Skip to content

บุพเพรักข้ามกาล 7

Chapter 7

ที่แท้คือนาง!

“ว๊าย!” รุ้งมณีสะดุ้ง! ถอยหนี แต่มือใหญ่จับคางไว้แน่นทำให้เธอถอยหนีไม่ได้ อีกมือก็เสยผมเธอให้พ้นใบหน้า ครั้นเห็นใบหน้าใต้ผมยุ่ง เขาก็ตะลึง! “เอ็ง!”

รุ้งมณีฉวยโอกาสตอนที่เขามัวตะลึงอยู่ เธอรีบปัดมือออก “ปล่อยนะ!”

“เอ็งนั่นเอง!” จ้าวราชคฤห์พูดอย่างดีใจ นางคนที่ล่องเรือหนีไปได้ในตอนนั้นนั่นเอง มิคิดเลยว่าจะได้พบนางอีก!

รุ้งมณีถอยหนีพลางเสยผมไม่ให้ปรกหน้า

“โอย…” เสียงคราง ทำให้ทุกคนชะงัก! รุ้งมณีรีบเลี่ยงไปดูคนเจ็บ

“เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ?” เธอถามพลางใช้หลังมือวัดอุณหภูมิตามตัวคนเจ็บ

“ราชคีร์” จ้าวราชคฤห์รีบเสด็จไปที่ตั่ง

“น้ำ…” จ้าวราชคีร์คราง รุ้งมณีนั่งลงประคองคนเจ็บขึ้นมาแล้วก็หันไปหยิบขันทองป้อนน้ำให้เขา “ค่อยๆ นะจ๊ะ”

จ้าวราชคีร์ลืมตามอง ดื่มน้ำอย่างกระหาย เมื่อดื่มพอแล้วเขาก็ดันขันออก รุ้งมณีเอี้ยวตัวเอาขันไปวางที่เดิม แล้วเธอก็ประคองคนเจ็บนอนลง จ้าวราชคีร์ยคว้าข้อมือพูดว่า “วิสาขาเจ้ากลับมาแล้ว”

รุ้งมณีไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่ท่าทางเขาดูดีใจมาก เธอคิดว่าเขาคงเพ้อเพราะพิษไข้

“ข้าหิว” จ้าวราชคีร์พูด ท้องก็ร้องดังโคร้ก!

จ้าวราชคฤห์ได้ยินเสียงท้องร้องก็หันไปสั่งกับนางทาสว่า “เอ็งจงไปยกข้าวปลาอาหารมาเร็ว”

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำสั่งแล้วก็รีบลุกไป ส่วนนางทาสคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองเชลยสาวอย่างตะลึงในความงาม แม้ว่าแสงตะเกียงจะมิสว่างไสวมากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นหน้าค่าตา แล้วพวกนางก็หันไปกระซิบคุยกัน

“ราชคีร์ เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?” จ้าวราชคฤห์ขยับเข้าไปนั่งบนตั่ง จ้าวราชคีร์หันไปมองพูดว่า “ข้าปวดแผลเหลือเกินท่านพี่”

จ้าวราชคฤห์จับมือน้องชายปลอบว่า “อดทนไว้นะราชคีร์ เดี๋ยวก็หาย”

รุ้งมณีมองดูทั้งสองคนแล้วก็คิดว่า ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปคงเป็นเพราะเขาเป็นห่วงน้องมาก ส่วนน้องของเขาก็อาการสาหัสมาก หากช้าอีกนิดคงสาหัสจนเกินจะรักษาแน่ ถึงแม้ตอนนี้จะขูดหนองออกหมดแล้วแต่อาการก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี

จ้าวราชคีร์ยิ้ม “ท่านพี่ดูซิ วิสาขากลับมาแล้ว นางกลับมาหาพวกเราแล้ว”

เขาจับมือพี่ชายให้ไปจับมือ ‘วิสาขา’

จ้าวราชคฤห์เข้าใจดีว่าน้องชายเพ้อเพราะพิษไข้จึงได้เห็นนางเชลยเป็นวิสาขา น้องสาวต่างมารดาซึ่งเป็นน้องร่วมมารดาเดียวกันกับราชคีร์ซึ่งตายไปในหน้าฝนปีที่แล้ว

“คุณ เขาพูดว่าอะไรคะ?” รุ้งมณีถามชายคนนั้นอย่างอยากรู้ เธอเผลอพูดอย่างเคยชิน จ้าวราชคฤห์ฟังอย่างประหลาดใจ “เอ็งพูดว่าอะไรรึ?”

“เขาพูดอะไร? คุณแปลให้ฉันฟังหน่อยซิ” รุ้งมณีถามพลางดึงมือออกจากมือของทั้งสองคน จ้าวราชคฤห์ขมวดคิ้วคิดในใจว่า นังคนนี้พูดจามิเหมือนชาวลวปุระ ฟังเหมือนจะเป็นภาษาลวปุระแต่ก็มิใช่

นางทาสยกอาหารเข้ามา “สำรับกับข้าวเจ้าค่ะ”

จ้าวราชคฤห์หันไปพูดว่า “เอามานี่”

นางทาสก็รีบยกเข้าไปตามรับสั่ง รุ้งมณีช่วยประคองคนเจ็บลุกขึ้นนั่ง จ้าวราชคฤห์ปัดเรื่องคำพูดคำจาของนางเชลยออกไปก่อน เขาหันไปตักอาหารป้อนให้น้องชาย “กินข้าวกินปลาเสียหน่อยนะราชคีร์”

จ้าวราชคีร์อ้าปากกิน พอเคี้ยวไปได้หน่อยเขาก็หันไปคายทิ้งใส่กระโถน จ้าวราชคฤห์ตกใจ! “ราชคีร์!”

รุ้งมณีช่วยเอาผ้าเช็ดปากให้ เธอชะเง้อมองอาหารที่ยกมาแล้วก็ส่ายหน้า เพราะส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ไม่เหมาะสำหรับคนป่วยเลยสักอย่าง มีทั้งของทอดของปิ้งย่าง แกงรสจัดจ้าน ข้าวก็เป็นข้าวเหนียว แผ่นแป้งปิ้งแห้งๆ แข็งๆ คนเจ็บไม่มีแรงจะเคี้ยวอาหารจะกินเข้าไปได้ยังไง

“มีข้าวต้มหรือน้ำข้าวไหม?” เธอถาม จ้าวราชคฤห์จ้องนางอย่างงงๆ แล้วก็ส่ายหน้า รุ้งมณีถอนหายใจพลางนึกในใจว่า ก็ดูแลคนเจ็บคนป่วยกันแบบนี้น่ะซิ คนในอดีตถึงได้ตายง่ายดายเหลือเกิน

“ครัวอยู่ทางไหน?” เธอถาม จ้าวราชคฤห์จ้องอย่างมิเข้าใจ รุ้งมณีก็ทำมืออธิบายว่า “ฉันจะไปทำข้าวต้มมาให้เขากิน ฉันจะไปทำข้าวต้มได้ตรงไหน?”

จ้าวราชคฤห์เข้าใจว่านางอยากจะทำบางอย่างให้น้องชายกินก็หันไปสั่งนางทาสว่า “เอ็งพานังคนนี้ไปที่ห้องเครื่องทีซิ มันจะทำอะไรเอ็งก็ช่วยมันทำด้วย”

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำแล้วก็คลานเข่าเข้าไปจูงแขนรุ้งมณี “ตามข้ามาซิ”

รุ้งมณีลุกขึ้นแล้วก็เดินตามนางทาสไป จ้าวราชคฤห์ก็หันไปตักอาหารป้อนน้องชาย “ฝืนกินเสียหน่อยนะราชคีร์”

จ้าวราชคีร์ส่ายหน้าแล้วก็หันหน้าหนีมิยอมกิน “ข้ากลืนมิลง”

จ้าวราชคฤห์วางช้อนมองน้องชายอย่างกังวลใจ

เวลาผ่านไปราวชั่วโมง นางทาสก็ถือตะเกียงเดินนำหน้ารุ้งมณีเข้ามาในกระโจม ส่วนรุ้งมณีก็ประคองชามข้าวต้มเข้ามา กลิ่นข้าวต้มหอมฉุยจนจ้าวราชคฤห์ต้องหันไปตามกลิ่น “กลิ่นอะไรหอมจริง?”

รุ้งมณีประคองชามข้าวต้มเดินไปที่ตั่งฝั่งตรงข้ามกับผู้ชายคนนั้น เธอวางชามลงข้างตั่งแล้วก็บอกกับคนเจ็บว่า “กินข้าวต้มหน่อยนะจ๊ะ”

จ้าวราชคฤห์ชะเง้อมองแล้วก็ถามว่า “นั่นอะไรรึ?”

“ข้าวต้ม” รุ้งมณีตอบแล้วก็ตักข้าวต้มป้อนคนเจ็บ เธอเป่าข้าวให้คลายร้อนก่อนจะป้อน “กินข้าวหน่อยนะจ๊ะ”

จ้าวราชคีร์ได้กลิ่นข้าวต้มหอมฉุยก็มองอย่างรู้สึกหิว อ้าปากกิน จ้าวราชคฤห์ได้กลิ่นข้าวต้มก็รู้สึกหิวอยากกินบ้าง จ้าวราชคีร์กินข้าวต้มอย่างคล่องคอ พอหมดคำรุ้งมณีก็ตักป้อนใหม่ จ้าวราชคฤห์ดีใจที่น้องชายกินได้ เพราะก่อนหน้านี้มิว่าจะเอาอะไรให้ราชคีร์ก็คายทิ้งเสียหมด เขามองท่าทีที่นางเชลยถวายการรับใช้น้องชายแล้วเขาก็นึกอยากจะเจ็บไข้ได้ป่วยเสียเอง กริยานางแช่มช้อยเสียยิ่งกว่านางสนมในรั้วในวังเสียอีก

จ้าวราชคีร์กินข้าวต้มจนหมดชาม รุ้งมณีวางชามข้าวต้มลงแล้วก็หันไปหยิบขันน้ำป้อน จ้าวราชคฤห์มองนางเชลยอย่างมิอาจจะละสายตาได้ พอคนเจ็บดื่มน้ำเสร็จ รุ้งมณีก็หยิบผ้าเช็ดปากให้เขา

“เก่งมาก” เธอชมเหมือนเขาเป็นเด็ก จ้าวราชคีร์ยิ้มรับ แล้วก็ปรือตาลงอย่างรู้สึกอยากนอน รุ้งมณีประคองเขานอนลง

“โอย…” จ้าวราชคีร์ครางอย่างเจ็บแผล จ้าวราชคฤห์รีบช่วยประคองน้องชายให้นอนพร้อมกับห่มผ้าให้ สักพักจ้าวราชคีร์ก็นอนหลับ จ้าวราชคฤห์ขยับตัวออก กลิ่นข้าวต้มหอมฉุยยังอบอวนไปทั่วกระโจม เขาลุกขึ้นแล้วก็หันไปรับสั่งกับนางทาสว่า “เอ็งตามข้ามา”

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำสั่งแล้วรีบลุกตามไป จ้าวราชคฤห์เดินออกไปนอกกระโจม พอนางทาสตามออกมา เขาก็กระซิบถามว่า “กับข้าวกับปลาที่นังคนนั้นทำให้ราชคีร์ยังมีอีกไหม?”

“มีเจ้าค่ะ” นางทาสทูลตอบ

“เอ็งไปเอามาให้ข้าที ข้าหิว” จ้าวราชคฤห์สั่งแล้วก็เดินไปรอที่กระโจมอีกหลังซึ่งอยู่ติดกัน

“เจ้าค่ะ” นางทาสรีบเดินไปหยิบตะเกียงในกระโจมพลางสะกิดนางทาสอีกคนให้ไปช่วยถือของ ส่วนรุ้งมณีก็คอยดูแลคนเจ็บอย่างใกล้ชิด เธอหยิบหมอนหยิบผ้ามานอนที่พื้นข้างตั่ง เธอหาวอย่างจนน้ำตาไหล พอหัวถึงหมอนเธอก็หลับสนิท

นางทาสหายไปครู่ใหญ่ก็เดินกลับมาพร้อมกับชามทองใส่ข้าวต้ม “มาแล้วเจ้าค่ะ”

จ้าวราชคฤห์ชะเง้อมอง พอนางทาสยกมาวาง เขาก็ตักกิน เพียงคำแรกก็รู้สึกว่า…อร่อยยิ่งนัก ของที่นังคนนั้นทำอร่อยเช่นนี้นี่เล่า มิน่าราชคีร์ถึงกินเสียหมดชาม เขาตักกินอย่างพอใจ เพียงครู่เดียวข้าวต้มก็หมดชาม จากนั้นเขาก็กลับไปคอยเฝ้าดูแลน้องชายต่อ พอเข้าไปในกระโจม เขาก็เดินไปนั่งข้างน้องชาย เอื้อมมือไปลูบหน้าน้องชายอย่างเบาใจ แล้วก็หันไปมองหานางเชลยคนงาม พอเห็นว่านางนอนอยู่ที่พื้นข้างตั่งเขาก็โล่งใจที่นางมิได้คิดหลบหนี แล้วเขาก็นอนเฝ้าน้องชายอย่างห่วงใย เหล่านางทาสพอเห็นจ้าวราชคฤห์นอน พวกนางก็นอนบ้าง

ภายในกระโจมเงียบสงบเป็นคืนแรกนับตั้งแต่จ้าวราชคีร์ถูกลอบทำร้าย มิว่าจะสรรหาหมอมาสักเท่าใดก็มิอาจจะรักษาจ้าวราชคีร์ได้สักคน จ้าวราชคฤห์ก็พิโรธเพราะเป็นห่วงน้องชายยิ่งนัก ทำให้ทั้งค่ายระส่ำระส่ายกันไปหมด คืนนี้คงได้หลับสนิทกันบ้าง

ย่ำรุ่ง รุ้งมณีตื่นนอน อากาศหนาวจนต้องเอาผ้าห่มมาคลุมตัว เธอลุกขึ้นชะเง้อมองคนเจ็บ เห็นผ้าห่มเลื่อนลงไปอยู่ปลายเท้า เธอก็ลุกไปหยิบผ้าคลุมให้ สายตาเหลือบเลยไปถึงอีกคนเห็นผ้าร่นลงไปกองที่เอว เธอก็เอื้อมมือไปดึงผ้าขึ้นไปคลุมจนจรดคอ แล้วเธอก็ถอยกลับไปนั่งแปะข้างหมอน สักพักเธอก็รู้สึกอยากทำธุระส่วนตัวจึงเอาผ้าห่มคลุมหัวคลุมไหล่แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากกระโจมไป จ้าวราชคฤห์ลืมตาขึ้นผงกศีรษะมองตามนางไปพลางคิดว่า นางจะไปที่ใดหรือ?

ทหารหน้ากระโจมมองแม่หญิงนางนั้น พวกเขาคิดว่าเป็นนางทาสจึงปล่อยผ่านออกไป

แสงทองจับขอบฟ้าจางๆ ทำให้พอมองเห็นอะไรๆ ได้บ้าง รุ้งมณีเดินสำรวจเรื่อยไปจนกระทั่งเห็นเพิงสำหรับปลดทุกข์ของพวกนางทาส เธอจึงเดินเข้าไปทำธุระส่วนตัว เธอรีบทำธุระส่วนตัวอย่างเร่งด่วนเพราะกลิ่นของสถานที่นั้นเหม็นมาก เธอคิดถึงห้องน้ำในยุคของตัวเองเป็นที่สุด พอออกจากเพิงเธอก็รีบเดินไปให้ห่างสถานที่แห่งนั้น เธอได้ยินเสียงน้ำไหลด้วยความอยากรู้จึงเดินตามเสียงไป เมื่อเดินไปได้สักพักเธอก็เห็นลำคลองอยู่ข้างหน้า มีท่าน้ำยื่นลงไปในคลอง ทาสชายหญิงกำลังช่วยกันตักน้ำลำเลียงไปใช้ในค่าย

รุ้งมณีเดินเลี่ยงขึ้นไปทางต้นน้ำ เธอเดินลงไปริมน้ำแล้วก็ก้มลงวักน้ำล้างมือล้างหน้า พอได้ล้างหน้าแล้วก็ค่อยรู้สึกสดชื่นหน่อย เธอมองไปรอบๆ ตัวอย่างชื่นชมบรรยากาศยามเช้า “อากาศดี๊…ดี”

เธอยืนชมธรรมชาติอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็รีบเดินกลับเพราะนึกห่วงคนเจ็บ “ป่านนี้คงตื่นแล้วล่ะมั้ง”

เมื่อไปถึงกระโจมก็ได้ยินเสียงคนเจ็บครางด้วยความเจ็บปวด “โอย…”

เธอรีบเดินเข้าไปในกระโจม ทหารหน้ากระโจมเปิดทางให้เพราะจำได้ว่านังคนนี้ออกไปจากกระโจมเมื่อเช้ามืด จ้าวราชคฤห์ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาเขาก็หันไปมอง พอเห็นว่าเป็นผู้ใดเขาก็พูดกับน้องชายว่า “นังหมอเทวดามาแล้ว”

เขาหันไปกวักมือเรียก “เข้ามาเร็ว น้องข้าปวดแผลยิ่งนัก”

“โอย ข้าปวดเหลือเกิน โอย” จ้าวราชคีร์คราง รุ้งมณีรีบเดินไปดูคนเจ็บ “ขอฉันดูแผลหน่อยจ้ะ”

จ้าวราชคฤห์พยักหน้าอนุญาต รุ้งมณีก็ค่อยๆเปิดผ้าออกอย่างเบามือ แผลบวมเป่งตามปกติ เธอดูแล้วก็หันไปหยิบผ้ามาจุ่มเหล้าเช็ดล้างแผล

จ้าวราชคีร์สะดุ้ง! กัดฟันข่มความเจ็บ คิดในพระทัยว่า นังคนนี้มือเบายิ่งนัก มิเหมือนพวกหมอหลวงมือหนัก พอกยาทำแผลแต่ละทีเจ็บดั่งช้างเหยียบ

“เสร็จแล้ว” รุ้งมณีบอกแล้วก็เอาผ้าคลุมแผลไว้ดังเดิม จ้าวราชคีร์เอียงศีรษะไปมอง เขาจับข้อมือเล็กเอาไว้พูดว่า “ข้าหิว ข้าอยากกินข้าวเหมือนเช่นเมื่อคืนอีก”

รุ้งมณีฟังไม่เข้าใจ เพราะเขาพูดภาษากาสี

“คุณพูดว่าอะไรนะ” เธอถามเป็นภาษาไทย จ้าวราชคีร์งงๆ กะพริบตาปริบๆ เขาตะแคงตัวมองนางเขม็ง

“เอ็งมิใช่ชาวกาสี เอ็งเป็นชาวลวปุระรึ? โอย” เขาถามเป็นภาษาลวปุระ รุ้งมณีไม่รู้จะตอบยังไงเธอจึงพยักหน้ารับ จ้าวราชคีร์หันไปมองพี่ชายถามว่า “โอย…ท่านพี่ได้นางมาจากที่ใดรึ?”

“ชานเมืองเวสาลี” จ้าวราชคฤห์ตอบ รุ้งมณีมองสองพี่น้องคุยกันอย่างฟังไม่รู้เรื่องเพราะพวกเขาพูดภาษากาสี

“โอย เมืองเวสาลีมีแม่หญิงงามถึงเพียงนี้เชียวรึ? มิน่าเชื่อ” จ้าวราชคีร์หันไปมองเชลยสาว

“ข้าก็มิอยากเชื่อว่าเมืองเวสาลีจะยังมีหญิงงามถึงเพียงนี้” จ้าวราชคฤห์พูด “น่าแปลกใจนักที่นางมิได้ถูกเรียกตัวเข้าวัง อีกทั้งนางยังเป็นหมออีกด้วย หากมิเห็นกับตาข้ามิมีทางเชื่อแน่ว่านางคือหมอเทวดาที่เขาร่ำลือกัน คราที่ข้าลอบไปจับตัวนางมาข้าเห็นผู้คนมากมายแห่กันไปให้นางรักษามืดฟ้ามัวดินเชียว”

เขาชำเลืองมองนางนิดนึงแล้วก็พูดว่า “เจ้าจำได้ไหมที่ข้าบอกว่าข้าได้พบหญิงงามนางหนึ่ง แต่นางล่องเรือหนีไปได้ นางคนนั้นก็คือนางหมอเทวดาคนนี้อย่างไรล่ะ”

จ้าวราชคีร์พยักหน้า “นางมือเบายิ่งนัก ข้ามิรู้สึกเจ็บเท่าคราวไอ้พวกหมอหลวงทำแผลให้ข้า เอ…ท่านพี่ข้าจำได้ว่าข้าเห็นนางคราแรก นางตัวดำมิใช่รึ”

“นางทาเขม่าพอกตัวไว้” จ้าวราชคฤห์บอก “เจ้าอยากกินข้าวเหมือนเช่นเมื่อคืนมิใช่รึ?”

จ้าวราชคีร์พยักหน้ารับแล้วก็พูดว่า “นางทำอร่อยนัก ข้ากลืนได้คล่องคอมากกว่ากับข้าวอื่นใดที่นางทาสไพร่ทำมาให้เสียอีก”

“เช่นนั้นก็ให้นางทำให้เจ้ากิน” จ้าวราชคฤห์บอกแล้วก็หันไปสั่งกับนางเชลยว่า “เอ็งไปต้มข้าวเหมือนเช่นเมื่อคืนนี้มาให้น้องข้ากินที”

รุ้งมณีจ้องหน้าเขาพลางนึกในใจว่า อีตาคนนี้เอาแต่สั่งซะจริง

แล้วเธอก็หันไปมองคนเจ็บ จ้าวราชคีร์ส่งสายตาขอร้อง “เจ้าทำให้ข้ากินนะ โอย… เจ้าทำอร่อย ข้าอยากกินอีก”

รุ้งมณียิ้ม ค่อยฟังรื่นหูหน่อยแบบนี้ซิน่าทำให้กินหน่อย

“ถ้างั้นรอเดี๋ยวนะ” เธอบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป สองพี่น้องมองตามนางเชลยไป แล้วก็หันไปคุยกันต่อ

“เจ้ายังเจ็บมากหรือไม่” จ้าวราชคฤห์ถามอย่างเป็นห่วง จ้าวราชคีร์ส่ายหน้า “มิค่อยเจ็บแล้วท่านพี่ ข้าเจ็บแต่มิรู้สึกปวดดั่งเช่นเมื่อวานแล้วขอรับ”

จ้าวราชคฤห์แย้มยิ้ม “ดี”

“ท่านพี่” น้องชายเรียกแล้วก็ชะงักไป

“มีอะไรรึ?” จ้าวราชคฤห์ถาม

“ข้าเห็นวิสาขาเมื่อคืน”จ้าวราชคีร์พูดสีหน้าเศร้า จ้าวราชคฤห์เอื้อมมือไปลูบศีรษะน้องชาย “เมื่อคืนเจ้าเพ้อจนเห็นนางเชลยเป็นวิสาขา เจ้าหักอกหักใจเสียเถิดราชคีร์ วิสาขาได้ตายจากพวกเราไปแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าโศกเศร้าเพียงใด ข้าเองก็โศกเศร้าเช่นกัน”

จ้าวราชคีร์เงียบไป หน้าตาเศร้าหมองเมื่อนึกถึงน้องสาว เขากับน้องสนิทสนมกันมากด้วยเพราะวัยใกล้เคียงกันเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เล็กแต่น้อย น่าเศร้ายิ่งนักความตายมาพรากนางไปในหน้าฝนที่ผ่านมา นางจับไข้ป่วยจนตายไปโดยที่หมอหลวงก็มิอาจจะรักษาได้ จ้าวราชคฤห์มองน้องชายอย่างเห็นใจเพราะทราบดีว่าน้องชายกับน้องสาวสนิทสนมกันเพียงใด ด้วยวัยที่ห่างกันเพียงปีเดียวอีกทั้งยังร่วมพระมารดาเดียวกัน

“แย่แล้วขอรับ” เสียงทหารกราบทูลตรงหน้ากระโจม จ้าวราชคฤห์ทรงหันขวับไปมอง “มีอะไรรึ? เอะอะอะไรแต่เช้าเชียว”

“พระสนมตบกันขอรับ” ทหารรีบรายงาน จ้าวราชคฤห์กริ้ว “นังพวกนี้นี่ก่อเรื่องอีกแล้ว!”

แล้วเขาก็รีบออกไป จ้าวราชคีร์มองตามพี่ชายอย่างนึกขำ เพราะพวกพระสนมมักจะก่อเรื่องตบตีกันด้วยความหึงหวงชิงดีชิงเด่นอยู่เป็นประจำ ขนาดพวกนางทาสก็ยังชิงดีชิงเด่นแย่งกันรับใช้มีเรื่องกระทบกระทั่งกันออกบ่อยๆ ช่างน่าระอาเสียจริง…แม่หญิงอยู่ที่ใดก็วุ่นวายยิ่งนัก

รุ้งมณีเดินถือชามเข้ามา “ข้าวต้มร้อนๆ มาแล้วจ้ะ”

จ้าวราชคีร์ขยับตัวชะเง้อมอง รุ้งมณีไม่เห็นผู้ชายคนนั้นก็นึกแปลกใจ เพราะเห็นเขาดูท่าทางเป็นห่วงคนเจ็บจนไม่ยอมห่างไปไหน คงจะไปทำธุระล่ะมั้ง เธอถือชามไปให้คนเจ็บ จ้าวราชคีร์ชม “หอมจริง”

ครั้นพอนึกได้ว่านางมิใช่ชาวกาสี ก็พูดเป็นภาษาลวปุระว่า “หอมจริง”

รุ้งมณียิ้ม เธอวางชามบนตั่งแล้วถามว่า “ลุกไหวไหมจ๊ะ?”

จ้าวราชคีร์พยายามลุกขึ้นประทับนั่ง “โอย…”

รุ้งมณีขยับเข้าไปช่วยพยุง “ค่อยๆ นะ”

“อูย…” จ้าวราชคีร์ใช้มือยันตัวขึ้น เขาเซนิดๆ

“ระวังค่ะ” รุ้งมณีก็รีบช่วยประคอง จ้าวราชคีร์รู้สึกสะดุดหูต่อคำพูดของนาง เขามองหน้านางพูดว่า “เจ้าพูดจามิเหมือนชาวลวปุระ”

รุ้งมณีเงียบ เธอพยุเขานั่งแล้วก็หยิบชามข้าวต้มให้ “ข้าวต้มจ้ะ”

จ้าวราชคีร์มองข้าวต้มแล้วก็มองวงหน้างาม “เจ้าช่วยป้อนให้ข้านะ โอย…ข้าเจ็บหลังยกแขนมิค่อยได้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!