ตอนที่ 592 แข็งแกร่ง
หากไม่มีโลกอมตะของจู๋จิ่วอิน ซูหมิงที่เดินมาถึงตรงนี้คงตกอยู่ในบ่วงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ บางที…เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาอาจจะเห็นภูเขาทมิฬแปลกตา หรือไม่มันก็อาจไม่ได้ชื่อว่าภูเขาทมิฬ แต่จะมีที่ที่หนึ่งรอเขาอยู่เสมอ
จากนั้นเขาก็จะเติบโตไปเรื่อยๆ บางทีอาจต้องผ่านประสบการณ์เลวร้าย ผ่านอะไรมากมาย เขาอาจพบว่าข้างกายตนมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองอยู่
บางทีเขาอาจจะเดินมาจนถึงตอนนี้ และอาจ…เดินไปตามเส้นทางที่คนอื่นกำหนด เดินไปตามโชคชะตา
ทว่า…การปรากฏตัวของหงหลัวเหมือนกับแผนการซึ่งถูกวางเอาไว้แล้วเกิดเหตุไม่คาดคิดอย่างกะทันหัน จึงไม่ทันรับมือกับสิ่งนี้และไม่อาจคาดเดาล่วงหน้า ฉะนั้นร่างแยกตี้เทียนคนแรกจึงปรากฏตัวเพื่อแก้ไขให้กลับมาดังเดิม
เขาทำสำเร็จเพราะหงหลัวตายแล้ว ทว่าก็ล้มเหลวเช่นกัน เพราะ….ซูหมิงตื่นขึ้น!
หลังจากซูหมิงตื่นก็หลุดจากการควบคุมของตี้เทียนโดยสิ้นเชิง จากนั้นเส้นทางต่อมาจึงเป็นโชควาสนาของเขา ไม่ใช่คนอื่นกำหนดให้
โดยเฉพาะโลกอมตะที่ลิ่วล้อของตี้เทียนคิดว่าเป็นแผนการอันชาญฉลาด กลับทำให้ตอนนี้…คนที่ปีนออกมาจากวัฏจักรมีจิตใจแน่วแน่อย่างที่พบเห็นได้ยากยิ่ง!
ตอนที่ซูหมิงตื่นขึ้น ตี้เทียนมองอีกฝ่ายด้วยหัวใจสั่นสะท้าน สีหน้าเขาจริงจังอย่างยิ่ง พบกันครั้งนี้ซูหมิงอยู่เหนือความคาดหมายของเขายิ่งนัก
อันดับแรกคือทำให้เขาบาดเจ็บ ต่อมาก็ตื่นจากห้วงความคิด ภาพเหล่านี้ทำให้ตี้เทียนมีสีหน้าจริงจัง ในเวลาเดียวกันในใจก็มีความคิดแน่วแน่
‘ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องปรับแก้เขาใหม่ มิเช่นนั้นหากให้เวลาเขาอีกหน่อย เกรงว่าร่างจริงคงต้องมาเอง…ไม่อยากเชื่อเลยว่าหลายปีมานี้เขาจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
ซู่มิ่ง…สมกับเป็นซู่มิ่งจริงๆ ชาวเผ่ายมโลก!’ นัยน์ตาตี้เทียนเย็นเยียบ พลันยกมือขวาชี้ไปยังซูหมิงที่ตื่นขึ้นและกำลังถอยไปอย่างเร็วรี่
“ผู้พเนจรหวนคืนกลับบ้าน หมอกควันเป็นดวงตา แดนสวรรค์เป็นตัวเหนี่ยวนำ รับรู้ได้…แดนสวรรค์หลงทาง!” เสียงตี้เทียนเต็มไปด้วยความพิลึก ลากนิ้วกดไปทางซูหมิง
ทันใดนั้นก็มีกลุ่มเส้นสีดำลอยมาจากตัวเขา เส้นดำเหล่านี้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ปกคลุมโดยรอบ มันมีลักษณะเหมือนกับก้อนเส้นยักษ์ลูกหนึ่ง เส้นเหล่านั้นหมุนวนรอบๆ ทั้งยังปกคลุมทั่วฟ้าดิน
ชั่วขณะที่ซูหมิงถอยหลัง เส้นดำเหล่านั้นเหมือนตรงมาทางเขาช้าๆ ทว่ากลับลุกลามมาอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งจะห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้หลายชั้น
ซูหมิงมองไม่เห็นตี้เทียนตรงหน้า รอบตัวเขาล้วนเต็มไปด้วยเส้นดำเหล่านั้น และไม่อาจหลบหลีกไปไหน!
ซูหมิงหน้าซีดขาว มือขวายังเจ็บอยู่ เขาหอบหายใจแรง แต่นัยน์ตากลับไม่มีความสิ้นหวังแม้แต่น้อย
แสงวูบวาบนั้นแผดเผาในแสงพร่างพราวดุจดั่งดวงดารา เปี่ยมล้นไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ต่อให้ต้องตายก็ขอยืนตายและหัวเราะเสียงดังอย่างไร้ความผิดหวัง!
“ข้าซูหมิงตายได้ แต่หากตายก็จะให้เจ้าต้องจ่ายราคาด้วย! หากข้าตาย ข้าจะให้เผ่าเซียนของเจ้าเต็มไปด้วยทะเลโลหิต! หากข้าตาย ข้าจะให้ท้องนภาสูญสิ้นความคิดนับแต่นี้ไป!” ซูหมิงหัวเราะเสียงดัง ชั่วขณะที่เส้นดำเหล่านั้นตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วจนห่างไปไม่ถึงสิบจั้ง เขายกมือขวาแล้วอ้าปากพ่นบางสิ่ง พัดอันหนึ่งพลันปรากฏในมือเขา
พัดนี้ดูแล้วสร้างจากขนนกจำนวนมาก ตัวมันเปล่งแสงสว่าง ครั้นสะบัดก็ยืดขยายขึ้นมาในทันใด ก่อนซูหมิงจะโบกมันไปข้างหน้า!
พัดนี้ซูหมิงเอามาจากซือหม่าซิ่น เป็นสมบัติที่เทพหมานรุ่นสองสร้างขึ้นด้วยตัวเอง และก็เป็น….สมบัติของซูหมิง!
“วิถีสามรกร้าง ฟ้า ดิน มนุษย์ ฟ้ารกร้าง!”
หนึ่งพัดโบกสะบัด บนท้องฟ้าที่มีชั้นเมฆหนาส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผืนฟ้าแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ทั้งท้องนภาที่มืดครึ้มคล้ายม้วนตัวถอยไปทีละชั้น จากนั้นเศษชิ้นส่วนที่แตกออกก็ม้วนตัวขึ้น ทำให้ผืนฟ้าเหมือนถูกพัดกระพือขึ้นมา เศษกระจายเหล่านั้นปะปนกับพลังแห่งท้องฟ้า ยามนี้ตรงไปยังเส้นดำรอบๆ ตัวตามการขยับของพัด
เสียงโครมครามดังกึกก้อง พลังแห่งฟ้ารกร้างเหมือนใช้ฟ้าเป็นผ้าม่าน ตอนม้วนมันขึ้นก็ตรงเข้าใส่เส้นดำเหล่านั้น ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น เส้นดำที่กำลังลุกลามมาหาซูหมิงจากรอบตัวล้วนสั่นสะเทือน
“วิถีแห่งสามรกร้างฟ้าดินมนุษย์ ดินรกร้าง!” ซูหมิงโบกพัดในมืออีกครั้ง
พัดนี้สั่นไหว จากนั้นเกาะด้านล่างก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น…น้ำทะเลพากันม้วนถอยไป ถูกพัดซูหมิงยกลอยขึ้นจากทะเล!
เกาะนี้หดเล็กลง ทว่ายังเป็นเกาะเกาะหนึ่ง และก็เป็นแผ่นดินเล็กๆ ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น เกาะนี้ส่งเสียงวิ้งพร้อมกับลอยขึ้นมาจากผิวทะเล น้ำทะเลจำนวนมากที่ลอยขึ้นมาด้วยตกลงดุจสายฝน!
อีกทั้งตอนที่มันลอยขึ้น แผ่นดินเกาะนี้ยังแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วกลายเป็นชิ้นส่วนพุ่งเข้าปะทะกับเส้นดำเหล่านั้นอีกครั้ง ก่อให้เกิดเป็นเสียงดังสนั่นที่สุดจากวิถีฟ้าดินรกร้าง
จากนั้นก็ระเบิดออกเป็นพลังที่ทำลายล้างทุกสิ่งอย่างเป็นวงกว้างรอบตัวซูหมิง!
ซูหมิงหน้าซีดขาวกว่าเดิมไม่น้อย ทว่าเขากลับไม่หยุดเท่านี้และโบกพัดอีกครั้ง ครั้งนี้คือรูปแบบสุดท้ายของอภินิหารพัดล้ำค่าที่แม้แต่ซือหม่าซิ่นก็ยังใช้ไม่ได้
“วิถีแห่งสามรกร้างฟ้าดินมนุษย์ มนุษย์รกร้าง!”
พอใช้วิชานี้ออกไป ฟ้าดินที่ถล่มทลายส่งเสียงดังกึกก้อง เศษหินนับไม่ถ้วนข้ามผ่านเส้นดำตรงมาหาซูหมิง ชั่วพริบตาเดียวก็ปกคลุมรอบตัวเขาแล้วรวมขึ้นเป็นศีรษะยักษ์!
หน้าตาศีรษะนี้เหมือนกับซูหมิงทุกประการ อีกทั้งฟ้าที่พินาศยังหลอมละลายเข้าสู่ดวงตาของศีรษะดินยักษ์ ทำให้ดวงตาเปล่งแสงสว่าง
ช่วงที่รวมตัวเป็นศีรษะ ซูหมิงอ้าปากเป่าลมหายใจไปยังตี้เทียนผู้มีสีหน้าทะมึนที่อยู่ไม่ไกล ลมหายใจนี้พ่นออกไปก็กลายเป็นสายลมดำม้วนเข้าไปหาฝ่ายตรงข้าม สายลมดำนี้สามารถทำลายฟ้าและบดขยี้ปฐพี สามารถเป่าเพลิงชีวิตของทุกสรรพสิ่งให้มอดดับได้
“อภินิหารของเทพหมานรุ่นสอง…” ตี้เทียนมองซูหมิงด้วยสีหน้าเคร่ง เห็นสายลมดำถูกเป่าออกมา ชั่วขณะที่สายลมเข้ามาใกล้เหมือนหมอกดำ ตี้เทียนก็แค่นเสียงหึเย็นชาหนึ่งครั้ง
“น่าเสียดาย หากเป็นรุ่นสองใช้เอง ร่างแยกข้าย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้แน่ ทว่า…..เจ้าเป็นคนใช้ มันอ่อนแอเกินไป!” ตี้เทียนกล่าวพลางยกมือซ้ายฟันเข้าใส่สายลมดำ
ครั้นฟันลงหมอกดำพลันสั่นไหว ตรงกลางเว้าลึกลงไปตามแรงฟาดฟันอันไร้รูปจนเกิดเป็นรอยแยกหนึ่งเส้น ในเวลาเดียวกัน ตี้เทียนก็เดินหน้าผ่านรอยแยกนั้นด้วยความเร็วชั่วพริบตา มาปรากฏอยู่ตรงหน้าศีรษะดินยักษ์ของซูหมิง แล้วยกมือขวาวางฝ่ามือไว้ตรงระหว่างคิ้วศีรษะยักษ์
“ฉุดดึงเมฆ!” ตี้เทียนเอ่ยเสียงเบา ทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสกับศีรษะยักษ์ก็ทะลวงเข้าไปข้างใน ร่างเงาตี้เทียนไม่ชะลอความเร็วแม้แต่น้อย พอเข้าไปในระหว่างคิ้วศีรษะแล้วก็ตรงเข้าไปยังส่วนลึกทันที
ยามนี้เอง ศีรษะส่งเสียงระเบิด เห็นด้วยความเร็วระดับสายตาเลยว่าเกิดเป็นรอยร้าวนับไม่ถ้วน สุดท้ายก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทว่าวินาทีที่มันระเบิด นิ้วมือขวาตี้เทียนกลับสัมผัสกับม่านแสงทองห้าชั้น ม่านแสงขยับวูบวาบอย่างรุนแรงแล้วแตกกระจายอย่างต่อเนื่อง ปะทะเข้าใส่ร่างกายตี้เทียนจนถอยไป
บนฟ้ามีเศษหินนับไม่ถ้วนตกลงมา อบอวลไปด้วยแสงทอง ร่างเงาซูหมิงอยู่ในแสงทองนั้น กลิ่นอายพลังเทพหมานรุ่นสองแผ่มาจากตัวเขาอย่างชัดเจน!
ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดนี้ ซูหมิงผสานรวมกับโอสถมอบจิตอีกครั้งอย่างไม่ลังเล เมื่อกลิ่นอายพลังและร่างกายเปลี่ยนไป จึงทำให้ตอนนี้เขาเหมือนกลายเป็นเทพหมานรุ่นสอง!
“มันอีกแล้ว!” ตี้เทียนถอยไปด้วยสีหน้าทะมึนมากขึ้น ผนึกห้าเหลี่ยมของซูหมิงทำให้เขาปวดศีรษะยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะผนึกนี้เขาเลยถูกซูหมิงใช้หนามเทพหมานปักหน้าอก จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่ฟื้นฟูกลับมา อีกทั้งยังเลวร้ายลงเรื่อยๆ เริ่มส่งผลถึงการใช้พลังแล้ว
“คิดจริงๆ หรือว่าข้าจะทำลายวิชานี้ไม่ได้ หากเป็นตอนนั้นที่ท่านเต้าเฉินเพิ่งวางผนึกนี้ ข้าย่อมทำลายมันไม่ได้แน่ ทว่าตอนนี้…จิตวิญญาณของผนึกหายไปนานแล้ว จะเปิดก็ไม่ยาก! สวรรค์ปกป้องเจ้า ไฉนจะไม่ยินดี ดุจดั่งภูเขาและริมแม่น้ำ ประหนึ่งสายลมและเนินดิน ราวกับสุดเขตแห่งที่ราบลุ่ม ไฉนจึงต้องเพิ่มเติม…ดุจความนิรันดร์แห่งจันทรา ดุจการทะยานขึ้นของตะวัน ดุจอายุขัยแห่งภูเขาทางใต้ ไม่ยอมศิโรราบ ไม่ยอมสูญสิ้น ราวกับความงอกงามแห่งต้นสน…ไม่มีผู้ใดรับสืบทอด!
สวรรค์ปกปักเก้าเสมือน รวมเป็นสวรรค์บันดาล!”
ตี้เทียนทำสัญลักษณ์สองมือ ชั่วขณะที่กล่าวประโยคนี้ทีละคำก็เปลี่ยนสัญลักษณ์มืออย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกล่าวจบคำว่าเก้าเสมือน สัญลักษณ์มือก็จบลงแล้วผลักไปข้างหน้า ฉับพลันนั้นมวลอากาศตรงหน้าเขาก็ปรากฏเป็นอักษรคำว่าเสมือน (如) ขนาดยักษ์เก้าคำ
เสมือน!
คำว่า ‘เสมือน’ เก้าคำนี้มีกลิ่นอายโบราณ ทั้งยังมีความรู้สึกของสมัยบรรพกาล ในเวลาเดียวกับที่มันปรากฏขึ้น ร่างแยกตี้เทียนดูแก่ชราลงมาก เห็นได้ชัดว่าวิชาสวรรค์ปกปักเก้าเสมือนนี้ไม่ธรรมดา!
มิเช่นนั้นก่อนหน้านี้เขาคงไม่ยืมสายฟ้าเทพสวรรค์ลิขิตของซูหมิงมาทำลายผนึก ส่วนตอนนี้เขาจะเปิดมันด้วยตัวเอง
ครั้นตี้เทียนชี้นิ้วไป ทุกอย่างเกิดขึ้นปานสายฟ้าแลบ คำว่าเสมือนเก้าคำตรงเข้าไปหาซูหมิง ซูหมิงไม่หลบแต่นัยน์ตาเป็นประกาย ปล่อยให้ทั้งเก้าคำนั้นปะทะใส่ผนึกห้าเหลี่ยม
วินาทีที่คำว่าเสมือนเก้าคำประทับลง ม่านแสงนี้ไม่ขยับแสงวูบวาบอีก แต่หายไปด้วยความเร็วระดับสายตา
ส่วนสาเหตุที่มันหายไปนั้น ซูหมิงไม่เข้าใจ ทว่าเขารู้สึกถึงกลิ่นอายโชคชะตาจากคำว่าเสมือนเก้าคำนี้!
ทันทีที่ผนึกห้าเหลี่ยมหายไป ตี้เทียนก็เดินเข้ามา ส่วนซูหมิงเงยหน้าขึ้น มุมปากยังมีโลหิตแห้งกรังอยู่ แต่จริงๆ แล้วเขากำลังรอช่วงที่ม่านแสงหายไปอยู่พอดี!
แม้บอกว่าม่านแสงนี้ใช้ป้องกันได้ ทว่าสิ่งที่ซูหมิงต้องการคือไม่ใช่ป้องกัน แต่เป็น…การโจมตี!
ฉะนั้นเขาจึงปล่อยให้ตี้เทียนทำลายม่านแสง ตอนนี้หลังจากมันหายไป จังหวะที่ตี้เทียนเดินเข้ามาใกล้ ซูหมิงพลันเงยหน้าขึ้นแล้วอ้าปากร้องเสียงคำรามของเทพหมานรุ่นสองที่เขาสวมร่างอยู่ในตอนนี้!
เสียงคำรามแห่งเทพหมาน!