ตอนที่ 572 โชคชะตาของหินตกแม่น้ำสวรรค์
“คารวะท่านซูหมิง!”
“พวกข้าขอคารวะ ทะ….ท่านซูหมิง”
ตรงหน้าซูหมิงเป็นเหล่าคนที่เขาบอกให้โจมตีม่านแสง ยามนี้พากันมองซูหมิงด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง ในนั้นมีบางคนเคยเจอซูหมิงในอดีต ตอนนี้ในใจรู้สึกซับซ้อน ทว่ากลับไม่กล้าเผยออกมา แต่ถึงกระนั้นก็ยำเกรงอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าใด ผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ ความเคารพนี้อาจจะจริงใจหรืออาจเพราะยำเกรง ผู้แข็งแกร่งเป็นจ้าว นี่คือกฎแห่งธรรมชาติที่มีมาแต่โบราณกาล
กลุ่มคนตรงหน้าก็เป็นเช่นนี้
ฝ่ายนภาพินาศลง พวกเขาคือผู้รอดชีวิตหลังจากภัยพิบัติและเห็นซูหมิงสังหารอยู่ในฝ่ายนภากับตาตัวเอง ช่วงที่พวกเขาเอ่ยแล้วสายตาซูหมิงมองมา คนเหล่านี้ก็พากันก้มหน้าลงไม่กล้าสบตา
สายตาซูหมิงในความคิดพวกเขาไม่มีความดุดันมากนัก ทว่าดูกระจ่างใสและลุ่มลึก เพียงแต่ดวงตาธรรมดาๆ นี้กลับทำให้เหล่าคนเหมือนถูกมองทะลุทุกอย่างในใจ เกิดความรู้สึกว่าไม่มีความลับใดๆ ต่อหน้าซูหมิง
ความตื่นตะลึงในก้นบึ้งหัวใจอบอวลอยู่ในจิตใจของคนเหล่านี้ พอพวกเขาก้มหน้าลง ซูหมิงก็มองมา ในคนเหล่านี้มีอยู่บางคนที่เลือนรางอยู่ในความทรงจำเขา เป็นคนที่เขาเคยเจอโดยบังเอิญตอนอยู่ยอดเขาลำดับเก้าในอดีต ทว่ากลับนึกชื่อไม่ออก
สำหรับคนที่รู้จักซูหมิง ถึงอย่างไรเวลาก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว เวลายี่สิบปีนี้อาจเปลี่ยนไปมาก ทว่าสำหรับผู้แข็งแกร่งแล้วคงไม่มีใครลืมง่ายขนาดนั้น
หากแต่ซูหมิงผ่านวัฏจักรในโลกอมตะของจู๋จิ่วอินมานับครั้งไม่ถ้วน แม้จิตใจเขาจะแกร่งขึ้น ทว่าความทรงจำในอดีต นอกจากคนพิเศษบางคนหรือเรื่องสำคัญแล้ว อื่นๆ ล้วนเลือนรางเหมือนอยู่คนละยุคสมัย
กระทั่งเรื่องความรักในตอนนั้นยังจางลงไปมาก เหมือนกับที่กวาดสายตามองทุกคนอยู่ในตอนนี้ มองยอดเขาลำดับเก้า มองร่างงดงามสวมอาภรณ์สีขาวที่เหมือนในอดีต
หู่จื่อยังคงนอนกรนเสียงดังสนั่นเป็นบางครั้ง เสียงนี้ทำลายความเงียบของทุกคนจากการที่ซูหมิงปรากฏตัวขึ้น
ซูหมิงเดินหนึ่งก้าวไปยังยอดเขาลำดับเก้า ช่วงที่หนึ่งก้าวเหยียบลง ร่างเงาเขาค่อยๆ หายไป ก่อนมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศเหนือยอดเขาลำดับเก้า แล้วย่างเดินอีกครั้งมายืนอยู่บนปลายสุดยอดเขา
บนยอดเขานี้ นอกจากไป๋ซู่กับบิดาแล้วยังมีผู้รอดชีวิตจากฝ่ายนภาอีกบางส่วน ในนั้นมีชายชราเสื้อคลุมขาวคนหนึ่ง เขาก็คือประมุขฝ่ายนภาคล้ายคนตายที่ช่วงแรกพลังชีวิตเหือดหายจนหมดสติไป
หลังจากซือหม่าซิ่นตายลง เส้นหมานในร่างกายเขายังไม่หายไป แต่มุดเข้าไปในร่างอยู่ลึกๆ แล้วแน่นิ่งไปประดุจสิ้นชีพ
จากนั้นชายชราก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น แม้จะบาดเจ็บหนัก อีกทั้งพลังชีวิตยังหายไป แต่ในเมื่อเขากล้าเสี่ยงเช่นนี้ ย่อมต้องมีวิธีฟื้นฟูพลังชีวิตของตน และยังมีความเป็นไปได้สูงว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงเรื่องลวงตาเท่านั้น
ยามนี้พอชายชราเสื้อคลุมขาวฟื้นขึ้นก็เห็นซูหมิงเดินเข้ามา เขาจึงมีสีหน้าตื่นเต้น เดินเข้าไปประสานมือคารวะ
“ข้าหลินไหจื่อ คารวะท่านประมุขแห่งแผ่นดินเหมันต์สวรรค์”
หลังจากชายชราเอ่ยจบ คนอื่นๆ บนยอดเขาลำดับเก้าล้วนประสานมือคารวะซูหมิง เว้นแต่ไป๋ซู่กับบิดา
“คารวะท่านประมุขแห่งแผ่นดินเหมันต์สวรรค์!”
เสียงจากหลายคนรวมขึ้นเป็นคลื่นเสียง ดังกึกก้องบนผิวทะเลอยู่นานไม่เลือนหาย
จากนั้นบิดาของไป๋ซู่หรือชายชราผู้มีสีหน้าซับซ้อนก็ก้มศีรษะลง ประสานมือคารวะซูหมิงเช่นกัน
ทุกคน ณ ที่นี่ในเวลานี้ล้วนกล่าวด้วยเสียงเคารพนบนอบ บอกถึงความยำเกรงต่อซูหมิง แม้พวกเขาไม่รู้ว่าในทะเลเกิดอะไรขึ้น ทว่าจากการที่เส้นเมล็ดพันธุ์หมานในตัวเงียบสงบดุจสิ้นชีวิต พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความตายของซือหม่าซิ่น รู้สึกว่าเส้นที่ควบคุมชะตาชีวิตตนขาดสะบั้นแล้ว
เมื่อซูหมิงขึ้นมาจากทะเล ทุกคนที่นี่จึงเข้าใจการต่อสู้ระหว่างซูหมิงกับซือหม่าซิ่น ไม่ว่าระหว่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แต่ผลก็คือ…ซือหม่าซิ่นตายแล้ว!
“ท่านประมุขแห่งแผ่นดินเหมันต์สวรรค์ ท่านซูหมิง ไม่ทราบว่าซือหม่าซิ่น…..” ชายชราเสื้อคลุมขาวลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนถามขึ้น แม้เขารู้สึกว่าซือหม่าซิ่นน่าจะตายแล้ว แต่หากไม่ได้ยินซูหมิงบอกด้วยตัวเอง เขาก็ยังกลัวอยู่เล็กน้อย
“ซือหม่าซิ่นตายแล้ว!” ซูหมิงกล่าวเนิบๆ ไม่ได้ใส่ใจคำเรียกประมุขแห่งแผ่นดินเหมันต์มากนัก
ทันทีที่ได้ยินซูหมิงบอก ชายชราก็สูดลมหายใจเข้าลึก ความตื่นเต้นวาบผ่านทางสีหน้า เขามองซูหมิงพลางประสานมือคารวะอีกครั้ง
หลังจากซูหมิงกลับมาและบอกว่าซือหม่าซิ่นตายลงแล้ว ผู้รอดชีวิตจากฝ่ายนภาบนยอดเขาลำดับเก้าล้วนตื่นเต้น ทว่าก็ยังคงสับสน พวกเขาสับสนว่าจะเอาทางใดดี สับสนว่าชะตาชีวิตจะไปที่ใด
จนเมื่อค่ำคืนมาถึง ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่นอกถ้ำของหู่จื่อที่ยังคงหลับใหล รอบตัวเขานอกจากร่างเงาสีขาวแล้วก็ไม่มีใครอีก โดยรอบเงียบสงบยิ่งนัก มีเพียงเสียงคลื่นทะเลแว่วมาเบาๆ ทั้งยังมีเสียงกรนของหู่จื่อที่จะดังมาเป็นบางครั้ง
ผู้เหลือรอดจากฝ่ายนภาเหล่านั้นกระจายกันอยู่บนยอดเขา ไม่ได้เข้ามาใกล้ที่นี่ เพียงแต่มีคนแอบเงยหน้ามองร่างเงาใต้แสงจันทร์บนปลายยอดเขาเป็นบางครั้ง ตอนที่มองไปนัยน์ตามีความฮึกเหิมและเคารพ
ไป๋ซู่นั่งอยู่ข้างซูหมิง พวกเขาสองคนอยู่ที่นี่มาใกล้จะหนึ่งชั่วยามแล้ว มองผืนฟ้าค่อยๆ มืดลง มองความอึมครึมของผิวทะเล ไม่มีใครกล่าวอะไร
ความจริงแล้วที่นี่ไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคน ข้างริมหน้าผาห่างไปไม่ไกลยังมีกระเรียนขนร่วงนอนหมอบอยู่ตัวหนึ่ง มันนอนเกียจคร้านอยู่ตรงนั้น ในกรงเล็บมีหินพร่างพราวหนึ่งก้อน มองอยู่อย่างนั้นไม่หยุด บ้างก็ยิ้มบางๆ ที่มุมปากอย่างลำพองใจ แล้วส่งเสียงหัวเราะดังคิกๆ
“เจ้าจะไปหรือ?” ผ่านไปอีกนาน ช่วงที่กระเรียนขนร่วงเบนสายตาจากก้อนหินผลึกมาพิจารณามองไป๋ซู่กับซูหมิง ไป๋ซู่ก็ทำลายความเงียบลง
“ข้าจะไปแดนรกร้างบูรพา” ซูหมิงมองน้ำทะเลสีดำพลางกล่าวเนิบช้า
“ขอให้เจ้ามีความสุข….” ไป๋ซู่กล่าวเสียงเบา ก้มหน้าลงมองทะเลเช่นกัน
ซูหมิงเงียบงัน เขาหันหน้าไปมองไป๋ซู่ เส้นผมไป๋ซู่ยาวมากจนปิดบังใบหน้าของนาง ปิดกั้นสายตาซูหมิง และก็ปิดรอยแผลเป็นน่าเกลียดบนใบหน้าเอาไว้
“เมื่อก่อนข้ามันไม่รู้ความ ขอบคุณเจ้าที่ให้อภัย ข้าดีใจมากที่ได้เจอเจ้าครั้งนี้…” ไป๋ซู่กล่าวเสียงเบา นางไม่มองซูหมิงแต่ก้มหน้าลงมองทะเล ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ในรอยยิ้มนั้นดูสบายๆ และหวนคะนึงคิดเล็กน้อย
จนกระทั่งผ่านไปอีกนาน นางถึงยืนขึ้นแล้วเดินผ่านซูหมิงไป
“ยอดเขาลำดับเก้าเป็นบ้านของเจ้า เจ้าไปอย่างสบายใจเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่ดูแลมันเอง…หากวันหนึ่งข้าไม่อยู่ กระดูกของข้าก็จะอยู่ที่นี่เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำร้ายเจ้าในตอนนั้น” ไป๋ซู่เอ่ยเบาๆ ระหว่างที่เดินผ่านซูหมิง เขาพลันยกมือขวาจับแขนนางไว้
ทันทีที่สัมผัสมือไป๋ซู่ นางตัวสั่นเบาๆ อย่างชัดเจน นางไม่สลัดออกแต่ปล่อยให้ซูหมิงคว้าแขนเอาไว้ เพียงแต่ยังคงก้มหน้าลง
ซูหมิงยืนขึ้น มองไป๋ซู่พลางใช้มือขวาเกลี่ยเส้นผมดำบนใบหน้านาง ไป๋ซู่พยายามหลบหลีก ทว่าเขาก็ยังคงเห็นรอยแผลเป็นน่ากลัวอยู่ดี
ไป๋ซู่หลับตาลง น้ำตาไหลมาจากหางตา นางก้มหน้าลงเหมือนไม่อยากให้ซูหมิงเห็นรอยแผลเป็นอัปลักษณ์นั้น
“เจ้าไม่ต้องไถ่โทษ เรื่องในตอนนั้นมันผ่านมาแล้ว ข้าหวังว่าจะได้เห็นเด็กสาวน่ารักคนนั้น เห็นสตรีผู้มีความงามแบบดื้นรั้นคนนั้น” ซูหมิงมองไป๋ซู่พลางกล่าวเสียงเบา
“คนเราต้องเติบโตไม่ใช่รึ…ข้าไม่ใช่ข้าเมื่อก่อนแล้ว เจ้าก็ไม่ใช่เหมือนกัน” ไป๋ซู่ลืมตามองซูหมิง นัยน์ตาไม่มีความดื้นรั้นแบบในความทรงจำเขา แต่เปลี่ยนเป็นผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและมีร่องรอยของกาลเวลา
อีกทั้งยังมีความเหนื่อยล้าและการไร้เรี่ยวแรงต่อต้านโชคชะตาซ่อนอยู่ลึกๆ
“บิดาข้าเคยบอกว่า ข้ามีชะตาเป็นหินตกแม่น้ำสวรรค์ ฟองคลื่นจากก้อนหินที่ตกลงแม่น้ำกลายเป็นข้า มันกำหนดเอาไว้แล้วว่าชีวิตข้าต้องคู่กับน้ำตา กำหนดไว้แล้วว่าข้าเป็นเพียงสายน้ำที่กระเซ็นขึ้นไปชั่วชีวิต…” ไป๋ซู่มองซูหมิงพลางออกแรงมือขวาเหมือนจะดึงให้หลุดจากมือเขา
“รอข้ากลับมา ข้าจะหาวิธีกลับแดนพันธมิตรตะวันตก หากข้าหาเจอ เจ้า…ไปแดนพันธมิตรตะวันตกกับข้าเถอะ” ซูหมิงไม่ปล่อยมือ เขามองไป๋ซู่ มองสตรีคนนี้แล้วกล่าวช้าๆ
“หินตกแม่น้ำสวรรค์ กำหนดแล้วว่าชีวิตนี้ต้องโดดเดี่ยวเพราะหินตกลงไป ต่อให้ตกลงไปในแม่น้ำอีกก็ไม่มีใครหาเจอ เพราะน้ำในแม่น้ำสวรรค์นั้นมีมาก แต่ข้า…..เป็นเพียงหยดน้ำในนั้นเท่านั้น
ซูหมิง ข้าจะอยู่ที่นี่ ข้าจะช่วยเจ้าดูแลยอดเขาลำดับเก้า ข้าไม่ไป…..กับเจ้า” ไป๋ซู่หันหน้ากลับแล้วสลัดหลุดจากมือซูหมิง ตอนที่หันกลับไปเส้นผมนางปลิวไสว สะบัดใส่หยดน้ำตาของนาง ทำให้เศษหยดน้ำตาเหล่านี้ล่องลอยไป วินาทีที่มันลอยผ่านหน้าซูหมิง ไป๋ซู่ก็จากไปไกลแล้ว
ซูหมิงมองร่างเงาไป๋ซู่ลับหายไปอย่างเงียบๆ
ตรงหน้าเขาลอยขึ้นมาเป็นไป๋หลิงในภูเขาทมิฬและหญิงแห่งโชคชะตาในโลกเก้าหยิน ร่างเงาสตรีสามคนนี้เหมือนซ้อนทับกัน
“โชคชะตาของหินตกแม่น้ำสวรรค์…..ปรากฏขึ้นเพราะหินตก พิเศษเพราะหินตก และโดดเดี่ยวเพราะหินตกสุดท้ายก็ผสานรวมอยู่ในแม่น้ำ ไม่มีใครหาเจอ”
เสียงแก่ชราดังแว่วมาจากอีกด้านหนึ่งของยอดเขา เสียงนี้มาพร้อมกับชายชราหน้าซีดขาวผู้มีสีหน้าซับซ้อน ชายชราคนนี้มีพลังชีวิตอ่อนราวกับเหลือไม่มากแล้ว ประหนึ่งร่อยรอยของชีวิตจะหายไปได้ทุกเมื่อ เขาเดินมาหาซูหมิง บุคคลนี้ก็คือบิดาของไป๋ซู่ เป็นชายวัยกลางคนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในฝ่ายนภา
ยี่สิบปีผ่านมา กาลเวลาทิ้งร่องรอยบนตัวเขาไว้มากมายยิ่งนัก
“นี่คือโชคชะตาของนาง หากไม่อาจทำลาย มันก็จะเป็นเช่นนี้”