมิดพูดเสียงหงุดหงิด ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหยื่อของเขาไม่เคยแสดงความถดถอยทางจิตใจออกมาให้เห็นเลย กลับดูเยือกเย็น ปากกล้าและไม่แยแสต่อสิ่งใด เป็นไปได้หรือที่มนุษย์ซึ่งถูกบีบคั้นในหลายทางเช่นนี้จะมีกำลังใจแข็งกล้า ทำไมมีแต่ตัวเขาที่ใกล้จะคุ้มคลั่งขึ้น ทุกที!
“ฉันทำอะไรไม่ได้ดั่งใจท่านล่ะโสม” หญิงสาวถามด้วยเสียงละม้ายอ่อนใจ ทำให้คนฟังรู้สึกว่าเป็นเด็กที่กำลังถูกผู้ใหญ่ตำหนิว่าเอาแต่ใจตัวเอง
“ข้าเกลียดเจ้า”
“อือ… รู้แล้วล่ะ”
“ข้าอยากจะฆ่าเจ้า”
“ก็ไม่เห็นทำสักที”
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากตาย ถ้าข้าทำ เจ้าก็สมประสงค์น่ะสิ”
“งั้น ก็ให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“ข้าจะให้เจ้าอยู่เหมือนตายทั้งเป็น”
“ตอนนี้ฉันก็เป็นอย่างนั้น แล้วท่านพอใจแค่ไหนล่ะ”
“ข้าเกลียดเจ้า!” ชายหนุ่มโกรธจนตัวสั่นที่ไม่สามารถทำอะไรให้เหยื่อเกรงกลัวตนได้ คนผู้นี้เหมือนกระจกที่เขาส่งอะไรเข้าไปก็มีแต่จะสะท้อนกลับมาหาตัวของเขาเอง เจ้าคนนี้ไม่กลัวตายด้วยซ้ำ เขาไม่ทราบจะหาสิ่งใดมาบีบคั้น มันอีกแล้วเพราะความตายเป็นอาวุธสุดท้ายของเขา
แต่เขาไม่ต้องการให้มันตาย!
“ไม่มีอะไรใหม่ๆ มาพูดอีกแล้วหรือยังไง เจอกันทีไรก็พูดอย่างนี้ทุกที”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะบอกอะไรแก่เจ้าสักอย่างหนึ่ง” ชายหนุ่มแสยะยิ้มนึกอยากให้เหยื่อเห็นรอยยิ้ม ภายใต้ผ้าปิดหน้าของเขาจริงๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ากับพี่ชายของข้ากระทำเรื่องบัดสีกัน ต่างคนต่างรักกัน ข้าพูดถูกหรือไม่”
แววตาของโสมที่ต้องแสงเรืองรองของเปลวเทียนนิ่งสงบและมืดมิดจนมองไม่เห็นว่าซ่อนสิ่งใดเอาไว้ แต่ชายหนุ่มรับรู้ว่าหากเขาต้องการทำร้ายจิตใจเหยื่อก็มาถูกทางแล้ว
“ข้าได้รับคำอนุญาตจากธรรม์ให้มีอิสระทำอะไรก็ได้อย่างที่ข้าอยากทำกับเจ้า!”
โสมรับฟังอย่างสงบโดยไม่แสดงทีท่าอะไรออกไป แต่ดวงตาของเธอมืดหม่นมองไม่เห็นสิ่งใด สมองของเธอเจ็บปวดเหมือนถูกกรีดจนขาดเป็นริ้วๆ เรี่ยวแรงใดที่พอจะมีอยู่บ้างก็หดหายไป ลมหายใจติดขัดและแผ่วเบาจนคล้ายจะขาดได้ทุกวินาที ในห้วงทุกข์อันมืดมิดนี้เธอได้ยินเสียงยมทูตหัวเราะด้วยความยินดีปรีดาในชัยชนะบนความตายของเธอ น่าเจ็บใจนักที่เธออาจต้องตายโดยไม่สามารถตอบโต้เขาได้ แต่ในเมื่ออย่างไรก็ต้องตาย เช่นนั้น เธอจะขอทุ่มเทชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อสร้างความเสียหายให้กับเจ้าโสมวิปริตนี่ให้มากที่สุด!
“ฉันสงสัยมานานแล้วว่าทำไมท่านต้องปิดบังเนื้อตัวถึงขนาดนี้”
น้ำเสียงของโสมที่เปล่งออกไปแปร่งปร่าและเสียดหูจนแม้กระทั่งตัวของเธอเองยังรังเกียจ “ท่านชอบอยู่แต่ในความมืด เดาว่าผิวคงขาวซีดและหากกระทบอะไรเพียงนิดก็จะฟกช้ำดำเขียวง่าย หากนับดูแล้วสภาพของฉันดูดีอย่างที่ท่านพูดจริงๆ เพราะสภาพของท่านมันแย่ยิ่งกว่า มีชีวิตอยู่เหมือนตัวประหลาดไม่มีผิด!”
“หุบปาก!” การหัวเราะด้วยความสาสมใจกลับกลายเป็นการแผดเสียงโหยหวนด้วยความโกรธแค้นและเจ็บปวด มือผอมฟาดลงบนแผลที่ท้องของเธอจนแผลปริแตกและเลือดไหลซึมออกมา เธอกัดฟันเปลี่ยนเสียงกรีดร้องเป็นเสียงหัวเราะราวกับนักโทษเดนตาย
“ตั้งแต่เล็กจนโตท่านคงโดดเดี่ยวอ้างว้างมากสินะ ฉันพอจะนึกออกเลยว่าท่านต้องโตมาอย่างไร ทุกคนมองท่านเป็นตัวประหลาด ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ท่าน ทั้งเด็กเล็กเด็กโตพากันล้อเลียนท่าน ทุบตีทำร้ายท่านราวกับท่านเป็นสัตว์โสมมที่อ่อนแอและน่ารังเกียจ พ่อแม่ของท่านอาจจะไม่รักท่านด้วยซ้ำ เพราะท่านทำให้พวกเขาอับอาย ท่านเป็นตัวกาลกิณีที่ใครๆ ก็หาโอกาสจะฆ่าทิ้งเสีย”
“ข้าบอกให้เจ้าหุบปาก!” ชายหนุ่มคุ้มคลั่งฟาดลงบนแผลที่เลือดไหลทะลักซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ไม่อาจหยุดเสียงหัวเราะราวกับภูตผีชั่วช้าได้ ดูเหมือนยิ่งทำให้เหยื่อเจ็บเท่าไหร่เหยื่อก็ยิ่งหัวเราะมากเท่านั้น และสุดท้ายก็เป็นตัวของเขาเองที่ต้องเจ็บปวดเพราะคำพูดแทงใจดำนั้น
“ฉันพูดถูกทุกคำใช่ไหมล่ะ” โสมหัวเราะเยาะเย้ยอีกครั้ง ยิ่งเจ็บเธอก็ยิ่งบ้า ให้มันรู้ไปว่าเธอจะตายก่อนที่จะทำให้เจ้าโสมวิปริตนี่อยู่ในสภาพเหมือนสัตว์ป่าที่รอวันถูกคนฆ่าตาย! “แล้วท่านจะใช้ชีวิตอยู่ไปทำไมกันนะ ไร้ค่าเสียจริง ชีวิตของท่านดำเนินอยู่บนความน่ารังเกียจและน่าขยะแขยง ท่านคิดว่ามีกี่คนกันที่ฝืนใจอยู่ข้างกายท่าน หากไม่เป็นเพราะ
ท่านเป็นน้องชายของธรรม์ป่านนี้ท่านได้ตายอยู่ข้างถนนไปนานแล้ว!”
“อ๊าก!” ชายหนุ่มจิกทึ้งตัวเองอย่างบ้าคลั่ง บรรดาผู้ติดตามของเขาพากันแห่มาเมื่อได้ยินเสียงผิดปกติ แต่เขาไม่ได้รับรู้ถึงการปรากฏตัวของคนเหล่านั้นเลย
“อา… ดูสิ ผู้คนที่ฝืนใจมาอยู่ข้างกายท่านน่ะ แต่ละคนมีใครบ้างเข้าใจท่านจริงๆ มีใครบ้างที่อยากเข้าใกล้ท่าน เขามองท่านด้วยความเกลียดชังและความสมเพชด้วยซ้ำ ท่านอาจไม่เคยเห็นแต่เชื่อเถอะว่าลับหลังแล้วทุกคนรังเกียจท่านเหลือเกิน ท่านมันไร้ค่า ชีวิตท่านก็ไร้ค่า ท่านไม่เป็นที่ต้องการของใครหรอก ทำไมไม่ตายไปเสียล่ะ”
“เจ้าโกหก! เจ้ามันตัวอาเพศ!”
“ฉันอาจจะเป็นตัวอาเพศจริง แต่ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับฉันหรอก ชีวิตของท่านเคยทำอะไรนอกจากทรมานและฆ่าคนเหมือนเสพติดความวิปริตจนถอนไม่ขึ้น คนรอบข้างท่านสะอิดสะเอียนกันเพียงใดแล้ว หรือแม้แต่ตัวพี่ชายของท่านเอง เชื่อเลยว่าหากไม่ติดว่าเป็นพี่น้องกันเขาคงลงมือฆ่าท่านด้วยมือของตัวเองเลยเชียว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะท่านถ่วงความเจริญของเขา แทนที่เขาจะได้อยู่อย่างคนปรกติธรรมดากลับต้องมาหลบซ่อนใช้ชีวิตอยู่ในรูเหมือนหนูโสโครก ท่านมันสกปรกคนเดียวไม่พอยังทำให้ชีวิตของพี่ชายและคนรอบข้างของท่านสกปรกไปด้วย!”
“ข้าจะฆ่าเจ้า! เมื่อเจ้าตายจะไม่มีใครเสียใจให้เจ้า!”
“ท่านเองก็จะตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครหลั่งน้ำตาให้กับความตายของท่าน แต่พวกเขาจะพากันทุบตีศพท่านด้วยความแค้น พวกเขาจะถุยน้ำลายรดศพท่านด้วยความรังเกียจเหยียดหยาม พวกเขาจะแยกชิ้นส่วนของท่านโยนให้สุนัขกิน แล้วท่านแน่ใจหรือเปล่าว่าเขาจะไม่ฉลองให้กับความตายของท่านในเมื่อท่านมันเป็นตัวประหลาดที่ทุกคนภาวนาในทุกลมหายใจให้หายไปจากโลกนี้เสีย!”
“อ๊าก!” ชายหนุ่มร้องโหยหวนและจิกทึ้งทำร้ายตัวเองโดยมีเสียงหัวเราะเสียดแทงจิตใจของคนที่นอนรอความตายอยู่บนเตียงยั่วยุให้คลุ้มคลั่งยิ่งขึ้น บรรดาผู้ติดตามเห็นสภาพจิตไร้ยึดเหนี่ยวของนายน้อยที่พวกตนจำต้องดูแลก็มองหน้ากันแล้วพากันถอยหนีด้วยนึกรังเกียจ การกระทำของพวกเขาทำให้ชายผู้มีจิตผิดปกติคลุ้มคลั่งฟั่นเฟือนยิ่งขึ้น แต่ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็เงียบหายไป กลายเป็นความเงียบสงบที่ชวนหวั่นใจเข้ามาแทนที่ “เจ้าพูดถูกทุกอย่าง”
เสียงแหบพร่าเหี้ยมเกรียมทำให้โสมที่แทบหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจยิ้มหยันออกมา เธอจะดื่มดํ่าและละเลียดความทรมานหลังจากนี้ แต่ตราบใดที่เธอยังไม่ตาย เขาก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสบายใจที่ได้เห็นความเจ็บปวดของเธอเลย เพราะเธอจะทำให้เขาตายอย่างช้าๆ ด้วยคำพูดที่ฆ่าคนได้ของเธอเช่นกัน!
“ข้าจะให้เจ้าได้ชิมตัวยาหลายชนิดที่ข้าเตรียมไว้” มือผอมเลื่อนลงมาเกาะกุมลำคอของเหยื่อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ “ชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือของข้า! เจ้าเป็นของข้าคนเดียวเท่านั้น !”