ตอนที่ ๒๕
เทียนแห่งธรรม
“โสม” ราชันไพรสัณฑ์ทรงพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมพระสุรเสียงของพระองค์ไม่ให้สั่นทั้งที่พระหทัยเย็นเฉียบเหมือนถูกแช่ในธารน้ำแข็ง “เจ้าจำอะไรได้บ้าง”
โสมเอาแต่หอบหายใจและมองไปรอบๆ หญิงสาวไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งรอบข้างและไม่รู้จักผู้ชายที่กำลังกอดเธออยู่ เธอแหงนหน้าขึ้น มองผู้ชายตรงหน้าเต็มตาและสบกับดวงตาสีเข้มของเขา ตอนแรกเธอรู้สึกวูบไหวอยู่บ้าง แต่จู่ๆ ความรู้สึกหวาดระแวงอย่างไร้สาเหตุก็ผุดขึ้นมาจนเธอไม่สามารถมองเขาต่อไปได้และรีบผลักตัวเองออกจากเขา แต่เมื่อเขากอดกระชับแน่นขึ้น เธอก็เริ่มตระหนกร้องให้ปล่อยและพยายามดิ้นรนอย่างอ่อนแรงแม้จะรู้ว่าไม่สามารถหลีกพ้นอ้อมแขนของเขาไปได้
“อย่าดิ้น ! เดี๋ยวเจ็บแผล!” ราชันหน้ากากภูตทรงรวบข้อมือเล็กและบางจนน่าใจหายเอาไว้อย่างระมัดระวัง โอบกอดนางแล้วกระซิบปลอบโยน “อย่ากลัวไปเลย ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว คนดีของพี่”
หญิงสาวร้องไห้ด้วยความสับสนในหลายอย่าง เธอค่อยๆ หมดแรงที่จะดิ้นรนหลบหนี เสียงอันไร้ที่มากระซิบบอกเธอว่าไว้ใจเขาไม่ได้ เขาจะทรยศเธอและเธอจะต้องเจ็บปวด แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมหรือเพราะอะไรจิตใจของเธอปั่นป่วนจนเหมือนจะเสียสติ ความบอบช้ำรุนแรงของจิตใจทำให้สมองสั่งการให้สลบไปอีกครั้ง เพื่อเลี่ยงความเจ็บปวด
“โสม” ราชันหนุ่มรับสั่งเรียกนางด้วยความเจ็บปวดก่อนตัดพระทัยประคองร่างของนางนอนลงอย่างทะนุถนอม พระองค์อ่านสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจของนางออก และอ่านลึกไปถึงความกลัว ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่นางได้รับ นางกำลังปิดกั้นตัวเองออกจากทุกสิ่งเพื่อรักษาตัวตนที่เหลือของนางเอาไว้
นางปิดกั้นจนลืมพระองค์ ลืมทุกคน ลืมแม้กระทั่งตัวเอง แต่ไม่ลืมความเจ็บปวด!
ทรงทอดพระเนตรโสมอยู่ตรงนั้น นานเพียงใดไม่ทราบ รู้สึกอีกทีก็เมื่อหิรัญซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่พระองค์อนุญาตให้ขึ้น มาเฝ้าหน้าห้องได้กราบทูลว่าหมอหลวงกำลังมาแล้ว จึงทรงเร่งให้บรรดาหมอมาตรวจอาการบาดเจ็บของคนที่เพิ่งสลบไปอีกครั้งทันที ผลปรากฏว่าการดิ้นหนีของนางเมื่อครู่สะเทือนถึงบาดแผลที่ท้องจนบวมแดงคล้ายจะปริแตกจนต้องทำการรักษากันใหม่
“นางฟื้นขึ้น มาเพียงชั่วครู่เดียวก็คลุ้มคลั่งแล้วสลบไปอีกครั้ง แต่นางพูดเพ้อออกมาว่าจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่ตัวของนางเอง”
“แม่หญิงอาจจะกำลังสับสนอยู่บ้างเพราะอาการเจ็บป่วย แต่ถ้าเวลาผ่านไปแม่หญิงก็จะกลับมาจำความได้ดังเดิมพระเจ้าค่ะ” หมอหลวงถวายรายงาน
ช่วงเวลาแห่งความเงียบนั้น แสนจะทรมานใจเหล่าหมอผู้เฒ่าชราทั้งหลาย พวกเขาได้แต่นั่งคุกเข่าก้มหน้านิ่งมองเพียงพระบาทของราชันไพรสัณฑ์เท่านั้น พวกเขาเป็นหมอมาตั้งแต่เมื่อครั้งราชันย์อคิราภ์ยังไม่ได้สถาปนาราชวงศ์ เจอพายุอารมณ์เกรี้ยวกราดของราชันย์ตอนที่รักษาแม่หญิงจันทรวดีไม่ได้จนแทบล้มประดาตาย
ครานี้กับราชันไพรสัณฑ์ ไม่ทราบพวกเขาจะถูกพายุอารมณ์เกรี้ยวกราดพัดไปตกตายในที่แห่งใด
“พวกเจ้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับแล้วออกไปให้หมด ผลัดเปลี่ยนกันไปพักผ่อนตามแต่ตกลงกัน แต่ต้องมีบางคนรั้ง อยู่ด้านนอก”
“พระเจ้าค่ะ” เหล่าหมอชราลงจากพระตำหนักจันทราอย่างงงๆต่างยืนมองกันและกันเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าร่างกายยังไม่สึกหรอและลงความเห็นกันว่าราชันไพรสัณฑ์พระทัยเย็นกว่าราชันอคิราภ์อย่างเห็นได้ชัด
“อาการของ… แม่หญิงเป็นอย่างไรบ้าง” ราชองครักษ์หิรัญเดินตามมาถาม แต่หมอทุกคนมองหน้ากันแล้วเลี่ยง
“ขออภัยเถิดราชองครักษ์หิรัญ ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งให้เราเก็บอาการของแม่หญิงไว้เป็นความลับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านลำบากใจ” ราชองครักษ์บอกแล้วเดินผละออกไปยืนสงบสติอารมณ์ห่างๆ
ครั้งแรกนั้นชายหนุ่มตกใจที่ราชันไพรสัณฑ์อุ้มโสมออกมาจากกระท่อมและเขาก็ต้องตกใจอีกครั้งหนึ่ง เมื่อรู้ว่าคนที่ตนคิดว่าเป็นบุรุษมาตลอดนั้น แท้จริงแล้วเป็นสตรี แต่ความจริงนั้นไม่เปลี่ยนความตั้งใจ เขาจะหาโอกาสสังหารนางอีกครั้ง แต่ติดที่ราชันไพรสัณฑ์ไม่ยอมอยู่ห่างจากนางเลย
“ราชองครักษ์หิรัญ” ทหารภูตนายหนึ่งที่ยืนรักษาการอยู่หน้าพระตำหนักปรี่เข้าไปหาร่างกำยำที่ทุกคนต่างจดจำบุคลิกได้ว่าเป็นใครทันที
“ครูเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
ตอนที่ราชันไพรสัณฑ์อุ้มร่างที่พวกเขาจำได้แม่นยำว่าคือท่านราชองครักษ์โสมออกมาจากกระท่อมนั้น พวกเขาตกใจมากเพราะผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นเอตทัคคะในสรรพวิชากลับอยู่ในสภาพที่บอบช้ำสาหัสจนแทบจะไร้ทางรอดแล้ว แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือคนที่ถูกพวกเขากล่าวหาลับหลังว่าเป็นชายบำเรอกลับเป็นสตรีที่ราชันไพรสัณฑ์ทรงรักไปได้!
แม้จะงุนงงและเสียหน้านิดๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขากราบสตรีเป็นครู แต่ไม่มีใครที่จะไม่ยอมรับความเก่งกล้าสามารถของนางแม้แต่คนเดียว พวกเขาจึงกำจัดความคิดอันจะชักลงสู่ที่ต่ำทิ้งไปและได้แต่นึกเป็นห่วงกังวลในสุขภาพของนาง
“หมอหลวงไม่สามารถพูดถึงอาการของครูพวกเจ้าได้ ตัวข้าเองก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้พอที่จะสังเกตอาการของนางได้เช่นกัน”
“แต่นางรอดใช่หรือไม่” เขาซักถามอย่างเป็นกังวล
“ใช่” หิรัญข่มเสียงราบเรียบไม่ให้แสดงอารมณ์ความรู้สึก ชายหนุ่มทนดูทหารภูตนายนั้นเดินไปกระซิบบอกกับเพื่อนทหารที่กระจายตัวอารักขาอยู่รอบตำหนักด้วยความร้อนรุ่มใจ
ยกย่องเทิดทูนกันเข้าไป พวกเจ้าไม่รู้หรอกรึว่าครูของพวกเจ้าเป็นภัยต่อราชันเพียงใด!
สายลมอ่อนๆ พัดต้องระฆังใบเล็กที่แขวนอยู่บนชายคาโบสถ์จนเกิดเสียงใสบริสุทธิ์ประดุจสามารถชำระมลทินในใจได้ กาญจนาลูบพญานาคสองตัวที่หัวบันไดก่อนวางมือลงบนลำตัวซึ่งถูกประดับด้วยกระจกสีเขียวงดงามแล้วมองเทพารักษ์รักษาโบสถ์ที่ถูกแกะสลักไว้ที่บานประตูไม้อย่างวิจิตรบรรจงก่อนกวาดสายตาเลยเข้าไปในรูปภาพบนผนังที่
เล่าเรื่องราวการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
พระประธานองค์ใหญ่เหลืองอร่ามนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้า พระเนตรหลุบลงมองนางด้วยแววเมตตาจนจิตใจที่กระวนกระวายสงบลงบ้าง นางถอนใจอย่างเป็นสุขก่อนหลุบตาลงมองพระภิกษุหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิอย่างสงบเสงี่ยมมองมาที่นางเหมือนกับรู้ว่านางจะมาพบจึงได้มานั่งรอ
นางจึงรีบคลานเข่าเข้าไปหาแล้วประนมมือไหว้พระธนุธัมโมด้วยความปลื้มปิติ บุตรชายของนางในผ้าเหลืองเวลานี้มีใบหน้าอิ่มเอิบเปี่ยมไปด้วยความสุขสงบ ดวงตาสว่างไสวเหมือนแสงเทียนที่ถูกจุดหน้าองค์พระปฏิมา นางได้แต่มองอย่างเงียบงัน สิ่งที่ตั้งใจมาพูดเหมือนถูกบางอย่างปัดเป่าออกจากใจ
“โยมแม่สบายดีใช่ไหมครับ” พระธนุธัมโมเอ่ยถามอย่างสงบเสงี่ยม
“แม่สบายดี พระสบายดีใช่ไหมจ๊ะ” นางเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวจากภวังค์ เอ่ยตอบเบาๆ ด้วยนึกเกรงขามต่อบรรยากาศรอบตัวของพระภิกษุ
“อาตมาสบายดีมาก” ผู้อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “โยมแม่มีอะไรอยู่ในใจก็พูดมาเถอะ
“แม่จะถามว่า…” นางพูดอึกอักเพราะเมื่อมองพระธนุธัมโมแล้วก็รู้สึกเหมือนถูกบางอย่างดลให้พูดไม่ออกเอาเสียอย่างนั้น พระภิกษุหนุ่มยังคงยิ้ม สงบ ไม่เอ่ยเร่งให้โยมแม่พูดออกมาแต่อย่างใด “แม่มีลูกชายเพียงคนเดียว แล้วพระก็…”
กาญจนาไม่ได้พูดออกมาจนจบเหมือนถูกอุดปาก นางพิศดูบุตรชายผู้อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง พระธนุธัมโมเหมือนจะอยู่ห่างจากนางเหลือเกิน ทั้งบรรยากาศรอบๆ รอยยิ้มบริสุทธิ์ ใบหน้าอิ่มเอิบและแววตาเหนือโลกีย์นั้น ชวนให้คนมองเลื่อมใสศรัทธานัก นางแสนจะลังเลสับสนว่าควรแล้วหรือที่จะดึงพระธนุธัมโมมาสู่ทางโลกอีกครั้ง มันจะเป็นบาปติดตัวนางหรือไม่
“พระจะบวชตลอดชีวิตหรือเปล่า” ในที่สุดนางก็ถามออกไปจนได้ กระนั้น กลับรู้สึกว่าไม่ถูกไม่ควร
“อาตมาไม่รู้อนาคตหรอกโยมแม่ รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้อาตมายังไม่อยากกลับไปสู่ทางโลกเลย” พระภิกษุหนุ่มตอบ
“แม่รู้ว่าพระยังบวชไม่ครบหนึ่งพรรษาและยังไม่คิดจะสึกก่อนจบพรรษานี้ แต่เมื่อคืนแม่ฝันว่าพระจะบวชไม่ยอมสึก แม่เป็นกังวลมาก” นางพูดจบก็ถอนหายใจ รู้สึกเหนื่อยเหมือนกำลังเดินฝ่าลำธารอันกว้างใหญ่เพื่อไปหาบุตรชาย
“ความฝันของโยมแม่อาจเป็นเพียงจิตนิวรณ์เท่านั้น เกิดจากธาตุที่ไม่สมดุลและจิตใจฝักใฝ่ถึงแต่เรื่องนั้น จึงเก็บเอาไปฝัน อย่ายึดติดเอามาเป็นกังวลเลย” พระภิกษุเอ่ยอย่างสงบแม้จิตใจจะวูบไหวเหมือนเปลวเทียนต้องลมไปวูบหนึ่งเพราะเกิดความกังวลต่อผู้ให้กำเนิด
“แม่…” กาญจนาจะพูดก็พูดไม่ออก สุดท้ายจึงได้เปลี่ยนเรื่อง แล้วสนทนาธรรมกับพระภิกษุหนุ่มชั่วครู่จึงลากลับไปด้วยหัวใจที่สับสนกึ่งเป็นกังวลว่าตนจะขาดผู้สืบทอดวงศ์ตระกูล
พระธนุธัมโมมองแผ่นหลังของมารดาจากไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้งไม่แพ้กัน ท่านเข้าใจว่ามารดาเป็นกังวลเรื่องอะไรแต่ท่านก็ไม่อาจตัดใจสละผ้าเหลืองไปได้ ท่านคิดภาพไม่ออกว่าหลังจากได้สัมผัสความผ่องแผ้วไม่หมองมัวภายใต้ผ้าเหลืองนี้แล้วจะสามารถกลับไปสัมผัสรูป รสกลิ่น เสียงของทางโลกที่ประกอบไปด้วยความไม่บริสุทธิ์เจือปนอยู่ได้
อย่างไร ท่านจะสามารถทนต่อความสกปรกและความวุ่นวายทางโลกได้แน่หรือ
พระภิกษุหนุ่มถอนหายใจแล้วหันหน้ าไปพึ่งพระธรรม ท่านเข้าสมาธิซึ่งระยะนี้สัมผัสได้ว่าสามารถเข้าถึงฌานได้รวดเร็วและแน่วแน่มากกว่าเดิม ดวงตาอันไร้รูปร่างของท่านไล่ตามแสงเทียนที่ส่องไปตามความมืดโดยไม่หวั่นใจว่าจะนำท่านไปพบกับอะไร จนกระทั่งแสงสีทองส่องกระทบร่างหนึ่งที่กอดเข่าขดตัวอยู่ในซอกมุมแห่งความมืดคล้ายกำลังซ่อนตัว หวาดกลัว สิ้น หวัง และโดดเดี่ยว
พระธนุธัมโมกำหนดจิตให้ปรากฏรูปร่างของตน ท่านคิดว่าจิตของท่านเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อช่วยสัตว์โลกผู้หลงทางตรงหน้านี้ในมือของท่านข้างหนึ่งถือเทียนไว้ อีกข้างหนึ่งแนบลำตัวอยู่ใต้จีวร เมื่อท่านเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้า ร่างที่คดคู้อยู่จึงขยับและเงยหน้าขึ้นมอง
“โสม” พระภิกษุหนุ่มสะท้านใจเฮือกเมื่อเห็นว่าเป็นใคร แต่โสมคนนี้ ไม่เหมือนโสมที่ธนุเคยรู้จัก หญิงสาวคนนี้บาดเจ็บไปทั้งตัว มีรอยช้ำสีม่วงคล้ำอมเขียวกระจายไปทั่วจนแทบไม่เห็นสีผิวที่แท้จริงเหมือนถูกช้างเหยียบไปทั้งร่าง ร่างกายของเธอซูบซีดผ่ายผอมจนเหมือนจะแตกหักได้เพียงกระทบกระเทือนเล็กน้อยและดวงตาไร้แวว
“พระหรือ” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น ร่างผอมนั้น พยายามนั่งพับเพียบอย่างยากลำบากก่อนกระพุ่มมือเป็นดอกบัวกราบลงกับพื้น “นมัสการพระคุณเจ้า ทำไมมาอยู่ที่นี่ มันไม่เหมาะกับพระเลย”
“แล้วที่นี่คือที่ไหน” พระธนุธัมโมเอ่ยถามเสียงพร่าด้วยความสะเทือนใจ
“ไม่รู้เจ้าค่ะ” ประนมมือตอบอย่างไม่สนใจสักนิดว่าตนอยู่ที่ใด
“อยู่ที่นี่นานหรือยัง”
“จะนานหรือไม่นานมันก็ไม่ต่างกันหรอกพระคุณเจ้า”
พระภิกษุหนุ่มแทบหลั่งน้ำตาด้วยความเวทนาสงสารเมื่อแสงเทียนไม่ได้สะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำเงินอันไร้แววนั้น
โสมคงต้องเผชิญกับความมืดมนมานานจนสูญเสียจิตวิญญาณไป ตัวท่านคือพระภิกษุที่ยังไม่ได้ผ่านพรรษาด้วยซ้ำจะสามารถชี้นำทางให้กับหญิงสาวได้หรือ แต่ในโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ การที่ท่านมาที่นี่ได้ต้องมีเหตุผล
“จำอาตมาได้หรือไม่โสม” พระธนุธัมโมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ
หญิงสาวเพ่งมองท่านเนิ่นนาน “เราเคยเจอกันหรือพระคุณเจ้า ฉันชื่อโสมหรือ”
“สีกาชื่อโสม เราอาจจะเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว” พระภิกษุหนุ่มถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “อยากออกไปจากที่นี่ไหม”
“อยู่ที่นี่ดีกว่า”
“ทำไมล่ะ ที่นี่ทั้งมืด ทั้งโดดเดี่ยวนะ”
“แต่ก็ไม่เจ็บปวด ไม่ทรมาน”
พระธนุธัมโมหรุบตาลงมองเทียนในมือที่ส่องสว่างราวกับไม่มีวันดับหากแสงเทียนเปรียบเสมือนพระธรรมแล้ว ตัวของท่านเปรียบเสมือนเทียนเล่มนี้ได้หรือไม่
“สีกาสนทนากับอาตมาสักนิดได้หรือไม่” พระธนุธัมโมคาดหวังว่าโสมจะมีวาสนาพอที่จะรับฟังพระธรรมเพื่อการเริ่มต้นใหม่ ดังนั้นหลังจากที่หญิงสาวนิ่งงันอยู่นานแล้วได้ให้คำตอบรับ พระภิกษุหนุ่มจึงโล่งใจ
ในที่แห่งนั้น ซึ่งเต็มไปด้วยความมืด มีแสงทองจากเทียนเล่มหนึ่งส่องสว่างขับไล่ความมืดมนไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดประกายชีวิตก็ก่อกำเนิดสู่เทียนอีกเล่มหนึ่ง ในใจของพระธนุธัมโมเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาและความสุขสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขอพระธรรมแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแผ่ไพศาลโปรดสัตว์โลกทั้ง หลายด้วยเถิด
โสมลืมตาตื่นขึ้นด้วยร่างกายอันอ่อนเปลี้ยแต่จิตใจสุขสงบขึ้นกว่าเดิมมาก ชั่วแรกหญิงสาวพยายามนึกว่าเหตุใดจึงรู้ว่าตนชื่อโสมและเหตุใจจึงรู้สึกสงบเช่นนี้แต่เมื่อคิดไม่ออกเธอก็ไม่ทุรนทุรายเพื่อหาคำตอบ รู้เพียงแต่ว่าได้ยินน้ำเสียงอันเปี่ยมไปด้วยเมตตาติดอยู่ในใจสั่งสอนให้เธอปลงและยอมรับความเปลี่ยนแปลงเสมือนน้ำที่เปลี่ยนไปตามภาชนะ มีแต่
วิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เธอผ่านพ้นวิบากกรรมไปได้
หญิงสาวสำรวจสภาพแวดล้อมแล้วก็พบผู้ชายร่างสูงใหญ่กำยำในชุดเสื้อคลุมดำและสวมหน้ากากสีดำทมิฬวาดหน้าตาดุดันนั่งอยู่ข้างๆ เขากำลังพยายามบิดผ้าในมือให้หมาดน้ำกลิ่นหอมสะอาดเหมือนกลิ่นใบสะระแหน่โชยมาทำให้เธอสดชื่น แต่เมื่อเขาหันกลับมาก็ชะงักงันไป เหมือนรอปฏิกิริยาของเธอ ก่อนหน้านั้น เธอคงทำให้ผู้ชายที่น่าสงสารคนนี้ลำบากใจมากแน่ๆ จึงควรเป็นหน้าที่ของเธอที่จะโอนอ่อนให้เขารู้ว่าไม่ได้ตื่นขึ้นมาเพื่อสร้างความลำบากใจให้เขาอีกแล้ว
“สวัสดี ฉันชื่อโสม ท่านชื่ออะไรล่ะ” โสมพูดเสียงแหบแล้วพาลเจ็บคอ เพียงแค่เธอเบ้หน้านิดเดียวเขากลับจับอาการได้แล้วรีบวางผ้า หันไปคว้าแก้วน้ำ ก่อนพยุงลำคอของเธอเพื่อให้ดื่มสะดวก
“ค่อยๆ ดื่ม”
“ขอบคุณมาก” เธอเอ่ยเบาๆ เพื่อไม่ให้เจ็บคออีกหลังจากดื่มน้ำจนพอใจ “ท่านยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าชื่ออะไร ความจริงแล้วฉันควรขอโทษท่านก่อนใช่ไหมที่สร้างความลำบากให้กับท่านตอนที่ตื่นมาครั้งแรก ตอนนั้น ฉันบ้ามากๆ เลย แล้วก็สับสนมึนงงไปหมดถึงได้เสียมารยาทกับท่านไป ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร”
“น้ำเสียงของท่านยังฟังแล้วไม่สบายใจอยู่เลย”
“ขอเพียงเจ้าฟื้นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรข้าก็พอใจมากแล้ว เพราะฉะนั้น เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
“ท่านนี่น่ารักจังนะ จะน่ารักกว่านี้ถ้ายอมบอกฉันว่าท่านชื่ออะไร อย่างน้อยฉันก็ต้องรู้จักชื่อคนที่มีน้ำใจช่วยเหลือฉันจริงไหม” หญิงสาวฝืนยิ้ม เพราะดูเหมือนว่าใบหน้าของเธอจะเต็มไปด้วยรอยช้ำ กระดิกนิดเดียวก็เจ็บเสียแล้ว
“ข้าชื่อไพรสัณฑ์”
“ไพรสัณฑ์ แหม… ชื่อดี ใจกว้างเหมือนผืนป่า เป็นร่มเงาให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข” เธอประจบอย่างอารมณ์ดี แม้ใจหนึ่งจะระแวงระวังเขาด้วยเสียงกระซิบบางอย่างที่ดังแว่วในหูแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะแสดงออกให้เขารู้เรื่องนี้ไนขณะที่เธอยังต้องพึ่งพาอาศัยเขาอยู่
“ตอนนี้ดึกแล้วหรือ” เธอหันไปมองเทียนที่ถูกจุดสว่างไสวตรงปลายเตียงพลางยิ้ม “ฉันชอบแสงเทียนนะ เพราะมันชี้นำทางสว่างให้ฉัน”
ราชันไพรสัณฑ์ทั้งดีใจที่หญิงสาวฟื้นและเวทนาสงสารที่ความเลวร้ายซึ่งนางเผชิญมาได้เปลี่ยนให้นางลืมเลือนทุกสิ่ง แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น นางก็ยังคงเป็นนางที่ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ พระหัตถ์ใหญ่หยาบสั่นเทายกขึ้นลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยช้ำของนางแผ่วเบาด้วยความสะเทือนพระทัย
“ตอนนี้ฉันคงโทรมมาก” หญิงสาวพยายามไม่เกร็งตัวระแวดระวังเมื่ออีกฝ่ายสัมผัสตน
“เจ้ายังคงงดงามเสมอ… ต่อไปอย่าได้หาเรื่องเจ็บตัวมาอีกนะ เจ้ามิรู้หรือว่าหากข้าขาดเจ้าไปความงามบนโลกของข้าก็จะดับสูญไปด้วย”
“เกี้ยวกันซึ่งๆ หน้า” เธอหัวเราะแผ่วๆ พลันเจ็บบริเวณซี่โครงจนต้องนอนหอบนิ่งๆ ตามคำสั่งที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยของเขา
“ยังเจ็บอยู่อีกหรือ ให้ข้าเรียกหมอเข้ามาไหม” พระองค์รับสั่งถามด้วยความเป็นกังวลแล้วสรุปความเอาเองโดยไม่รอคำตอบ “เรียกเข้ามาตรวจดูเสียหน่อยดีกว่า ข้าจะค่อยๆ ประคองเจ้าลุกสวมเสื้อผ้า หากเจ็บตรงไหนควรบอก”
“สวมเสื้อผ้า?” โสมทวนคำด้วยความแปลกใจขณะถูกพยุงขึ้น นั่งพิงร่างของเขาอย่างระมัดระวังจนแทบไม่เจ็บสักนิด หญิงสาวจึงได้เห็นว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยช้ำ สีม่วงคล้ำและรอยบาดแผลฉกรรจ์ที่หน้าท้อง ดีหน่อยที่ช่วงล่างยังมีผ้าห่มผืนบางพาดปกปิดความกระดากเอาไว้อยู่ “ทำไมฉันถึงเปลือยล่ะ ไม่สิ! ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่
ตอนฉันเปลือยได้!”
“ข้าเป็นคนดูแลเจ้าตลอดเวลาที่เจ้าป่วย” ราชันไพรสัณฑ์ไม่สนความกระดากอายของนาง ทรงเอื้อมมือไปคว้าเสื้อผ้าฝ้ายสีดำมาสวมให้
คนที่ไม่มีแรงขัดขืนจนตกเป็นตุ๊กตาให้พระองค์จับแต่งตัว “สิ่งที่ไม่ควรเห็นข้าก็เห็นแล้ว สิ่งที่ไม่ควรจับข้าก็จับแล้ว ทำไมจึงต้องขัดเขินอีก”
“ต้องสิ!”
เคยได้ยินมาแต่ผีทะเล วันนี้เจอผีป่าเข้าเต็มๆ เลยไอ้โสมเอ๋ย!
“เราเป็นอะไรกัน! ถึงท่านจะช่วยชีวิตฉันไว้ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะมีสิทธิ์เหนือฉันแบบนี้!”
“ข้าย่อมมีสิทธิ์เหนือเจ้าอยู่แล้ว” ราชันหนุ่มทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งก่อนรับสั่งตอบด้วยพระสุรเสียงหนักแน่นมั่นคงจนแปลเป็นอื่นไม่ได้
“เพราะเจ้าคือเมียของข้าอย่างไรล่ะ ยอดรัก!”