Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1320

ตอนที่ 1320 เผ่าจิตโบราณ

ชางซานหนูหน้าซีดขาว เหงื่อเย็นๆ ไหลมาจากหน้าผากไม่หยุด เขากลัวแล้ว กลัวจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ถึงความแกร่งของซูหมิง แต่ก่อนหน้านี้มีความมั่นใจอย่างยิ่ง มั่นใจว่าคนที่แกร่งที่สุดในยุคนี้ที่ว่าคนนั้นจะต้องเป็นหุ่นเชิดของตนเมื่ออยู่ต่อหน้าสมบัติล้ำค่าของเขาชางซานหนู

เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด เพราะความมั่นใจเขามาจากการที่ เศษชิ้นนั้นไร้พ่ายมาหลายครั้ง ด้วยความไร้พ่ายนี้เองที่มอบความมั่นใจไม่อาจ บรรยายแก่เขา ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณก็ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็ดี ต่อให้เป็นมหาโลก สามรกร้างก็ยังไม่อยู่ในสายตาเขา

ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้จริงๆ เขาที่มีเศษชิ้นส่วนนั้นกดขี่อยู่เหนือผู้ฝึกฌาน หากเป็นตอนซูหมิงที่ยังไม่เข้าไปในน้ำวนมรณะหยินและมหาโลกซางเซียง เช่นนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเศษชิ้นนี้ ก็คงมีเพียงจุดจบสิ้นชีพลง ยากจะหนีรอดจากภัยครั้งนี้

กระทั่ง…ต่อให้ซูหมิงออกมาจากน้ำวนมรณะหยินแล้ว ต่อให้มีดวงจิตของสี่โลกแท้จริง กลายเป็นดวงจิตที่แกร่งที่สุดนอกจากดวงจิตสามรกร้างกับซางเซียงในทั้งโลกของผีเสื้อ แต่ว่า…ไม่มีทางกำราบเศษชิ้นนี้ได้ง่ายดายเช่นนี้แน่!

จริงๆ แล้วหากพูดถึงจุดสำคัญก็คงเป็นเพราะซูหมิงใช้กลิ่นอายพลังจากเศษหินในกล่องหยกนั้นย้อนกลับไปในอดีต ได้เห็นชายหนุ่มชุดคลุมดำคนนั้นดูดผีเสื้อตัวหนึ่ง กับตา ถึงขั้นพอเห็นภาพน่าตกใจนั้นแล้วก็ยังเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ จึงใช้การโจมตีที่แกร่งที่สุดของดวงจิตกับชายหนุ่มชุดคลุมดำในอดีตคนนั้น

การโจมตีครั้งนี้ แม้ดวงจิตซูหมิงจะสลายไป แต่กลับแลกมาด้วยการผลัดเปลี่ยนของชีวิตใหม่ นั่นคือจิตใจที่ต่างออกไปหลังเอาชนะความกลัวของตัวเองได้แล้ว ได้เห็นความแข็งแกร่งที่ทำลายผีเสื้อตัวหนึ่งได้ พอมาเผชิญหน้ากับเศษชิ้นส่วนของปีก ซางเซียง แน่นอนว่าซูหมิงย่อมไม่เกิดแรงสะเทือนถึงจิตใจแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ดังนั้นดวงจิตเขาถึงต่อต้านกับเศษชิ้นส่วนนั้นอย่างแน่วแน่ กระทั่งให้เศษนั้นยอมรับกลิ่นอายพลังของซางเซียงในตัวตน นั่นเลยกำราบมันได้

ทุกอย่างพูดเหมือนง่าย แต่ความจริงสำหรับเขาแล้วนี่ก็เป็นภัยพิบัติเป็นตายครั้งใหญ่เช่นกัน ตอนนี้หลังผ่านมาได้ เขาพลันหรี่ตาลง เงยหน้าขึ้นมองไปทางจุดที่ชางซานหนูหนีไป ก่อนก้าวเดินพร้อมขยับไหวเข้าไปในมวลอากาศ ไล่ตามไปในพริบตา

ด้วยพลังของซูหมิง การจะไล่ตามคนคนหนึ่งนั้นง่ายดายยิ่ง โดยเฉพาะโลกแท้จริงที่นี่เต็มไปด้วยดวงจิตเขา เพียงหนึ่งความคิดเคลื่อนไหว ร่างเงาเขาไปปรากฏอยู่ กลางฟ้า ตรงหน้าห่างไปไม่ไกลนักคือชางซานหนูที่หน้าซีดขาว

ความเสียใจภายหลังอบอวลในใจชางซานหนูอย่างรุนแรง ชั่วพริบตาที่ร่างเงาซูหมิงปรากฏ เขาหันหน้ากลับมาทันทีด้วยสีหน้าสิ้นหวัง นั่นคือความสิ้นหวังที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตนี้ มันจมตัวเขาราวกับมหาสมุทรกว้างใหญ่

เมื่อจมไปแล้วก็ไม่มีความทรงจำอีก ร่างเงาซูหมิงในดวงตาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้ามาแทนที่ทุกอย่างในความคิดแล้ว เขาพลันมีสีหน้าเหี้ยมโหด คิดจะระเบิดตัวเองโดยไม่สนสิ่งใด แม้จะตายก็ต้องคลุ้มคลั่ง นี่คือความภูมิใจที่ บรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าว แต่ความภูมิใจที่ว่าอ่อนแอจนรับการโจมตีครั้งเดียวไม่ไหวเมื่ออยู่ต่อหน้าศักยภาพสูงสุด เขาไม่มีคุณสมบัติระเบิดตัวเองต่อหน้าซูหมิง

ซูหมิงกดมือตรงกลางกระหม่อมชางซานหนู ตบมือเบาๆ แรงสะเทือนที่เกิดขึ้นทำลายพลังทุกอย่างในร่างกาย ขณะเดียวกันภายใต้การสั่นสะเทือน จิตวิญญาณเขาหย่อนยานเหมือนจะสลายไปในฉับพลัน ตอนนี้เองวิญญาณซูหมิงหลั่งไหลเข้าไป ก่อนเริ่ม…ใช้ดวงจิตค้นวิญญาณชางซานหนู!

เมื่อซูหมิงเริ่มค้นวิญญาณ ชางซานหนูตัวสั่นและปริแตกออก ใบหน้าเหยเกย ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงที่สุดในชีวิต แต่กลับต่อต้านไม่ได้ ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจจะ ลงมือกับซูหมิง ชะตาเขาเหมือนได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว

และซูหมิงไม่ได้อ่อนข้อให้แม้แต่น้อย เขาสังหารมาทั้งชีวิต กลิ่นอายมารพุ่งขึ้นฟ้า เขาจะใช้กลอุบายที่เหี้ยมโหดอย่างยิ่งกับใครก็ตามที่เป็นฝ่ายยั่วยุเขาก่อนมาโดยตลอด

โดยเฉพาะในความทรงจำเขาจะใช้กลอุบายที่เหี้ยมโหดอย่างยิ่งต่อเรื่องที่เขาสนใจอยู่ด้วย ดังนั้นแล้วยิ่งไม่มีเหตุผลที่ต้องปล่อยอีกฝ่ายไป

เวลาผ่านไปช้าๆ จนหนึ่งก้านธูปต่อมา ตอนที่ซูหมิงยกมือขวาขึ้น ชางซานหนู ร่างสั่นสะท้าน จิตวิญญาณแหลกสลายไปแล้ว ร่างกายยังเกิดรอยร้าวขึ้น จนกระทั่งทั่วร่างเป็นเถ้าธุลีหายไปในมือซูหมิง

เหมือนกับธุลีหวนคืนสู่ธุลี ดินคืนสู่ดิน จะไม่ฟื้นกลับมาอีก

หากย้อนเวลาได้ หากชางซานหนูรู้เรื่องนี้แต่แรก เขาคงไม่เลือกอยู่ตรงข้ามกับซูหมิง เรื่องนี้ยืนยันความถูกต้องของเหยียนเผย และก็ยืนยัน…ความถูกต้องของจื่อรั่ว

แทบเป็นทันทีที่ชางซานหนูสิ้นชีพลง ณ ฟ้ากระจ่างดาวบางแห่งในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยที่กำลังตามรอยพวกเทียนเสียจื่อให้กับซูหมิงพลันร่าง สั่นไหว เขาหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง มือขวาตบถุงเก็บวัตถุ ทันใดนั้นมีแผ่นหยกหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ

เมื่อนำแผ่นหยกออกมามันก็เกิดรอยร้าวแล้ว ตอนนี้มองไปแวบหนึ่งแผ่นหยกกลายเป็นฝุ่นละออง

เหยียนเผยเงียบ ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจยาว แผ่นหยกนี้คือแผ่นหยกชีวิตของชางซานหนู เป็นจักรพรรดิรุ่งอรุณ พวกเขาสามคนต่างมีแผ่นหยกชีวิตของกัน และกัน เพื่อสะดวกแก่การรู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่หรือไม่

‘ชางซานหนู…สิ้นชีพลงแล้ว คนที่ทำให้เขาสิ้นชีพลงได้…จะต้องเป็นซูหมิงแน่ ข้าเตือนชางซานหนูแล้ว แต่นิสัยเขา…’ เหยียนเผยส่ายศีรษะ เขาไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก แต่เรียกสติกลับมา ทั้งยังปฏิบัติตามคำสั่งของซูหมิงอย่างเต็มที่

ในเมื่อเหยียนเผยรับรู้ถึงการตายของชางซานหนู เช่นนั้นจักรพรรดิรุ่งอรุณของฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณอีกคนหรือจื่อรั่วแห่งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ที่เป็นสตรีเพศคนเดียวก็ย่อมรับรู้ชัดเจนเช่นกัน ตอนนี้จื่อรั่วกำลังอยู่บนแท่นบูชาของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางวงแหวนอาคมซับซ้อนแห่งหนึ่ง ตรงหน้านางมีหมอกสีชมพูกำลังหมุนวน เดิมทีใบหน้างามสงบนิ่งมาก แต่ทันใดนั้นนางลืมตาขึ้นเผยประกายตกใจเสี้ยวหนึ่ง

นางที่มีสีหน้าตกใจทำให้ใบหน้าดูงามยิ่งกว่าเดิม มากพอจะทำให้คนที่มองมาต้องใจเต้นระรัว ไม่ว่าหญิงหรือชาย

ความงามแบบนี้เหนือกว่าทุกอย่างแล้ว ถึงขั้นหากมีใครมองนางจะเกิดอารมณ์ชั่ววูบที่อยากจะซ่อนนางเอาไว้ เหมือนว่าหากไม่เกิดอาการเช่นนี้จะถือว่าเป็นการดูหมิ่น!

นางกัดริมฝีปากล่างพลางยืนขึ้นเบาๆ ชั่ววูบเดียวมีผ้าไหมพาดไว้บนตัวจึงมองไม่เห็นผิวหนัง แต่จะเห็นได้ถึงรูปร่างอรชรใต้อาภรณ์ ร่างกายประหนึ่งต้นหลิวมากพอจะทำให้ทุกสายตาเพ่งมองมา เหมือนว่านางคนนี้…รวมความงามทั้งหมดในฟ้าดินเอาไว้

นางก้มหน้าลง ตอนที่ยกมืองามขึ้น ปรากฏแผ่นหยกที่แตกแล้วในมือ มองมันกลายเป็นธุลีหายไปพลางถอนหายใจเบา

‘เหตุใดต้องทำแบบนี้ ต่อให้มีความมั่นใจยิ่ง แต่เหยียนเผยไม่มีทางพูดโกหก เรื่องพลังของอีกฝ่าย ต่อให้พูดโกหกก็ลดค่าลงเท่านั้น จะไม่พูดโอ้อวด แต่เห็นได้ชัดว่าในคำพูดเขาไม่มีการลดค่าลงและก็ไม่มีการโอ้อวด จากที่ข้ากับเจ้าเข้าใจเขา นี่เขาจะต้องยอมจำนนให้กับอีกฝ่ายแล้วแน่ๆ ทำให้เขายอมกลับมามีนิสัยประจบสอพลออย่างในอดีตอีก’ ขณะจื่อรั่วถอนหายใจเบา ดวงตากลับเกิดประกายสว่างวาบ

‘นี่ต่างหากคือบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุด ดูท่าข้าคงต้องเร่งแผนการให้เร็วขึ้นอีกเล็กน้อย หากพาเขาไปที่…’ ขณะจื่อรั่วพึมพำก็หน้าแดงขึ้นมา แต่ความยึดมั่น ทางสีหน้ากลับแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง มองร่างชางซานหนูกลายเป็นอากาศธาตุ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้าไกลๆ

‘เผ่าจิตโบราณ…เป็นชนเผ่าหนึ่งในสามแคว้นโบราณตอนนั้น ชอบเดินทางไปในที่ประหลาดทุกแห่งหน ชาวเผ่าของเผ่านี้ทุกคน พอเติบใหญ่แล้วจะออกไปข้างนอกเพื่อตามหาโบราณสถานทั้งหมด…

ส่วนเศษชิ้นส่วน ชาวเผ่าจิตโบราณคนหนึ่งได้มาจากที่ใดไม่ทราบเมื่อไม่รู้กี่ปีก่อนและนำกลับมาที่ชนเผ่า…

แต่สุดท้ายเผ่าจิตโบราณก็ถูกชางซานหนูทำลายล้างแล้วได้สิ่งนี้มาโดยบังเอิญ’ ซูหมิงนึกไปถึงภาพที่เห็นจากในความทรงจำของชางซานหนูพลางตรึกตรองอยู่ชั่วขณะ ก่อนเดินหน้าขยับวูบหายไปในอากาศ

มาปรากฏตัวอีกทีก็ออกจากโลกเผ่าวิญญาณแล้ว ข้ามผ่านแต่ละโลกไป ทุกครั้ง ที่ผ่านหนึ่งโลกเขาจะแผ่ดวงจิตไปอย่างไม่ลังเล พริบตาเดียวดวงจิตอ่อนแอที่ เพิ่งกำเนิดในทุกโลกจะถูกสูบเข้ามา ยิ่งซูหมิงเดินหน้าดวงจิตเขายิ่งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของดวงจิตสามรกร้าง

เพราะซูหมิงไม่ได้ทำการยึดครอง และก็ไม่ได้ครอบครอง แต่เป็นการกิน กินดวงจิตที่กำเนิดเหล่านั้นให้หลอมรวมเข้าสู่ร่างตน เป็นผลสำเร็จในตัวเอง

แต่ต่อให้เป็นเขาที่มีเศษปีกซางเซียงก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าทุกโลกที่เขาผ่าน หลังจากดวงจิตของโลกนั้นๆ ถูกกินไปแล้ว ภายในโลกจะมีคนชุดคลุมดำสามคน แยกร่างมาปรากฏอยู่ตรงหน้าผู้แข็งแกร่งทุกคน ใช้นามของวิหารแห่งการทำลายล้างชีวิตบอกกับทุกคนว่าวิญญาณโลกของพวกเขาถูกซูหมิงกินไปแล้ว ขั้นพลังพวกเขาจะไม่ก้าวหน้าอีก ชีวิตจะแห้งเหี่ยวลง และทุกอย่างเป็นเพราะคนที่มีนามว่าซูหมิง

หากซูหมิงไม่ถูกผนึก เช่นนั้นพวกเขาจะต้องตายแน่ จะต้องมีภัยมาเยือน วิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้มีเพียงอย่างเดียวคือร่วมมือกันผนึกซูหมิงผู้ชั่วร้าย

ซูหมิงผ่านไปแต่ละโลก ข่าวลือแบบนี้ก็ส่งต่อไปแต่ละโลกเช่นกัน ความแค้นต่อซูหมิงเริ่มเกิดขึ้นในใจผู้ฝึกฌานจำนวนมาก พวกเขาเชื่อวิหารแห่งการทำลายล้างชีวิต และยังเชื่อจิตสัมผัสของตัวเองที่ขยายออกไปก็พบว่าแต่ละโลกแห้งเหี่ยวลงไม่น้อยจริงๆ ดังนั้นจึงมั่นใจยิ่งกว่าเดิม

ตอนที่มีคนหรือสองคนโกรธแค้น พลังนี้จะไม่ได้แกร่งนัก หากมีเป็นร้อยเป็นพันคน ก็จะดูถูกไม่ได้ หากมีเป็นหมื่นเป็นแสนจะมีพลังอำนาจขึ้นมา แต่หาก…ถึงล้านคน สิบล้านคนกระทั่งมากกว่านั้น เช่นนั้นคนคนนี้…ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องอะไรก็ชั่วร้าย ไปหมด แม้เขาจะสร้างกุศลกรรมก็ยังชั่วร้าย!

และตอนนี้เอง แต่ละโลกที่ซูหมิงผ่าน เมล็ดพันธุ์แบบนี้กำลังถูกกระจายไป กำลังเกิดสัญญาณช้าๆ แต่ซูหมิง…ไม่สังเกตเห็นการคงอยู่ของคนชุดคลุมดำสามคนนี้ ในดวงจิตเขาไม่มีสามคนนี้เลย ความจริงอย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ดวงจิตสามรกร้าง ก็ยังไม่สังเกตเห็น ต่อให้เป็นซางเซียงก็ตาม เว้นแต่มันจะควบคุมร่างกายได้ทั้งหมด อีกครั้ง มิเช่นนั้นแล้วไม่มีทางสังเกตเห็น

จุดสำคัญทุกอย่างเป็นเพราะโลหิตที่ติดอยู่ตรงระหว่างคิ้วคนชุดคลุมดำสามคน โลหิตนี้อำพรางสวรรค์ได้!

นี่ก็คือโลหิตอำพรางสวรรค์!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!