Skip to content

สู่วิถีอสุรา 919

ตอนที่ 919 อำนาจสั่งการทำลายล้าง

“นี่มัน…” เก้าผู้เฒ่ายมโลกอึ้งงัน มองจุดที่มาของแสงขาวออกในทันที นั่นคือจุดที่นายน้อยของพวกเขาหายไป จึงเกิดการคาดเดาเล็กน้อย แม้พวกเขาจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็อดเกิดความคิดหนึ่งมิได้

หญิงแมวที่อยู่ข้างๆ ดวงตาหรี่ลง เพ่งมองไป

และยังมีสวี่ฮุ่ย นางตะลึงงันพลางขมวดคิ้วเช่นกัน นางไม่เชื่อว่าซูหมิงจะกลับมา ในมุมมองของนาง เต้าคงในตอนนี้ไม่รู้ว่าหนีไปไกลเพียงใดแล้ว

ทว่าเหตุการณ์ต่อมากลับทำให้ผู้ฝึกฌานที่นี่ทั้งหมดตื่นตกใจ

เพราะว่าในพริบตาที่เห็นแสงสีขาว ความบ้าคลั่งและดุร้ายทางสีหน้าของสัตว์คลื่นเสียงแสนกว่าตัวที่ล้อมพวกเขาอยู่พลันหายไป แล้วแทนที่ด้วยความหวาดกลัว อีกทั้งยังตัวสั่นเทา ถึงพวกมันยังร้องคำรามก้องอยู่ แต่ความรู้สึกของเสียงคำรามไม่ใช่ดุร้ายอีก แต่เป็น…ร้องโหยหวน

นั่นคือเสียงร้องโหยหวนของสัตว์คลื่นเสียงแสนกว่าตัว พวกมันตัวสั่นพลางกระจายออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ราวกับว่าจุดที่ส่องแสงสีขาวสว่างจ้ามีสิ่งน่าสะพรึงกลัวที่ไม่อาจบรรยายสำหรับพวกมันอยู่

สัตว์คลื่นเสียงสิบจั้งเป็นเช่นนี้ ส่วนขนาดร้อยจั้งก็เช่นเดียวกัน กระทั่งพันจั้งสี่ตัวยังตัวสั่นงันงก สีหน้าเผยความเหลือเชื่อ

โฮก!

เสียงคำรามสะท้านฟ้าดิน สะเทือนทั้งฟ้ากระจ่างดาว กระทั่งยังทำให้ผู้ฝึกฌานทั้งหมดรวมถึงสวี่ฮุ่ยกับเก้าผู้เฒ่ายมโลกใจสั่นสะท้านตาม ในความคิดพลันขาวโพลน นั่นคือเสียงคำรามของราชาสัตว์คลื่นเสียงขนาดหมื่นจั้งจากหินผุพังที่อยู่ไกลๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่มันคำราม อีกทั้งระหว่างนั้นยังยืนขึ้นจากหินผุพัง ความสูงหมื่นจั้งทำให้มันดูเหมือนกับเทพเจ้าที่ไร้พ่าย มากพอจะสร้างความตื่นกลัวกับทุกคน

ทว่าตอนนี้ มันกลับมีสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สัตว์คลื่นเสียงแสนกว่าตัวรอบๆ ต่างฝืนหยุดการกระจัดกระจายท่ามกลางเสียงคำรามจากราชาสัตว์คลื่นเสียงหมื่นจั้งของพวกมัน ร่างกายสั่นระริก ยืนอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว สายตามองแสงสีขาวที่สว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ

ภาพนี้ทำให้สวี่ฮุ่ยกับเก้าผู้เฒ่ายมโลกรวมถึงผู้ฝึกฌานทั้งหมดพากันตะลึงงัน ขณะที่พวกเขาประหลาดใจ ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง

การคาดเดาของเก้าผู้เฒ่ายมโลกที่ว่าแสงสีขาวคือซูหมิงก็หายไปในยามนี้ พวกเขามีการคาดเดาที่มากกว่าคือ ในแสงสีขาวนั้นมีสัตว์ร้ายที่แกร่งยิ่งกว่าสัตว์คลื่นเสียงมาเยือน!

ความขมขื่นพลันผุดขึ้นในใจทุกคน

ตอนนี้เอง ภายในแสงสีขาวที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ ปรากฏร่างมายาร่างหนึ่ง เค้าโครงร่างเงานั้นไม่ใช่สัตว์ร้าย….แต่เป็นคน!

ครั้นปรากฏเค้าโครงขึ้นแล้ว เสียงร้องโหยหวนพลันดังขึ้นจากรอบๆ นั่นคือเสียงร้องของสัตว์คลื่นเสียงแสนกว่าตัวที่เกิดจากความกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้ พวกขนาดร้อยจั้งยังดีหน่อย ทว่าขนาดสิบจั้ง กระทั่งตอนที่ร้องโหยหวนยังพากันหนีไปอย่างเร่งรีบราวกับคลุ้มคลั่ง

ตอนนี้เอง กลุ่มสัตว์คลื่นเสียงทั้งฟ้ากระจ่างดาวพลันเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่

โฮก!

สัตว์คลื่นเสียงขนาดหมื่นจั้งคำรามอีกครั้ง ทำให้เหล่าสัตว์ร้ายที่กำลังหนีไปหยุดนิ่ง ทว่าตอนนี้เอง มีเสียงหึเย็นชาแว่วมาจากในร่างเงามายาแสงสีขาว

เสียงเย็นชาดังก้อง เข้าถึงหูผู้ฝึกฌานไม่เป็นไร แต่เมื่อเข้าหูสัตว์คลื่นเสียงเหล่านั้นกลับเหมือนสายฟ้าสวรรค์ผ่าลงมา สัตว์คลื่นเสียงสิบจั้งต่างกรีดร้อง กระจายตัวกันไปรอบๆ อย่างไม่ลังเลโดยไม่สนใจคำสั่งราชาของพวกมันอีก

และเป็นยามนี้เอง ร่างในแสงสีขาวก็เดินออกมา สวมเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราทั้งตัว เส้นผมยาวพาดบ่า ใบหน้าหล่อเหลา ร่างสูงโปร่ง และยังมีรอยยิ้มเย็นชาบางๆ ตรงมุมปาก ทำให้ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายที่เข้มข้นออกมา

“นายน้อย!”

“เป็นนายน้อย นายน้อยกลับมาแล้ว!”

“คารวะนายน้อย!”

ทันทีที่ซูหมิงปรากฏตัว ผู้ฝึกฌานบนเรือรบสิบสามลำต่างตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมา คล้ายกับว่าตอนนี้ความเหนื่อยล้าของพวกเขาหายไปสิ้นในพริบตานี้ ท่ามกลางเสียงเอ่ยเคารพของผู้คน เก้าผู้เฒ่ายมโลกมองซูหมิงอย่างลึกล้ำพลางประสานมือคารวะ

พวกเขาไม่ถามว่าเหตุใดซูหมิงถึงกลับมา แต่พอได้เห็นนายน้อยของพวกเขาที่นี่อีกครั้ง จิตใจพวกเขาก็อดเกิดความเคารพขึ้นมามิได้

และยังมีหญิงแมวนางนั้นอีก นางตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น ดูสับสนเหมือนกับสวี่ฮุ่ยในตอนนี้ นางนึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะกลับมา

“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่ไป ต่อให้ไป ข้าก็จะพาพวกเจ้า…ไปด้วยกัน” ซูหมิงเอ่ยเรียบๆ เขาหันหน้าไปมองสัตว์คลื่นเสียงแสนกว่าตัวที่กำลังร้องโหยหวนขณะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่

ในแววตาเขาแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม ผู้ฝึกฌานรู้สึกไม่มาก แต่สำหรับสัตว์คลื่นเสียงแสนกว่าตัวนั้น พอเห็นร่างซูหมิงและถูกอีกฝ่ายกวาดตามองแล้ว ก็ต่างกรีดร้องดังยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังยิ่งแตกรังกันไปรอบๆ อย่างเร็วไว

ประหนึ่งว่าซูหมิงคือต้นเหตุที่ทำให้พวกมันหวาดกลัว ราวกับซูหมิงคือความน่ากลัวที่ไม่มีสิ้นสุดต่อพวกมัน ทุกอย่างนี้…ผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมไม่รู้เหตุผล แต่ซูหมิงรู้

เขาสังหารสัตว์คลื่นเสียงมาหลายแสนตัวแล้ว ในตัวเขาย่อมมีกลิ่นอายพลังที่มีเพียงสัตว์คลื่นเสียงเท่านั้นถึงจะสัมผัสได้อยู่โดยธรรมชาติ ซึ่งก็คือกลิ่นอายชั่วร้ายที่จะทำให้พวกมันตื่นกลัวจนตัวสั่น

และเหตุที่สายตาของเขาทำให้พวกมันหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมได้ ก็เป็นเพราะสัตว์คลื่นเสียงทุกตัวที่ถูกเขามองมีสติปัญญาไม่สูง จึงเกิดภาพหลอนว่าถูกแยกร่างออก เหมือนกับว่าโครงสร้างทุกอย่างของร่างกาย จำนวนเลือดเนื้อ โครงกระดูก การตัดสลับของเส้นลมปราณ สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกอีกฝ่ายมองทะลุปรุโปร่งในพริบตา

ถึงกระทั่งเกิดภาพหลอนว่าจุดที่ซูหมิงมองเป็นจุดที่พวกมันเคยบาดเจ็บ หรือจุดที่อ่อนแอที่สุดบนร่างกาย

ความรู้สึกเช่นนี้ประกอบกับกลิ่นอายที่ชั่วร้ายมหาศาลสำหรับพวกมัน และความน่าเกรงขามสุดจะบรรยาย จึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกมันเสียสติ!

มันก็เหมือนกับคนฆ่าสุนัขในโลกมนุษย์ หากชีวิตนี้สังหารสุนัขไปหลายร้อยตัว ก็จะมีกลิ่นอายชั่วร้ายที่ทำให้สุนัขตัวสั่นงันงกได้

เหมือนกับการสังหารคน หากสังหารหลายพันคนด้วยมือตัวเอง เช่นนั้นก็จะก่อเป็นกลิ่นอายสังหารในตัว เพียงแค่สายตาเดียวก็ทำให้คนธรรมดารู้สึกได้โดยง่าย สาเหตุมาจากไหวพริบปัญญา

และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหากสังหารหลายแสนคน ความรู้สึกจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม สำหรับสัตว์ร้ายที่มีไหวพริบปัญญาสูงยิ่งอย่างสัตว์คลื่นเสียงแล้ว พวกมันย่อมรู้สึกชัดเจนกว่า

ภาพนี้อยู่เหนือความคาดหมายของผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมทั้งหมด และยังทำให้สวี่ฮุ่ยสูดลมหายใจเข้า ในสายตาที่มองซูหมิงมีความรู้สึกลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

นางไม่รู้ว่าซูหมิงหายไปแล้วไปเจอกับอะไรมากันแน่ เหตุใดถึงกลับมา เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ทำให้สัตว์คลื่นเสียงพวกนี้โกลาหลแล้ว

คนที่เกิดความสงสัยเช่นเดียวกันยังมีเก้าผู้เฒ่ายมโลก

ยามนี้เอง เสียงคำรามสั่นสะเทือนฟ้าดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม นั่นคือราชาสัตว์คลื่นเสียงตัวหมื่นจั้ง มันยืนอยู่บนหินผุพังและคำรามใส่ซูหมิง สีหน้าของมันจริงจัง นัยน์ตามีประกายวาววับ เสียงคำรามดุจดั่งคลื่นเสียงกังวานไปรอบๆ

นี่คือการท้ารบ เป็นการท้ารบของราชาสัตว์คลื่นเสียง!

อีกทั้งขณะมันร้องคำราม สัตว์คลื่นเสียงสิบจั้งเหล่านั้นต่างตัวสั่น แม้ยังคงถอยไป ทว่าสัตว์คลื่นเสียงตัวร้อยจั้งไปจนถึงพันจั้งกลับกัดฟันแน่น ฝืนต้านกลิ่นอายพลังจากตัวซูหมิงที่ทำให้พวกมันตัวสั่นเอาไว้ ไม่อยากเชื่อว่า…พวกมันจะไม่ถอยอีก แต่ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ซูหมิง

ส่วนสัตว์คลื่นเสียงแปดพันจั้งสี่ตัวดวงตาแดงก่ำกว่าเดิม พวกมันร้องคำรามพร้อมกับตรงไปหาซูหมิง

เวลานี้ สัตว์คลื่นเสียงหลายพันตัวพุ่งไปหาซูหมิง ในนั้นไม่มีตัวใดขนาดต่ำกว่าร้อยจั้งเลย

ซูหมิงยิ้มเยาะ แทบเป็นช่วงที่พวกมันตรงเข้ามา เขาเดินหน้าหนึ่งก้าว ชื่อหั่วโหวใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตา ร่างซูหมิงจึงหายวับไป แล้วมาปรากฏตัวอีกทีอยู่ข้างสัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งตัวหนึ่ง

สัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งตัวนี้สั่นเทา ยังไม่ทันได้ทำอะไร ซูหมิงก็ยกมือขวาขึ้นกดตรงหน้าอกมันอย่างชำนาญยิ่ง นิ้วมือลากผ่านบนตัวมันเส้นหนึ่งอย่างอิสระ พริบตาเดียวก็วนรอบมันหนึ่งรอบ

จากนั้นเขาไม่มองอีก แต่เดินไปยังสัตว์คลื่นเสียงอีกตัว

สัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งด้านหลังเขาตัวสั่นสะท้าน ตอนที่ก้มหน้าลง ตรงมุมปากมันมีโลหิตไหล ร่างกายพลันอ่อนยวบ ตรงจุดที่ซูหมิงกดนิ้วคือบาดแผลเก่าจากสงครามในอดีต เส้นยาวที่ลากครบหนึ่งรอบนั้นก็ปิดเส้นชีพจนในร่างเส้นหนึ่ง ทำให้การไหลเวียนโลหิตหยุดนิ่ง ในชั่วเวลาเดียวกันก็เป็นการกระตุ้นบาดแผลเก่าในอดีตนั้น พริบตาเดียวหัวใจมันก็หยุดเต้น ร่างดิ่งลงและสิ้นชีพไป

ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างมองเขม็ง

หนึ่งตัว สองตัว สามตัว…

ร่างซูหมิงแล่นผ่านไป จุดที่ผ่าน สัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งเหล่านั้นต่างไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย กระทั่งซูหมิงยังไม่ได้ใช้พลังอะไรมากนักกับพวกมัน เขาเพียงเข้าใจโครงสร้างร่างกายของสัตว์คลื่นเสียงอย่างแท้จริง มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าจุดตายของอีกฝ่ายอยู่ที่ใด

หลังจากซูหมิงเดินหน้าไป สัตว์คลื่นเสียงก็ตายตกไปมากขึ้นทุกที ท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังขึ้นเรื่อยๆ สัตว์คลื่นเสียงพันจั้งพุ่งตรงเข้ามาล้อมซูหมิง จากจำนวนหลายพันก็มากขึ้นเรื่อยๆ

‘ยังไม่พอ…’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เขาต้องรวมสัตว์คลื่นเสียงมากกว่านี้อีกเล็กน้อย จึงขยับวูบไหวตรงไปหาสัตว์คลื่นเสียงตัวสิบกว่าจั้งเหล่านั้น

ตอนนี้เอง ราชาสัตว์คลื่นเสียงหมื่นจั้งคำรามดังกึกก้องเป็นครั้งที่สี่ ในเสียงคำรามครั้งนี้มีเจตจำนงส่งออกมา ทำให้สัตว์คลื่นเสียงสิบกว่าจั้งเหล่านั้นล้วนตัวสั่นและบ้าคลั่ง ราวกับว่าพอถูกบีบให้ถอยไปแล้ว พวกมันก็ไม่ถอยอีก แต่พุ่งตรงไปหาซูหมิงแทนเหมือนกับคลุ้มคลั่ง

ดูแล้วเหมือนซูหมิงอยู่ในอันตราย ถูกโอบล้อมหลายชั้น แต่ทุกอย่างนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องการพอดี เสียงคำรามของสัตว์คลื่นเสียงหมื่นจั้งช่วยเขาได้มาก

กระทั่งสัตว์คลื่นเสียงหมื่นจั้งตัวนั้นยังออกจากหินผุพังมาเป็นครั้งแรกพลางส่งเสียงร้องคำราม ร่างใหญ่ยักษ์เดินหนึ่งก้าวกลางฟ้ากระจ่างดาว แล้วพลันมาอยู่รอบนอกตัวซูหมิง เข้ารวมกับกลุ่มสัตว์คลื่นเสียง เห็นได้ชัดว่าการกลับมาของเขาไม่เพียงแต่ทำให้สัตว์คลื่นเสียงธรรมดาหวาดกลัว แต่ยังทำให้ราชาสัตว์คลื่นเสียงรู้สึกถึงแรงกดดันด้วย

กำลังรบแกร่งเทียบเท่าขั้นภัยพิบัติตะวัน ทำให้ช่วงที่ราชาสัตว์คลื่นเสียงปรากฏตัว ก็เกิดเสียงโครมครามกลางฟ้ากระจ่างดาว ระลอกคลื่นกระจายไปโดยรอบ พลังสูงสุดกดทับลงมา หมายจะบดขยี้ซูหมิง!

ซูหมิงหัวเราะ

เขาหมุนตัวกลับไปมองสัตว์คลื่นเสียงตัวหมื่นจั้ง ยกมือซ้ายคว้าไปทางซ้าย สัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งตัวหนึ่งถูกบีบคอเอาไว้โดยพลัน ถึงร่างกายเขาจะเล็กมากเมื่อเทียบกับมัน แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ขณะถูกบีบคอปากใหญ่ของมันอ้าออกโดยไม่รู้ตัว

รอยยิ้มซูหมิงเย็นเยือก แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย เขาเขย่ามือขวา มีเม็ดยาเม็ดหนึ่งโผล่ขึ้นในมือ จากนั้นก็กดเข้าไปในปากสัตว์คลื่นเสียงตัวร้อยจั้ง!

เม็ดยานั้นเขาใช้เวลาไปไม่รู้เท่าไรในการทดลองส่วนประกอบยามาแปดหมื่นกว่าครั้ง ใช้สัตว์คลื่นเสียงหลายแสนตัวทดลองจนออกมาเป็น…เม็ดยาคลื่นเสียงครวญ….ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!