ตอนที่ ๒๒
เบียดเบียน
ธรรม์ได้รับรายงานมาว่าน้องชายของเขาหมกมุ่นอยู่กับเหยื่อรายใหม่จนเกินไป ทั้ง ยงดึงให้นางอรดีเข้าไปพัวพันด้วย พฤติกรรมของสองคนนี้น่าสงสัยเพราะตามปกติแล้วนางอรดีจะพยายามเลี่ยงการพบปะกับน้องชายของเขา แต่หลายวันมานี้ดูนางจะพบปะสนิทใจกับน้องชายของเขามากถึงขั้น ไปเยือนสถานที่ซึ่งใช้ทรมานคนได้ ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปเมืองลับแลเพื่อจับผิดคนทั้งคู่ด้วยตนเองด้วยเกรงว่าทั้งคู่จะทำการอันโง่เขลาเป็นเหตุให้แผนการของเขาเสียหาย
การมาเมืองลับแลของเขาในครั้งนี้เป็นไปอย่างเงียบๆ ผู้ติดตามของน้องชายเดินออกมาทำความเคารพก่อนจะพรางตัวซุ่มอารักขาเช่นเดิม ครั้นเขาเดินทางมาถึงกระท่อมก็ประจวบกับที่นางอรดีมุดออกมาพอดี ภรรยาที่เขาทิ้งร้างชะงักงันตัวแข็งทื่อ หน้าขาวเผือดขึ้น และแสดงความหวาดกลัวออกมาจนน่าสงสัย ชายหนุ่มจ้องนางเขม็งราวกับ
สามารถลงมือสังหารได้ทุกอึดใจขณะเดินก้าวเข้าไปหา
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เสียงเย็นยะเยียบเอ่ยถาม ทำให้ร่างอรชรสั่นสะท้านด้วยความกลัวเพราะชนักปักหลัง
“อิฉัน… อิฉันมา… มา”
“เทวดาตนไหนดลใจให้พี่มาเหยียบที่นี่ได้หนอ” โสมมุดออกมาจากกระท่อมเพื่อเผชิญหน้ากับพี่ชาย ชายหนุ่มได้ยินเสียงของธรรม์เมื่อนางอรดีเดินผละมาเพียงไม่กี่อึดใจก็ทราบว่าทั้งสองต้องปะทะหน้ากันแน่ และนางคนโง่เขลาก็จะแสดงพิรุธออกมาให้ถูกจับได้จึงได้รีบออกมาแก้สถานการณ์
“ข้าสงสัยว่าทำไมพวกเจ้าถึงมาสนิทสนมกันได้” ธรรม์ยืนกอดอกปักหลักเป็นเชิงบอกว่าหากไม่ได้รู้ในสิ่งที่ต้องการจะไม่ไปไหน
“พี่กำลังหึงหวงนางอรดีอยู่ใช่หรือไม่” โสมหัวเราะเสียงแหบเจือแววเยาะ
ซึ่งธรรม์ทำได้ดียิ่งกว่า “อยากได้ก็เอาไป”
นางอรดีหน้าเผือดลงไปอีกด้วยความสะเทือนใจแล้วเปลี่ยนเป็นแดงกํ่าด้วยความอับอายก่อนสีหน้าจะคลายความกลัวเปลี่ยนเป็นความหมายมาดเคียดแค้นซึ่งนางซ่อนเอาไว้จากสายตาของสามีด้วยการก้มหน้าลง
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้านะโสม” เขาเอ่ยเตือนเสียงเรียบ
“ในเมื่อพี่ไม่ได้หึงหวง แล้วพี่กังวลอะไร” ชายหนุ่มร่างผอมเอ่ยถามเพื่อยื้อเวลาพลางขยับตัวยืนบดบังประตูอย่างแนบเนียน
“ข้าไม่ได้ถามเจ้าเพื่อให้เจ้ามาถามข้าต่อ” ดวงตาสีดำสนิทที่เคยมีรอยอุ่นบัดนี้มีเพียงจะทวีความเย็นชา “ในตอนนี้พี่คงกังวลว่าสิ่งที่ข้าทำจะไปทำลายแผนการโค่นล้มราชันไพรสัณฑ์เสีย ถ้าเป็นเรื่องนี้พี่ไม่ต้องกังวล ข้าเพียงกำลังพยายามสนับสนุนการกระทำของพี่อยู่เท่านั้น” โสมเอ่ยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์อย่างที่ธรรม์ไม่เคยไว้วางใจ “ข้ากำลังคิดค้นยาพิษร้ายแรงที่เปรียบเสมือนคำสาปในคืนวันเพ็ญ”
“ยาพิษอะไรของเจ้า” ธรรม์เริ่มให้ความสนใจ
“ก็หากพี่ต้องการโค่นล้มราชันไพรสัณฑ์ก็ต้องหาเหตุหลายๆอย่าง หนึ่งในนั้น ข้าขอเสนอให้นำยาพิษสาปจันทราของข้าไปละลายในบ่อน้ำดื่มให้ชาวเมืองได้ดื่มกิน เมื่อคืนจันทร์เพ็ญเวียนมาบรรจบยาก็จะออกฤทธิ์ ถึงตอนนั้น ให้ท่านปล่อยข่าวว่าเพราะราชันไพรสัณฑ์ทำให้แม่หญิงจันทรวดีพิโรธ แม่หญิงจึงสาปชาวเมืองให้ต้องทนทุกข์ทรมานในคืนวันเพ็ญเป็นการสังเวย อย่างนี้ดีหรือไม่”
“ข้าเพิ่งเคยเห็นเจ้ามีหัวคิดก็คราวนี้” ธรรม์หัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียม การสูญเสียความรักได้ฆ่าหัวใจแห่งความเมตตาของเขาไปเสียสิ้นแล้ว!
“แล้วเจ้าคิดค้นสำเร็จแล้วหรือยัง”
“ต้องรอดูผลคืนนี้ก่อน” แววตาวิกลจริตเปลี่ยนวูบไป “พี่จำได้หรือไม่ว่าได้อนุญาตให้ข้าทำตามแต่ใจแล้ว”
“ย่อมจำได้”
“ข้าจับเหยื่อมาหนึ่งคนเพื่อเป็นตัวทดลองยาพิษสาปจันทราของข้า ก่อนที่จะได้สูตรยาที่ใกล้เคียงจุดมุ่งหมาย ข้าก็ใช้เจ้าคนนี้เสียคุ้มทีเดียว และถึงแม้ยาพิษขนานนี้ของข้าจะเป็นผล ข้าก็จะใช้เจ้าคนนี้ทดลองสูตรยาพิษอีกมากมายหลายแขนง ท่านจะเห็นว่าข้าโหดเหี้ยมไปหรือไม่”
“จะทำอะไรก็ตามแต่ใจเจ้า ขอเพียงได้ยาพิษที่ร้ายแรงมากยิ่งขึ้น มาให้ข้าได้ก็เป็นพอ”
เสียงของหล่นดังมาจากด้านในทันทีที่สิ้นเสียงเย็นยะเยียบของธรรม์ ชายหนุ่มผู้เป็นผู้นำกองกำลังลับขมวดคิ้ว นิดหนึ่งก่อนคลายออกอย่างไม่ใส่ใจเมื่อน้องชายเอ็ดให้นางอรดีเข้าไปจัดการกับเหยื่อในกระท่อมให้เงียบเสียงเสีย มีเสียงของนางอรดีตวาดแว้ดด่าสาดเสียเทเสียตามด้วยเสียงทุบตีที่ไม่ต้องเข้าไปยืนดูก็รู้ว่าเหยื่อจะต้องบาดเจ็บมากเพียงใด
“ข้าไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว เจ้าจะทำอะไรก็ทำต่อไปเถอะ” ชายหนุ่มบอกแล้วหันหลังกลับ แต่น้องชายเอ่ยรั้งเอาไว้
“เดี๋ยวสิพี่… ถ้าข้าจะฆ่าเหยื่อทิ้งเสียเหมือนที่แล้วมา พี่จะตำหนิข้าหรือไม่”
“ปกติแม้ข้าไม่เห็นด้วยเจ้าก็ยังดื้อดึงจะทำ ทำไมครั้งนี้ต้องขออนุญาตข้าทุกอย่าง”
“ถึงข้าจะมุทะลุแต่ก็ยังพอมีหัวคิดบ้าง ตอนนี้พี่กำลังทำการใหญ่ ข้าจะทำอะไรก็ต้องระวังมาถามความคิดเห็นของท่านก่อนเสมอ”
“คิดได้อย่างนี้ก็ดี” เขาพยักหน้า “แต่นับจากนี้เจ้าจะทำอะไรอย่างที่แล้วมาก็ให้ทำได้เต็มที่ จะฆ่าเหยื่อเสียให้ทรมานเพียงใดก็ให้ทำ ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะทำให้ศพเป็นที่สะเทือนขวัญมากกว่าที่แล้วมา”
“ได้อย่างที่พี่ต้องการ!”
แล้วธรรม์จากไปโดยมีเสียงหัวเราะราวกับปีศาจที่กำลังรื่นเริงกับหายนะไล่ตามหลัง
โสมหมดแรงแม้แต่จะหายใจ ได้แต่เบิกตามองความมืดราวกับไร้ชีวิต ตามตัวของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำ แผลถูกมีดกรีด และแผลจากการถูกเฆี่ยนด้วยน้ำมือของนางอรดี แต่มีเพียงบริเวณเดียวที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนนั่นก็คือใบหน้าของเธอเพราะเจ้าโสมวิปริตชื่นชมใบหน้าของเธอนักถึงกับเอ่ยว่าเมื่อตัดหัวเธอแล้ว เขาจะเอาหัวสวยๆ นี้ไปตั้งไว้ที่หน้าประตูวัง
เธอจมอยู่ในความทุกข์ทรมานจากการถูกทารุณด้วยวิธีต่างๆ นานเสียจนไม่รู้วันคืน ความเจ็บปวดกลายเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันกับเธอว่ายังมีชีวิตอยู่ ร่างกายของเธอบอบช้ำจากพิษที่ยังคงไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด หากสังเกตดูจากท่าทีผ่อนคลายสบายใจของเจ้าโสมวิปลาส แล้วดูคล้ายว่ายาพิษที่เธอเพิ่งถูกจับกรอกลงไปจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอจะได้กินเพราะหลังจากนั้น เธอจะต้องตาย
เธอรู้สึกสิ้นหวัง แต่เมื่อได้ยินเสียงของธรรม์ เธอเกิดความหวังที่จะรอดมาวูบหนึ่งจึงพยายามลุกขึ้น เพื่อส่งเสียงให้เขาได้รับรู้ จนกระทั่งได้ยินถ้อยคำประหัตประหารออกจากปากของเขา เธอจึงหมดแรงกายแรงใจจนร่างทรุดลงกระแทกบางสิ่งตกแตกในความมืด หลังจากนั้น นางอรดีก็ตรงเข้ามาด่าทอซึ่งเธอก็รับฟังเหมือนลมผ่านหู รับรู้ลางๆ ผ่านร่างกายที่ด้านชาว่าถูกบางสิ่งที่แข็งและหนักทุบทีไปตามเนื้อ ตัว และคนที่เธอคิดว่าจะมาช่วยฉุดเธอขึ้น จากขุมนรกเดินจากไป
เธอได้ตายลงและกำลังอยู่ในนรกแล้ว!
โสมนอนนิ่งอย่างยินยอมให้ทุบตีตามแต่ใจด้วยหวังว่าจะสามารถตายไปให้พ้นจากนรกแห่งนี้ได้ หญิงสาวยินดีที่จะลองตายหนีนรกอย่างที่ไม่เคยมีใครลองทำมาก่อน น่าสนใจน้อยเสียเมื่อไหร่หากมีเธอเป็นคนแรกที่อาจทำสำเร็จ
ท่าทางจะถูกทุบจนเพี้ยนเสียแล้วเรา
นางอรดีหยุดทุบตีไปแล้วจะด้วยเหนื่อยหรือด้วยเหตุผลประการใดโสมก็สุดรู้ เพราะตั้งแต่นางอรดีมาที่นี่ก็ไม่เห็นคิดจะทำอะไรนอกจากทุบตีทำร้ายเธอ
“ข้าไม่เคยเห็นคนเดนตายแบบนี้มาก่อน เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าตัวเจ้าใกล้ตายเต็มที”
“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ” หญิงสาวพูดเสียงแหบแผ่ว “แต่ฉันตายจนชินแล้วก็เลยไม่รู้ว่าต้องกลัวอะไรอีก”
“ทำเป็นปากเก่ง!” นางอรดีตวาด
“ความจริงเป็นยังไงก็เห็นอยู่แล้วนี่ ฉันดูกลัวตายมากหรือยังไง”
“ปากเก่งเหลือเกิน!” นางอรดีพูดเสียงเสียดระคายหู “ผัวของข้าไม่สนใจเจ้าเลยสักนิด โถ… ไหนว่ารักกันนักหนา”
“นั่นสินะ… ถึงเขาจะทิ้งฉันก็ไม่เห็นกลับไปหาน้ำพริกถ้วยเก่า เธอถึงได้มายืนกระแนะกระแหนฉันอยู่ตรงนี้”
“หุบปาก!” นางกรีดร้องพร้อมยกกระบองไม้ทุบลงบนขาทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยรอยมีดกรีด แต่คนถูกทุบกลับไม่สะดุ้งสะเทือนคล้ายจะหมดความรู้สึกไปแล้ว
“อย่าไปทุบมันมากสินังโง่!” ชายหนุ่มหัวเราะสาแก่ใจ “นั่นมันคนนะไม่ใช่กระท้อนที่ยิ่งทุบก็ยิ่งหวาน”
“เริ่มมีอารมณ์ขันกับเขาบ้างแล้วเหมือนกันนี่โสม” หญิงสาวหัวเราะหึๆ
“จิตใจของเจ้าก็เริ่มถดถอยแล้วเหมือนกันนี่โสม” เขาโต้ตอบกับหญิงสาวชื่อเดียวกับเขาด้วยน้ำเสียงเยาะ เขารู้ว่าพฤติกรรมที่เหยื่อแสดงออกมาบ่งบอกได้ว่าจิตใจได้รับความเสียหายอย่างมากชนิดหากรอดตายไปได้ก็ไม่อาจหายดีเป็นปกติ เขาภูมิใจน้อยเสียเมื่อไรที่ได้รู้ว่าสามารถทำลายคนให้จิตใจตายดับได้เช่นนี้
“ฉันยังต้องบ่มอีกนานกว่าจะจิตใจถดถอยได้เท่าท่าน”
“น่าตายนัก!”
“พูดซ้ำๆ อยู่ได้ไม่กี่ประโยค หาอะไรใหม่ๆ มาพูดบ้างเถอะอย่างเช่นพูดเรื่องโรคอัปรีย์ของท่าน คงจะลำบากมากสินะที่ผิวบางและแพ้ง่ายเหลือเกิน คิดค้นยาตัวไหนมารักษาได้หรือยังล่ะ แต่ขอบอกว่าอย่าเสียเวลาไปคิดค้นให้เปล่าประโยชน์ เพราะโรคอัปรีย์ที่ท่านเป็นอยู่มันเกิดมาพร้อมกับท่านแล้วมันก็จะตายไปพร้อมกับตัวท่าน” โสมยิ้มในความมืด
“รู้ไหมว่าฉันนอนคิดอยู่ตลอดเลยว่าท่านเป็นโรคอะไรกันแน่ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านวารสารการแพทย์เกี่ยวกับโรคนี้มาบ้าง ถ้าจำไม่ผิดมันจะเรียกว่า Xeroderma Pigmentosum มันเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมเพราะฉะนั้น ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ฉันเคยอธิบายแล้วใช่ไหมว่าคำว่าพันธุกรรมคืออะไร มันคือรหัสชีวิตตั้งแต่โบราณยังไงล่ะ”
“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!”
“มันน่าเคียดแค้นไหมล่ะที่ท่านเป็นตัวประหลาดอัปลักษณ์แบบนี้ได้ เพราะบรรพบุรุษของท่านเอง แต่ท่านกลับถูกพวกเขารังเกียจเหยียดหยาม มันไม่ยุติธรรมเลยใช่ไหม แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อการมีท่านไว้ให้ระบายความเกลียดชังและความเคียดแค้นมันดีกว่าอยู่แล้ว”
“เจ้ามันปีศาจ!” ชายหนุ่มตวาดพร้อมเอามือกดบริเวณที่บาดแผลเก่าที่เปล่งบวมอักเสบเพราะติดเชื้อ
“เราก็เป็นพวกเดียวกันนั่นแหละ” โสมหัวเราะให้กับความเจ็บปวดของฝ่ายตรงข้าม ความสุขที่เกิดขึ้นมีมากพอที่จะทำให้ความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ จากร่างกายอันด้านชาไร้ความหมาย “อาการของท่านน่าสะอิดสะเอียนพอดู แค่โดนแสงผิวก็จะไหม้และแพ้อย่างรุนแรง ดวงตาระคายเคืองง่าย ผิวหยาบกระด้างแถมตกสะเก็ดเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน
จำพวกหนึ่งตอนกำลังผลัดผิวหนัง มิน่าล่ะท่านถึงได้พันตัวเอาไว้จนผิวแทบไม่มีที่หายใจ สงสารก็แต่นางสุวิมลที่ต้องกลํ้ากลืนความสะอิดสะเอียนยอมนอนกับท่าน”
“อ๊าก!”
นางอรดีเซซังหนีห่างจากโสมทั้งสอง โสมคนหนึ่งมีสภาพใกล้ตายแต่ยังคงความร้าย โสมอีกคนหนึ่งคลุ้มคลั่งจิตไม่ปกติ ทั้งสองต่างก็เหมือนปีศาจพอๆ กัน จนนางเริ่มจะนึกกลัว เสียงหัวเราะแหบเยือกเย็นเมื่อคลอไปกับเสียงโหยหวนแล้วฟังคล้ายดังมาจากในนรก หรือตอนนี้นางกำลังเหยียบอยู่ในนรกกันแน่!
นางรีบวิ่งอย่างคนตาบอดไปในความมืดเพื่อหลบหนีออกจากนรกแห่งนี้โดยไว ที่แล้วมานางถูกความเคียดแค้นบังตาจนลืมสังเกตไปว่าโสมทั้งสองอยู่ในสภาวะอันตรายเพียงใด วันใดวันหนึ่งนางอาจจะถูกพวกเขารุมฆ่าตายอย่างทรมานก็ได้ ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมผู้ติดตามของน้องสามีถึงออกไปยืนอยู่ห่างจากกระท่อม เพราะสถานที่นี้ไม่เหมาะแก่คน แต่เป็นที่ของอมนุษย์!
“ยอมรับความจริงไม่ได้หรอกหรือ ฉันคิดว่าท่านยอมรับได้แล้วเสียอีกเพราะตกอยู่ในสภาพทุเรศทุรังแบบนี้มานานเท่าอายุของท่านแล้ว” หญิงสาวแสร้งทำเสียงเห็นอกเห็นใจอย่างไร้ปรานี
“ข้าจะส่งคนไปสังหารราชันไพรสัณฑ์เสีย!”
“ทำไมถึงคิดว่าฉันจะสนใจล่ะ ในเมื่อราชันเป็นคนที่ส่งฉันมาสู่มือของท่าน”
“เจ้า!” ชายหนุ่มรู้สึกคับแค้นใจ ที่ผ่านมาเขาคิดมาโดยตลอดว่าตราบใดที่คนยังมีชีวิตอยู่ย่อมมีจุดอ่อนให้โจมตี แต่คนผู้นี้ทำให้เขาอับจนปัญญา เพราะถึงแม้จะยังไม่ม้วยชีวาแต่ก็ไร้จุดอ่อนที่จะโจมตีได้!
คนที่สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผู้ไร้จุดอ่อนอย่างแท้จริงหรอกหรือ ถ้าเช่นนั้นนับว่าข้าทำผิดไปแล้วที่ลงมือบีบคั้นจนเหยื่อหมดหนทาง จะแก้ไขตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว!
“ปากเก่งไปเถอะ ข้าอยากรู้นักว่าหากเจ้าต้องลิ้มรสยาพิษสาปจันทราของข้าจะยังเก่งได้อยู่อีกหรือไม่” ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม “ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะจับตาดูเจ้าทุรนทุราย และหากเจ้าใจเสาะตายไปก็จะไม่ได้ตายอย่างโดดเดี่ยวเพราะข้าจะนั่งอยู่ข้างๆ เจ้า”
“นั่งดูแล้วก็สังวรณ์ไว้ด้วยว่านี่คืออนาคตที่ท่านจะต้องเผชิญ และท่านจะต้องอนาถมากกว่าฉันแน่นอน”
ชายหนุ่มบรรลุแก่โทสะตบเปรี้ยงไปบนใบหน้าของคนที่เอาแต่หัวเราะสาสมใจ เลือดในกายของเขาเย็นยะเยียบด้วยสังหรณ์ร้ายราวกับคำพูดของเหยื่อเป็นคำสาปติดตามตัว แต่ด้วยฐานะของเขา ด้วยการปกป้องของพี่ชาย เขาจะไม่มีวันพบกับหายนะที่น่าอนาถยิ่งกว่าเหยื่อของเขาแน่นอน!
พระธนุธัมโมออกจากสมาธิด้วยจิตใจอันหดหู่ เมื่อแรกที่นั่งสมาธิแล้วเกิดนิมิตที่มีความมืด เสียงด่าทอและเสียงทุบตีนั้น สมาธิท่านเกือบจะหลุด แต่เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นหูท่านก็พยายามคงจิตให้อยู่นิ่ง
ท่านคิดเอาเองว่าเสียงที่คุ้นหูนั้น คือเสียงของโสมและเธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ที่สุด ครั้นเพ่งจิตรับฟังจนครบถ้วนจิตของท่านก็ถดถอยออกจากสมาธิ โทสะและโมหะจับติดจิตใจจนเหนียวเหนอะหนะไปหมด
“สีหน้าไม่ดีเลยนะธนุธัมโม” นำ้ เสียงอันบริสุทธิ์ของพระพี่เลี้ยงดังขึ้น ข้างกาย พระธนุธัมโมจึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าพระพี่เลี้ยงนั่งอยู่ข้างๆ “เกิดอะไรขึ้น ”
“ผมเห็นนิมิตขณะปฏิบัติพระกรรมฐานครับพระอาจารย์” พระธนุธัมโมเกิดความยินดีที่มีพระพี่เลี้ยงชี้นำ “ผมเห็นแต่ความมืด แต่ได้ยินเสียงแห่งความทุกข์ของพวกเขา”
“นิมิตมักจะเป็นผลข้างเคียงจากการปฏิบัติกรรมฐาน มันเป็นบ่วงมารขัดขวางเธอไม่ให้เห็นธรรมที่แท้จริงหรือเรียกว่าเกิดวิปัสสนูปกิเลส คือกิเลสที่เกิดขึ้น จากการปฏิบัติวิปัสสนาที่มักมาจากการปฏิบัติสมถะสมาธิ หรือฌานแต่ฝ่ายเดียว เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งวิปัสสนาซึ่งเกิดแก่ผู้ได้วิปัสสนาอ่อนๆ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าได้บรรลุมรรคผลขั้น ใดแล้วไม่ดำเนินก้าวหน้าต่อไปในวิปัสสนาญาณ” ดวงตาของพระพี่เลี้ยงกระจ่างใสขณะทอดมองลูกศิษย์ผู้เพียรศึกษาธรรม
“เจ้าตัวนี้มันร้าย เพราะมันจะลวงให้เธอน้อมใจอยากด้วยอธิโมกข์จนถอดถอนไม่ขึ้น อธิโมกข์ก็คือความปักใจ ความน้อมใจเชื่ออย่างรุนแรงด้วยอัตตาหรือความศรัทธาที่ไม่เป็นไปตามแนวทางเหตุและผล ก็คือไม่เป็นไปตามแนวทางแห่งปัญญา เธออย่าได้ยึดติดว่าเสียงนิมิตที่เธอได้ยินเป็นความจริงด้วยการน้อมเชื่ออย่างรุนแรงด้วยอธิโมกข์เพราะอวิชชาเป็นเหตุ จงไตร่ตรองมันให้เกิดปัญญาอันเป็นกุศลเถอะ”
พระภิกษุหนุ่มกราบนมัสการคุณของพระพี่เลี้ยงด้วยความปลาบปลื้ม นิมิตนี้อาจจริงหรือเท็จก็ได้ แต่ท่านจะถือเป็นที่เตือนใจว่าต้องตั้งมั่นแผ่จิตอุทิศส่วนกุศลเพื่อผ่อนแรงกรรมของโสมให้จงได้ โสมอาจกำลังติดอยู่ในนรกภูมิรูปหนึ่ง กำลังชดใช้กรรมที่เคยทำไปอย่างทุกข์ทรมาน คิดแล้วก็มองย้อนกลับมาดูตัวว่าธนุได้กระทำกรรมเบียดเบียนชีวิตของใคร
มาบ้างแล้ว กรรมนั้น ก็ติดเป็นเงาตามตัวธนุอยู่เช่นกัน บางทีหากมีอันต้องออกจากใต้ร่มกาสาวพัสตร์แล้วธนุจะเลิกทำงานเดิมแล้วกลับไปช่วยมารดาดูแลกิจการของครอบครัวเพื่อหลีกเลี่ยงการก่อกรรมทำเข็ญต่อชีวิตของใครอีก
อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก… ความไม่เบียดเบียนเป็นสุขในโลก