Skip to content

สู่วิถีอสุรา 543

ตอนที่ 543 ยอดเขาลำดับเก้า

วินาทีที่เห็นซูหมิง ขนนกยูงเจ็ดสีตั้งขึ้นทั้งหมดในทันใด ขณะตัวสั่นก็ยังบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าตื่นตกใจ วิชาเลยไม่เสถียร จึงกลับมาเป็นร่างกระเรียนขนร่วงอีกครั้ง ยามนี้ขนที่มีอยู่ไม่มากก็ตั้งขึ้นเช่นกัน

มันเหม่อมองซูหมิง กะพริบตาปริบๆ มีน้ำตาถูกบีบออกมาหลายหยด…

“ขะ…ข้า…” เวลานี้กระเรียนขนร่วงตกใจสุดขีด เงียบอยู่นานก็ยังไม่กล่าวอะไร

“เปิดวงแหวนอาคมแล้วเข้าไปกับข้า” ซูหมิงมองกระเรียนขนร่วงอย่างเย็นชา ขณะกล่าวก็ยกมือขวาขึ้น เมื่อทำสัญลักษณ์มือแล้วก็กดฝ่ามือไปทางมันอย่างไม่ลังเล ฉับพลันนั้นมีแสงดำสายหนึ่งปล่อยมาจากปลายนิ้วซูหมิงตรงไปยังกระเรียนขนร่วง หลังจากผสานรวมในพริบตาก็สร้างขึ้นเป็นผนึกเชื่อมกับจิตใจซูหมิง

เดิมทีเขาไม่อยากผนึกอีกฝ่ายไว้เช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะการกระทำของกระเรียนเมื่อครู่ พอเข้าไปในม่านแสงแล้วซูหมิงคงจะแยกกับมัน อีกฝ่ายไปที่ใดเขาก็จะไม่ก้าวก่าย

ความจริงแล้วหากระหว่างทางกระเรียนขนร่วงเอ่ยว่าจะจากไป ซูหมิงจะไม่ห้าม ทว่าวิธีของมันเมื่อครู่นี้กลับทำให้เขาไม่พอใจ

กระเรียนขนร่วงใจสั่น ก้มหน้ารีบมาอยู่ข้างวงแหวนอาคมแล้วเปิดมันอีกครั้ง มันทำสีหน้าประจบมองซูหมิง ขณะกำลังขบคิดว่าจะเอาใจอย่างไรดี ซูหมิงก็ก้าวเดินหนึ่งก้าว ใช้มือซ้ายจับคอกระเรียนหิ้วเข้าไปในม่านแสงวงแหวนอาคม

เห็นแสงสีฟ้าสว่างพร่างพราว โลกพลันพร่ามัว เมื่อชัดเจนขึ้นซูหมิงก็เดินออกจากม่านแสงอาคม มายืนอยู่กลางอากาศของแดนอรุณใต้ในอดีต เขามองแผ่นดินรกร้าง ไม่มีหญ้าสีเขียว ท้องฟ้าขุ่นมัวและเห็นแสงตะวันไม่ชัด

ภูเขาลูกนั้นยังคงเป็นภูเขาในอดีต ที่ราบก็ยังคงเดิม แต่กลับไม่มีชีวิต ท่ามกลางความเปลี่ยวร้างแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย

ซูหมิงคลายมือจากคอกระเรียนขนร่วง พอแค่นเสียงหึก็กลายเป็นสายรุ้งยาวบินไปข้างหน้า กระเรียนขนร่วงหมดอาลัยตายอยาก รีบตามหลังไปพลางบ่นพึมพำในใจตลอด คิดในใจว่าครั้งนี้ตนสะเพร่าเอง…ไม่เพียงหนีไม่รอด แต่กลับถูกผนึกเอาไว้ด้วย

‘บัดซบ ไม่อยากเชื่อว่าข้าจะมองการหยั่งเชิงครั้งนี้ไม่ออก…หมานคนนี้เจ้าเล่ห์นัก ดูจะเชี่ยวชาญการหยั่งเชิง ข้าต้องจำเอาไว้ จากนี้จะได้ไม่ถูกหลอกอีก!’ เจ้ากระเรียนลอบถอนหายใจ บอกกับตัวเองตลอดทางว่าต้องระวังอีกฝ่ายหยั่งเชิงเอาไว้

ซูหมิงบินอยู่บนท้องฟ้า แผ่นดินที่นี่เขาคุ้นตาดี โดยเฉพาะเมื่อบินมาแล้วหลายร้อยลี้ ช่วงที่ตรงหน้าปรากฏเป็นผืนน้ำกว้างกลางเกาะ เขาถึงหยุดชะงัก

ผืนน้ำกว้างนี้ปานทะเล ทว่าไม่ใช่สีดำ แต่เป็นสีฟ้าปกคลุมอาณาเขตไปไกลมาก ที่นี่เดิมทีไม่มีผืนน้ำกว้างใหญ่ แต่เป็นโลกธารน้ำแข็ง สำนักเหมันต์สวรรค์ก็สร้างขึ้นบนธารน้ำแข็งนี้

ยามนี้ภัยพิบัติมาถึง แดนอรุณใต้แตกเป็นเสี่ยงๆ แผ่นดินเหมันต์สวรรค์ในอดีตจึงน้ำแข็งละลายกลายเป็นทะเลกลางเกาะ ท่วมสิ่งคุ้นตาในความทรงจำซูหมิง

“ยอดเขาลำดับเก้า…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขามองทะเลกลางแผ่นดิน ตรงหน้าลอยขึ้นมาเป็นภาพยอดเขาลำดับเก้าในอดีต ไม่นานก็มีสีหน้าตื่นเต้น ก่อนขยายจิตสัมผัสไปรอบๆ

ในจิตสัมผัสเขาเห็นแผ่นดินผืนนี้ เห็นว่าตรงใจกลางทะเลกว้างใหญ่มียอดเขาเล็กๆ อยู่…..

วินาทีที่เห็นยอดเขานั้น ซูหมิงตัวสั่น หัวใจเต้นระรัวขึ้น นัยน์ตาฉายประกายแสงอันไร้สิ้นสุด เขาค่อยๆ เดินเข้าไปทางยอดเขาเล็กๆ บางทีอาจพูดได้ว่าเป็นยอดเขาที่โผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำไม่ถึงร้อยจั้ง

เหมือนกับนักเดินทางออกจากบ้านไปหลายปี จนเมื่อวันหนึ่งกลับมาถึงบ้านในที่สุด เห็นความแปลกตาที่ปะปนกับความคุ้นเคย ความซับซ้อนและตื่นเต้นเช่นนั้นยากจะใช้คำพูดมาบรรยาย

ลมทะเลมาพร้อมกับกาลเวลาโชกโชน พัดผ่านผิวทะเลจนเป็นชั้นคลื่น ก่อให้เกิดประกายน้ำวิบวับ เป็นความงดงามที่ชวนให้คิดถึง

สายลมลอยผ่านตัวเขา พัดผมดำพลิ้วไหวขึ้น พัดอาภรณ์เขาจนขยับ เมื่อเข้าสู่สายตาก็กลายเป็นความคิดถึงและความทรงจำ ฉุดดึงเท้าซูหมิงให้ก้าวเดินไปยังยอดเขาลำดับเก้าทีละก้าว

ในสายตาซูหมิง ยามนี้ทุกอย่างหายไปสิ้น มีเพียงอย่างเดียวคือยอดเขาสูงไม่ถึงร้อยจั้งกลางคลื่นทะเลห่างออกไปไกล

บางทีอาจพูดได้ว่ามันเป็นเพียงปลายยอดเขา เพราะตัวภูเขาส่วนใหญ่ถูกจมอยู่ใต้ทะเล รวมถึงถ้ำของซูหมิงในตอนนั้น พืชดอกของศิษย์พี่รอง จุดนั่งฌานของศิษย์พี่ใหญ่ และที่หลับนอนของหู่จื่อ…ทุกอย่างนี้ถูกจมลงไป เหลือเพียงยอดเขาร้อยจั้งตั้งตระหง่านขึ้นมากลางผิวทะเลไปชั่วนิรันดร์

ประหนึ่งว่ามันกำลังรอซูหมิง รอให้เขากลับมา มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดยอดเขาอื่นๆ ถึงหายไป มีแค่มันที่ยังอยู่…

เรื่องในอดีตของยอดเขาลำดับเก้ากลายเป็นความทรงจำผ่านนัยน์ตาซูหมิง ยามเข้าไปใกล้ยอดเขา ในใจเกิดความซับซ้อน ยี่สิบปีมานี้มันเปลี่ยนไปมากเพราะภัยพับัติครั้งหนึ่ง

ซูหมิงใช้จิตสัมผัสมองไป ตัวเขายังห่างจากยอดเขาลำดับเก้าหลายร้อยลี้ ยามนี้นอกถ้ำของเทียนเสียจื่อมีชายร่างกำยำยืนอยู่คนหนึ่ง!

ชายคนนี้สูงใหญ่ เส้นผมยุ่งเหยิง ร่างแข็งแรงกำยำยิ่งนัก เขายืนอยู่ตรงนั้นดุจภูเขาที่ไม่มีวันถูกทำลาย และตอนนี้กำลังกำหมัดจ้องไปข้างหน้าอย่างโกรธแค้น

ตรงหน้าเขาเป็นชายสวมอาภรณ์งดงามสองคน สองคนนี้เป็นชายวัยกลางคน หนึ่งในนั้นมองชายร่างกำยำด้วยความเย็นชา ก่อนกล่าวเนิบนาบ

“ตอนนี้เวลาเช่าเหลืออีกสามวัน หากเจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อก็ต้องมอบเครื่องบรรณาการให้มากกว่าครั้งก่อน หากไม่มีให้ ฝ่ายนภาจะลบยอดเขานี้ทิ้งไป”

“เห็นแก่เจ้าเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน ข้าว่าหากเจ้าไม่อยากทิ้งที่นี่ไป ก็ส่งเครื่องบรรณาการมาเสียดีๆ” อีกคนกล่าวเสียงเย็นชา

“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” ชายร่างกำยำตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว สีหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาลและคับอกคับใจ หลายปีมานี้เขาจ่ายไปมากนักเพื่อปกป้องยอดเขาลำดับเก้า

ช่วงภัยพิบัติ ฝ่านนภาของสำนักเหมันต์สวรรค์ใช้อภินิหารสร้างวงแหวนอาคมปกคลุมที่นี่ไว้ ทำให้ที่นี่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งเพราะความแกร่งของฝ่ายนภา ขุมอำนาจต่างๆ จึงต้องยอมสยบ

ฝ่ายแผ่นดินในอดีตก็ถูกทำลายจมลงสู่ก้นทะเลด้วยเหตุผลต่างๆ นานา

แต่กลับละยอดเขาลำดับเก้าเอาไว้อย่างน่าประหลาด ทว่าก็มีเงื่อนไขคือทุกๆ เดือนชายร่างกำยำจะต้องไปถ้ำของเทียนเสียจื่อ แล้วนำของมาสิบชนิดเป็นเครื่องบรรณาการ มิเช่นนั้นฝ่ายนภาจะทำลายยอดเขาลำดับเก้าเสีย

ชายร่างกำยำรู้ว่าถ้ำของอาจารย์มีผนึกพิสดารอยู่ ผนึกนี้ห้ามคนนอกเข้า หากฝืนเข้าไปของทุกอย่างในนั้นจะเป็นผุยผงในทันใด มีเพียงศิษย์ยอดเขาลำดับเก้าเท่านั้นถึงจะเข้าออกได้อย่างอิสระ

“ข้ามอบมรดกของอาจารย์ให้พวกเข้าไปมากกว่าครึ่งแล้ว เหตุใดยังไม่ปล่อยยอดเขาลำดับเก้าไปอีก ข้าแค่อยากปกป้องบ้าน อาจารย์ไปแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ไปแล้ว ศิษย์พี่รองก็ไปแล้ว ศิษย์น้องเล็กก็หายตัวไป ที่นี่มีแต่ข้า มีแต่ข้าเท่านั้น…

ข้าแค่อยากปกป้องที่นี่ อยากให้มันอยู่ที่นี่ตลอดไป เมื่ออาจารย์กลับมาจะยังมีบ้านอยู่ เมื่อศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์รองกลับมาจะได้เห็นบ้านของพวกเขา!

และเมื่อศิษย์น้องเล็กกลับมาจะได้เจอเส้นทางกลับบ้าน ข้ามีแค่วิธีนี้วิธีเดียว ทว่าพวกเจ้า…เหตุใดพวกเจ้าทำเช่นนี้ มรดกของอาจารย์เหลือไม่มากแล้ว พวกเจ้าจะเอาอย่างไร!” ขณะชายร่างกำยำตะโกนด้วยความโกรธก็มีน้ำตารินไหล ความขมขื่นและคับแค้นใจในช่วงหลายปีมานี้ไม่มีใครอื่นรู้

เขาคือหู่จื่อ เป็นหู่จื่อคนซื่อในตอนนั้นที่มีงานอดิเรกประหลาดๆ

เพียงแต่ว่ายี่สิบปีผ่านมา หู่จื่อในยามนี้มีสีหน้าผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เขาไม่ใช่เด็กที่มีเทียนเสียจื่อคอยปกป้องอีก ไม่ใช่คนที่นอนหลับทุกวันโดยไม่เคยคิดถึงอะไรอีก แต่เขาเป็นคนปกป้องยอดเขาลำดับเก้า ปกป้องบ้านเอาไว้ให้กับศิษย์พี่และศิษย์น้องของเขา!

“หากอาจารย์อยู่ พวกเจ้าจะกล้าทำแบบนี้รึ!”

“แม้แต่ตอนศิษย์พี่ใหญ่อยู่ พวกเจ้าก็ยังไม่กล้าทำแบบนี้! ต่อให้เป็นก่อนศิษย์พี่รองไป พวกเจ้าก็ยังไม่กล้ารังแกยอดเขาลำดับเก้าของข้า!” หู่จื่อมีสีหน้าโกรธแค้นพลางตะโกนใส่ทั้งสองคน

“ไม่ผิด หากผู้อาวุโสเทียนเสียจื่อยังอยู่ พวกข้าไม่กล้าทำจริงๆ ทว่าผู้อาวุโสหายตัวไปนานมากแล้ว เป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้” สองคนตรงหน้าหู่จื่อ หนึ่งในนั้นส่ายศีรษะพลางกล่าว

“หากศิษย์พี่ใหญ่หรือศิษย์พี่รองของเจ้าอยู่ด้วย บางทีอาจไม่เป็นเช่นนี้ แต่พวกเขาหายตัวไปแล้ว”

“จริงๆ แล้วเจ้าไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้น พวกข้าสองคนก็รับคำสั่งมาจากสำนัก มาแจ้งข่าวที่นี่เฉยๆ” อีกคนกล่าวด้วยเสียงเย็นชา

“ยอดเขาลำดับเก้าเป็นของสำนักเหมันต์สวรรค์ สำนักเหมันต์สวรรค์เป็นของฝ่านนภา พวกเราจะเอาภูเขาคืน อย่างนี้เรียกว่าบีบบังคับรึ? สามวันหลังจากนี้พวกเราจะมาเอาเครื่องบรรณาการ หากเจ้าไม่เอามาให้ พวกข้าก็ได้แต่ไปรายงานกับทางสำนัก” สองคนกล่าวจบก็มองหู่จื่อด้วยความเหยียดหยามและเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งบินขึ้นฟ้า ร่างเงาทั้งสองคนราวทะลวงเข้าไปในความว่างเปล่า หายไปในอากาศบิดเบี้ยว

เหลือไว้เพียงหู่จื่อที่ยังยืนอยู่บนผิวทะเล เมื่อนั่งลงอย่างเศร้าหมองแล้วเขากำหมัดแน่น สุดท้ายพอมองยอดเขาลำดับเก้า น้ำตาก็รินไหล

“ข้าแค่อยากปกป้องยอดเขาลำดับเก้า ไม่อยากให้มันหายไป ข้าอยากพาความอบอุ่นในตอนนั้นกลับมา ข้าอยากเก็บบ้านไว้ให้พวกท่าน…อาจารย์ ท่านอยู่ที่ใด ท่านรู้หรือไม่ว่ายอดเขาลำดับเก้าเป็นเช่นนี้ไปแล้ว…

ท่านไปแดนรกร้างบูรพาเพื่อแดนอรุณใต้ แต่ท่านรู้หรือไม่ ยอดเขาลำดับเก้าของเราจะไม่ไหวแล้ว ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว…

ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอยู่ที่ใด…ศิษย์พี่รอง เหตุใดต้องออกไปข้างนอกด้วย เหตุใดไม่อยู่ที่นี่ ปกป้องบ้านของเรากับข้า…และยังมีศิษย์น้องเล็ก จะ….เจ้า….เจ้าเป็นตายอย่างไร ยี่สิบปีมาแล้ว เจ้ายังจำยอดเขาลำดับเก้าได้หรือไม่ เจ้ายังจำอาจารย์ จำศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง และข้าได้หรือไม่…” หู่จื่อน้ำตาไหลขณะพึมพำเบาๆ

ชายร่างกำยำผู้หนึ่งร้องไห้เช่นนี้ มันมากพอจะให้ผู้พบเห็นทุกคนต้องใจสั่นไหว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!