ตอนที่ 624 หุบเขาพันวารี
“ศิษย์สำนักฝ่ายใน ศิษย์สำนักฝ่ายนอก ผู้อาวุโสทุกท่าน วันนี้ยามรุ่งอรุณกำลังพลของสำนักวิญญาณอสูรห้าส่วนให้ตามข้าแซ่เซิน…เคลื่อนพลไปยังสำนักซ่อนมังกร!”
เซินตงกวาดสายตามองจากพื้น หยุดชะงักตรงหอซูหมิงครู่หนึ่งแล้วกล่าวเนิบช้า เสียงเขาดังกังวานทั้งสำนักอสูร ทำให้โลหิตในกายผู้ฟังทุกคนเดือดพล่านโดยไม่อาจควบคุมได้ กลิ่นอายจิตสังหารถูกกระตุ้น
“ใช้กฎแบบเดิม ของทุกชิ้นเจ็ดส่วนจะเป็นของผู้สังหาร ของที่แย่งชิงมาก็เช่นกัน!”
เสียงเซินตงดังอยู่นอกหอ เมื่อครู่ที่เขามองหอนี้ก็รู้สึกเหมือนสัมผัสกับสายตาซูหมิง ช่วงที่ซูหมิงหรี่ม่านตา อีกฝ่ายก็เบนสายตาไปแล้ว
‘เซินตง…’ ซูหมิงหรี่ตาลง เขาดูถูกอีกฝ่ายเกินไปหน่อย สายตาแวบนั้นบางทีอาจไม่พบตนจริงๆ แต่ก็ต้องมองเห็นเงื่อนงำอะไรบางอย่างแน่ ทว่าอีกฝ่ายทนมาถึงตอนนี้ แม้จะมีความสงสัยอยู่ แต่ถึงกระนั้นกลับไม่ได้ลงมือรุนแรงหรือตรวจสอบ ต่อให้เป็นสายตาของอีกฝ่าย ยามมองผ่านมาก็ไม่มีเจตนาร้าย
ซูหมิงไม่เคยสัมผัสกับเซินตงผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวิญญาณอสูรมาก่อน ทว่าจากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าคนผู้นี้มีความคิดลุ่มลึก ไม่ใช่คนธรรมดา
‘เป็นจุดสูงสุดของสำนักได้ ระดับพลังจะต้องถึงขั้นทรงอำนาจของเผ่าเซียน และก็ควรจะมีความคิดลุ่มลึกแบบนี้จริงๆ’ ซูหมิงหลับตา ตกเข้าสู่ห้วงการฝึกฝนต่อ
ขั้นพลังเขาในตอนนี้สู้กับเซินตงได้อย่างสูสี ฉะนั้นเขาจึงไม่สนว่าอีกฝ่ายจะมองเงื่อนงำออกหรือไม่ อย่างมาก…เขาก็ออกจากสำนักวิญญาณอสูรแล้วไปหาจุดนั่งฌานใหม่ แม้มันจะลำบากก็ตามที
ส่วนที่ว่าเซินตงจะเอาเรื่องนี้ไปรายงานสำนักเซียนอสูรหรือบอกกับจี๋อั้นผู้แข็งแกร่งลำดับหนึ่งแห่งสำนักอสูรหรือไม่นั้น ซูหมิงก็เตรียมตัวก่อนแล้ว ข้ามเรื่องโอกาสที่เซินตงจะรายงานเบื้องบนตอนที่ยังไม่ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนไปก่อน ต่อให้มันเกิดขึ้นจริงๆ ซูหมิงก็เชื่อมั่นว่าด้วยขั้นพลังของเขา หากจี๋อั้นจะสังหารตนคงไม่ใช่เรื่องง่าย!
โดยเฉพาะตอนนี้ที่อยู่ในช่วงเวลาสำคัญอย่างหอคอยรกร้างบูรพา!
‘ศัตรูของศัตรูกลายเป็นมิตรได้…’ ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉยและฝึกฝนต่อไป
ทั้งสำนักวิญญาณอสูร หลังจากเซินตงเอ่ยก็เริ่มส่งต่อกันเป็นระบบ คำสั่งส่งมาจากสำนักฝ่ายใน ศิษย์ฝ่ายในที่รับคำสั่งมาต่างพากันเดินออกจากเรือนของตนแล้วไปรวมพลกันตรงจุดนัดหมาย
ส่วนสำนักฝ่ายนอกก็เช่นกัน ถึงอย่างไรเผ่าหมานปรับสายเลือดส่วนใหญ่ก็อยู่สำนักฝ่ายนอก ยามนี้พวกเขารวมตัวกัน มีไม่น้อยเลยที่ได้รับคำสั่ง
กระทั่งซูหมิง ในยามค่ำคืนเป่าชิวกลับมาพร้อมกับยื่นแผ่นหยกให้เขา
“เฉียนเฉินฝ่ายทั่วไปส่งแผ่นหยกนี้มาให้คุณชาย นี่คือคำสั่งจากสำนักฝ่ายนอก…ยินดีด้วยคุณชาย ท่านถูกเรียกกลับสำนักฝ่ายนอกแล้ว” เป่าชิวยิ้มน้อยๆ
ซูหมิงลืมตาขึ้น สุดท้ายก็วางแผ่นหยกไว้ข้างๆ
“ดูแล้วครั้งนี้ข้าคงต้องออกไปข้างนอกพร้อมกับคุณชาย ข้าก็ได้รับคำสั่งเหมือนกัน ยามรุ่งอรุณของคืนวันนี้ให้ไปที่หุบเขาพันวารีเพื่อทำลายสำนักซ่อนมังกรสายาย่อยทางตะวันออกแผ่นดินรกร้างบูรพา”
“สำนักอสูรอื่นๆ ก็คงได้รับคำสั่งเช่นกัน ช่วงนี้จะต้องสังหารสำนักเซียนทางตะวันออกแดนรกร้างบูรพาให้สิ้น” ขณะเป่าชิวกล่าวก็นั่งลงตรงข้ามซูหมิง รวบเส้นผมพลางกล่าวเสียงเบา
“ศิษย์สำนักฝ่ายนอกส่วนใหญ่อ่อนแอ ทำลายสาขาย่อยสำนักซ่อนมังกรแล้วมันมีผลอย่างไร?” ซูหมิงขมวดคิ้ว
“เป็นโลหิตเซ่นไหว้ คุณชายเองก็เป็นเป้าหมายของโลหิตเซ่นไหว้เช่นกัน”
เป่าชิวกะพริบตายิ้มพลางเอ่ย นางรู้สึกว่ามันน่าสนุก ผู้แข็งแกร่งอย่างซูหมิงถูกศิษย์สำนักฝ่ายนอกมองว่าเป็นโลหิตเซ่นไหว้
“ทว่านี่นี่ก็เป็นเรื่องดี หากคุณชายมีเวลาก็ลองไปดูสักครั้ง สำนักซ่อนมังกรเชี่ยวชาญวิชาหลอมเม็ดยาและมีชื่อเสียงโด่งดังในแดนเซียน…อีกทั้งสำนักอสูรลงมือครั้งนี้ ส่วนแบ่งเจ็ดส่วนเป็นของแต่ละคน ข้าเองก็เหลือเม็ดยาน้อยมากแล้ว ช่วงนี้คงต้องใช้เพื่อเตรียมสงคราม
ด้วยขั้นพลังของคุณชาย คงจะกวาดสาขาย่อยสำนักซ่อนมังกรจนเรียบโดยไม่มีใครตรวจพบ…ถึงตอนนั้นอย่าลืมการปรนนิบัติที่ดีเสมอมาของเป่าชิวผู้นี้ด้วยนะเจ้าคะ ต้องแบ่งให้ข้าบ้างสักเล็กน้อย” เป่าชิวกะพริบตาปริบๆ รอยยิ้มหยาดเยิ้มเป็นอย่างยิ่ง นัยน์ตามีความเฝ้าปรารถนาวูบผ่าน และยังมีความตื่นเต้นเล็กน้อย
“อีกอย่างข้านำทางให้ได้ เมื่อก่อนข้าเคยไปเยือนสาขาย่อยของสำนักซ่อนมังกรมาก่อน…..” เป่าชิวกล่าวพลางเลียริมฝีปาก รูปลักษณ์นางเดิมทีงดงามอย่างยิ่ง ตอนนี้ทำท่าทางแบบนี้อีกจึงยิ่งน่าหลงใหลเข้าไปใหญ่
ซูหมิงตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วพยักหน้า
เม็ดยาเหล่านี้มีประโยชน์กับเขามาก ที่สำคัญกว่าคือในสาขาย่อยสำนักซ่อนมังกรอาจมีสมุนไพรอยู่บ้าง หากสะสมสมุนไพรได้มาก สำหรับซูหมิงแล้วภายภาคหน้าตอนที่เปิดมิติในเศษหินจะได้ลดความยุ่งยากในการหาวัตถุดิบไป ทว่าเรื่องเหล่านี้ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดคือตอนนี้ขั้นพลังเขาฟื้นกลับมาแปดส่วนกว่าแล้ว ใกล้จะถึงเก้าส่วน ข้ามผ่านขีดจำกัดในตอนนั้นไป เลยพอใช้วิชาลับในอภินิหารของหงหลัวได้อีกวิชาหนึ่ง
ดูดปราณปฐพี รวมเป็นวิญญาณ!
เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้จะดูดปราณปฐพี แต่เป็นชีพจรวิญญาณรวมกับพลังฟ้าดินเข้มข้น หลังจากกินไปแล้วขั้นพลังจะฟื้นฟูอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตาเดียว
เรื่องนี้เป็นเพราะสำนักวิญญาณอสูรคือที่พักชั่วคราวจึงไม่เหมาะจะใช้ที่นี่ ทว่าสาขาย่อยสำนักซ่อนมังกรคงจะมีชีพจรวิญญาณอยู่ ต่อให้มีไม่เยอะก็ส่งผลดีกับเขาอย่างมาก แต่เรื่องนี้มีข้อเสียอยู่ เพราะการฝืนกินแบบนี้จะค่อยๆ สูบกินไม่ทันจนเกิดเป็นภัยแฝง ภายภาคหน้าต้องปิดด่านนั่งฌานถึงจะเติมเต็มได้
ความจริงแล้วต่อให้ไม่มีเรื่องสำนักวิญญาณอสูรทำลายล้างสาขาย่อยสำนักซ่อนมังกร ซูหมิงก็คิดไว้แล้วว่าจะออกไปข้างนอกสักครั้ง เพื่อให้ขั้นพลังถึงจุดสูงสุดโดยไม่ต้องใช้เวลาครึ่งปี จากนั้นก็ทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมาน
สำหรับเขาแล้วนี่คือเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้
ยามรุ่งอรุณใกล้มาถึง ทั้งสำนักอสูรเงียบสงัด บนลานสำนักฝ่ายในมีศิษย์สำนักอสูรสามสิบกว่าคนมารอคอยอย่างเงียบๆ คนเหล่านี้คือกำลังสำคัญของสำนักวิญญาณอสูร ในนั้นมีชายร่างกำยำนามซานเหิ่นอยู่ด้วย
ไอหนาวเยือกวนเวียนอยู่บนลานสำนักฝ่ายใน ท้องฟ้ามืดมิด ค่ำคืนวันนี้ไม่มีดวงจันทร์
ทางสำนักฝ่ายนอกก็มีลานใหญ่เช่นกัน ยามนี้ด้านบนมีคนสองร้อยกว่าอยู่กันแน่นขนัด คนเหล่านี้แตกต่างกัน บ้างก็รออย่างเงียบๆ บ้างก็หวาดกลัวจนหน้าซีดขาว และยังมีบางคนเลือดร้อนมีสีหน้าพร้อมเข่นฆ่า อารมณ์เหล่านี้อยู่ในตัวคนที่ต่างกันไป
ซูหมิงยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง รูปลักษณ์ในตอนนี้ยังคงเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปี ใบหน้าขาวผ่องยิ่งนัก ดูแล้วให้ความรู้สึกบอบบาง
เขาไม่ได้อยู่คนเดียว ข้างกายยังมีเฉียนเฉินที่เพิ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนรอบๆ ด้วย เฉียนเฉินตัวสั่น มองซูหมิงด้วยสีหน้าประจบสอพลอ
“ผู้อาวุโสจะต้องช่วยข้า…..ขะ ข้าไม่อยากตายที่นั่น”
คำพูดทำนองนี้และยังมีคำประจบอีกมากดังมาจากปากเฉียนเฉินบ่อยครั้ง เขาไม่คิดเลยว่าตนจะได้รับคำสั่งให้ไปร่วมรบด้วย
ภายใต้ความหวาดกลัว เขาฝากความหวังไว้กับซูหมิง อีกทั้งยังใช้อำนาจของฝ่ายทั่วไปหลายปีของเขาโดยไม่รู้ตัว เลยได้รับการยืนยันว่าคนจำนวนมากในสำนักฝ่ายนอกจะคอยปกป้อง ทว่าเขาก็ยังไม่วางใจ จึงกลับมาหาซูหมิงที่นี่แล้วอ้อนวอนอีกครั้ง
ซูหมิงไม่กล่าวอะไร เขากำลังหลับตาเหมือนไม่ได้ยิน ผ่านไปไม่นาน ขณะเฉียนเฉินกำลังอ้อนวอนอยู่ ยามรุ่งอรุณก็มาถึง!
ทันใดนั้นโดยรอบพลันเงียบสงบ ควันดำบนยอดเขาสำนักวิญญาณอสูรหายไปไม่น้อย ขณะเดียวกันก็มีร่างเงาเก้าคนลอยออกมาจากยอดเขา คนนำหน้าสุดคือผู้อาวุโสสูงสุดเซินตง!
เป่าชิวก็อยู่ในเก้าคนนั้นด้วย!
จังหวะที่ซูหมิงลืมตามองฟ้าอย่างเรียบนิ่ง เซินตงก็กวาดสายตามองแผ่นดิน ตอนละสายตากลับก็เอ่ยมาประโยคหนึ่ง
“สำนักอสูรสังหาร…”
“ฆ่าให้เรียบ!” คนจำนวนมากจากสำนักฝ่ายในและฝ่ายนอกร้องตะโกนพร้อมกัน เสียงดังกึกก้องในยามค่ำคืนอันเงียบสงัด เสียงเข่นฆ่ามีจิตสังหารหนาแน่นและยังมีความบ้าคลั่ง
นี่ก็คือสำนักอสูร!
เซินตงขยับวูบไหวห้อเหยียดไปทางตะวันตก แปดคนด้านหลังก็ตามมาติดๆ จากนั้นบนลานสำนักฝ่ายในก็มีสายรุ้งยาวสามสิบกว่าเส้นบินขึ้นตามหลังแปดคนนั้นไปทางตะวันตก
ต่อมา ผู้อาวุโสแปดคนที่ยืนเงียบอยู่ตรงขอบลานมาโดยตลอดต่างยกสองมือขึ้นสะบัด พลันเกิดเสียงโครมครามดังลั่น ลานสำนักฝ่ายนอกนี้มีลักษณะเหมือนจานยักษ์ มันสั่นไหวแล้วพาคนหลายร้อยค่อยๆ ลอยขึ้น ก่อนบินตามหลังศิษย์ฝ่ายในสามสิบกว่าคนนั้นไป
สายลมบ้าคลั่งถาโถมใส่ร่างกาย ทำให้ในหลายร้อยคนที่อยู่บนของวิเศษคล้ายจานพลันมีคนล้มลง ต้องเกาะพื้นเอาไว้แน่น หากเกาะไว้ไม่อยู่ก็จะถูกสายลมคลั่งผลักออกจากของวิเศษไป
ดีที่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ครู่ต่อมาโดยรอบถึงปรากฏม่านแสงอบอุ่นขึ้น สายลมคลั่งค่อยๆ หายไป ทุกคนจึงถอนหายใจโล่งอก แต่ละคนมีหน้าซีดขาว กระทั่งผู้อ่อนแอบางคนแทบจะอาเจียนออกมา
เฉียนเฉินคือหนึ่งในนั้น เขาตัวสั่นเทิ้ม หน้าซีดขาวขณะบ่นพึมพำ เดิมทีซูหมิงไม่ควรได้ยิน ทว่าเฉียนเฉินอยู่ข้างๆ จึงได้ยินอยู่บ้าง
“เทพทุกองค์ พี่ชายพี่สาว ท่านอาท่านลุง ท่านพ่อท่านแม่…ขอให้ข้ารอดจากภัยพิบัติแสงโลหิตด้วยเถิด ขอให้ครั้งนี้ข้าได้สมบัติล้ำค่ามา ขอให้ครั้งนี้ข้าจับแม่นางน้อยได้ ขอให้ครั้งนี้ข้า…”
ซูหมิงหลับตา ไม่สนใจเฉียนเฉินที่พึมพำอยู่ตลอดทาง ราวครึ่งชั่วยามต่อมา ตรงหน้าบนฟ้ามืดก็ปรากฏหุบเขายักษ์แห่งหนึ่ง ด้านล่างหุบเขานี้มีแม่น้ำหลายสาย เสียงน้ำไหลแว่วเข้ามา แม่น้ำเหล่านี้มีหลายร้อยสายและยังไม่เชื่อมกันแม้แต่น้อย ต่างไหลไปพร้อมๆ กัน
ที่นี่ก็คือหุบเขาพันวารี
ซูหมิงลืมตามองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทว่านัยน์ตามีความเย็นชาวูบผ่าน
เขามองสองข้างของหุบเขาพันวารี มีสะพานแขวนอยู่สองสะพาน ยอดหุบเขานี้มีสิ่งก่อสร้างตระการตาจำนวนมาก ซึ่งเป็นแสงไฟระยิบระยับในค่ำคืนนี้
ฟ้ามืดไม่มีดวงจันทร์ นี่คือค่ำคืนแห่งการสังหารปล้นชิงและวางเพลิง!