Skip to content

สู่วิถีอสุรา 965

ตอนที่ 965 หญิงแมงป่องสวี่ฮุ่ย

ฟ้ากระจ่างดาวในยามนี้เงียบกริบ ซูหมิงมองผู้ฝึกฌานสี่คนนั้น ผู้ฝึกฌานก็มองพวกเขาเช่นกัน ไม่มีใครกล่าวอะไร ผ่านไปพักหนึ่ง สวี่ฮุ่ยก็กระแอมไอทำลายความเงียบลง ทำให้ผู้ฝึกฌานสี่คนนั้นตื่นจากอาการตะลึงค้าง

เหตุที่พวกเขาตะลึงค้างไม่ใช่เพราะการมาของซูหมิง ถึงอย่างไรในขอบเขตจิตสำนึกหรือกระทั่งในใจก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่ที่พวกเขาตกตะลึงเป็นเพราะกระเรียนขนร่วงต่างหาก

นั่นคือสัตว์ที่ทำให้พวกเขาเลื่อมใสในก่อนหน้านี้ และต่างเฝ้าใฝ่ฝันว่าภายภาคหน้าเมื่อขั้นพลังสูงขึ้นจะกำราบมาเป็นสัตว์ของตัวเอง ไม่อยากเชื่อว่า…มันจะมีเจ้านายแล้ว พวกมันไม่รู้ขั้นพลังของกระเรียนขนร่วงโดยละเอียด แม้ตอนนี้ใช้ตาเปล่ามองไปและใช้จิตสัมผัสก็ยังไม่รู้สึกถึงความแกร่งมาก ทว่าโลกนี้มีเรื่องการอำพรางและผนึกอยู่ พวกเขาจึงเชื่อว่ากระเรียนตัวนั้นที่ล่อฝูงสัตว์ร้ายล้านตัวในตอนแรกไม่ธรรมดา

เวลานี้ขณะจิตใจสั่นสะท้าน เสียงกระแอมของสวี่ฮุ่ยดังก้อง ผู้ฝึกฌานสี่คนจึงถอยไปอย่างร้อนรนโดยจิตใต้สำนึก ผู้ฝึกฌานนามเสวียนซางเพียงถอยไปสามก้าวก็บังคับหยุดตัวเอง เขารู้ว่าหนีไม่รอดแน่ แม้แต่ความคิดลงมือยังไม่เกิดขึ้น ต่อให้พวกเขาสี่คนต่างมีอาวุธสังหาร ทว่า…เพียงแค่ซูหมิงก็ทำให้พวกเขามลายหายไปสิ้นได้แล้ว จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีกระเรียนขนร่วงเพิ่มมาอีกเลย

กระทั่งสตรีข้างกายซูหมิง ใบหน้ารอยยิ้มหยีตานั้นมอบความรู้สึกขนหัวลุกแก่เขา

ผู้ฝึกฌานสี่คนนี้ คนที่ฉลาดไม่ได้มีเพียงเสวียนซาง แต่ยังมีคนนามหวาอวี้ หลังจากเขาถอยไปสิบกว่าจั้งแล้วก็พลันได้สติกลับมา เขาเห็นพวกซูหมิงไม่ไล่ตามมาเลย จึงหยุดด้วยความกังวล แล้วประสานมือคารวะพวกซูหมิง

ส่วนอวิ๋นโหยวเหนียนอิ๋นสองคนนี้ เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกช้าไปหน่อย ยามนี้หนีไปร้อยจั้งแล้ว ขณะกำลังใช้โลหิตล่องหนหนีไป พลันเกิดระลอกคลื่นขยับวูบวาบตรงหน้าพวกเขา จากนั้นสวี่ฮุ่ยก็เดินออกมา

นางยังคงยิ้มตาหยี แต่นัยน์ตากลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย นางโกรธอยู่เล็กน้อยแล้ว เพราะการหนีของสี่คนนี้ก็เกิดขึ้นหลังจากนางกระแอมไอ

“เหตุใดเห็นข้าแล้วต้องหนี” ขณะเดียวกับที่สวี่ฮุ่ยก้าวเดิน นางยกมือขวาสะบัดไปข้างหน้า ปรากฏเงาดวงจันทร์ดวงหนึ่งตรงหน้านาง รูปลักษณ์นี้ทำให้อวิ๋นโหยวกับเหนียนอิ๋นหน้าเปลี่ยนสีในทันใด

“ภัยพิบัติจันทรา!”

สองคนขยับวูบไหว ต่างฝ่ายต่างแยกกันด้วยความเร็วรี่ มุ่งหน้าไปยังสองทิศทางที่ต่างกัน แต่ผู้ฝึกฌานนามอวิ๋นโหยวสังเกตแล้วเห็นว่ามีสหายสองคนเลิกคิดหนี เขาจึงยิ้มเฝื่อนพลางหยุดลง

มีเพียงเหนียนอิ๋นที่ก้มหน้าใช้ความเร็วสูงสุด ทั้งยังพ่นโลหิตกลายเป็นโลหิตล่องหน ความเร็วพลันปะทุขึ้น แต่ยังไม่ทันหนีไปไกลถึงพันจั้ง ตัวเขาก็โผล่ออกมาจากในเงาโลหิต ร้องโหยหวนและกระอักเลือดอีกครั้ง ที่น่าแปลกคือรอบตัวเขาไม่มีความผิดปกติใดๆ แต่ร่างกลับกระเด็นถอย เหมือนกับชนกับปราการไร้รูปแล้วถูกดีดกลับ

อีกทั้งตอนที่กระเด็นมา เส้นผมเขายังถูกมือไร้รูปคว้าเอาไว้ ก่อนจะกระชากกลับมาด้วยความเร็ว

จนกระทั่งมาถึงตรงหน้าสัตว์อากาศธาตุที่ซูหมิงอยู่ ผู้ฝึกฌานนามเหนียนอิ๋นก็ถูกโยนเข้าไปในนั้น เส้นผมเขาหลุดร่วงไปมากกว่าครึ่ง โลหิตไหลอาบลงมาตามแก้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเหลือเชื่อ สายตามองสวี่ฮุ่ยที่เดินออกมาจากมวลอากาศตาเขม็ง

“หนีสิ เหตุใดถึงไม่หนี?” สวี่ฮุ่ยพูดพลางยิ้มตาหยี นางยกมือขวาชี้ผ่านอากาศไปยังเหนียนอิ๋น ระหว่างที่ชี้ไปยังมีหมอกสีแดงและขาววนเวียน ตอนที่มันสัมผัสกับตัวเหนียนอิ๋น หมอกแดงก็หลั่งทะลักเข้าไปในอกเขา ส่วนหมอกขาวหายเข้าไปในลำคอและร่างกายส่วนล่าง

ขณะที่ผู้ฝึกฌานสามคนที่เหลือหน้าเปลี่ยนสีจนถึงขั้นร้องออกมาด้วยความตกใจและหวาดกลัว พวกเขาเห็นว่าตรงหน้าอกผู้ฝึกฌานนามเหนียนอิ๋น…ปูดนูนขึ้นมา!

ลูกกระเดือกหดเล็กลงโดยเห็นด้วยตาเปล่า จนกระทั่งหายไป ผิวหนังหยาบกร้านกลายเป็นขาวใสในพริบตา โดยเฉพาะนิ้วชี้มือสองข้างยังเกลี้ยงเกลา อาการผิดปกติทุกอย่างนี้อธิบายได้ว่า…เขาถูกสลับหยินหยางในร่างกาย จากบุรุษเพศกลายเป็น….สตรีเพศ!

เหนียนอิ๋นอึ้งงันไปครู่หนึ่งแล้วก็ร้องเสียงเล็ก แม้แต่เสียงร้องยังแหลม ไม่ใช่เสียงต่ำแบบบุรุษอีก แต่กลายเป็นอ่อนนุ่มอย่างสตรี

โดยเฉพาะส่วนสะโพก ตอนนี้ขยายใหญ่ขึ้นรอบหนึ่ง กระทั่งร่างกายยังมีส่วนเว้าโค้ง ทุกอย่างนี้สร้างความตกตะลึงและตื่นกลัวแก่ผู้ฝึกฌานที่เหลืออยู่อีกสามคนจนสุดบรรยาย ต่อให้เป็นซูหมิงก็ยังหนังตากระตุก หัวใจเต้นระรัว ตอนที่มองสวี่ฮุ่ย นัยน์ตามีความตื่นตัวเพิ่มมาเล็กน้อย

กระเรียนขนร่วงเบิกตากว้าง ภาพนี้ทำให้มันตัวสั่น และยังมีมังกรยมโลกข้างๆ มันถอยไปโดยไม่รู้ตัว สายตาที่มองสวี่ฮุ่ยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ผู้ฝึกฌานสังหารได้แต่ดูถูกมิได้!” เหนียนอิ๋นมีสีหน้าขมขื่น การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของร่างกายชัดเจนที่สุด ตอนนี้ความซับซ้อนในใจไม่อาจบรรยายแล้ว อีกทั้งยังมีความโกรธอยู่ในใจ เขาจึงตะโกนเสียงดังไปทางสวี่ฮุ่ย

ซูหมิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน เขาสามารถสังหารคนหนึ่งอย่างไม่ลังเล แต่ว่า…หากไปดูถูกกันแบบนี้ เขาทำไม่ได้ ขณะกำลังจะกล่าวนั้น ผู้ฝึกฌานที่ถูกเปลี่ยนร่างก็ตะโกนขึ้นอีกครั้ง

“ข้ากับพวกเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน เพียงแค่เจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น พวกเจ้าทำแบบนี้ ไม่กลัวสวรรค์ประฌาม ไม่กลัวกรรมตามสนองรึ! เข้ามา จะฆ่าก็ฆ่าเลย!”

สวี่ฮุ่ยหัวเราะเบาๆ

“พูดเหมือนมีเหตุผลมาก ตอนสามีข้าเจอกับพวกเจ้าครั้งแรกก็ยังไม่ทำอะไรพวกเจ้าแม้แต่น้อย พวกเจ้ามีความลับอยู่จะหนีไปก็เป็นเรื่องปกติ แต่ที่หนีไม่รอดก็เพราะความสามารถไม่ถึง พอถูกตามทัน สามีข้าก็ไม่คิดจะลงโทษพวกเจ้ามากเกินไปด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากถามความจริงเล็กน้อยเท่านั้น หากพวกเจ้าตรงไปตรงมาก็ไม่มีปัญหา ด้วยความเข้าใจของข้าต่อเขา พวกเจ้าแบ่งงานให้เขาช่วยได้อยู่แล้ว

อีกอย่างในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตนี้ ด้วยขั้นพลังของพวกเจ้า หากคิดจะค้นหาความลับอะไรที่นี่ย่อมไม่เพียงพอ หากให้สามีข้าเข้าร่วมด้วย จะทำให้โอกาสสำเร็จของพวกเจ้าเพิ่มขึ้นหลายเท่า มีตรงไหนไม่ดีกัน?

แต่ข้าเพียงแค่กระแอมไอ พวกเจ้ากลับหนีไป พอหนีไม่รอดก็ยังมาโกรธแค้น” สวี่ฮุ่ยยิ้มพลางเอ่ยขึ้น

พวกเสวียนซางสามคนเงียบงัน ต่างมีสีหน้าตรึกตรอง พวกเขาฟังจากคำพูดสวี่ฮุ่ยแล้วไม่มีการวางอำนาจบาตรใหญ่ใดๆ ความจริงก็เป็นเช่นนี้จริงๆ จึงทำให้สามคนอดใคร่ครวญมิได้

ทว่าเหนียนอิ๋นที่ถูกเปลี่ยนร่างกายตอนนี้จิตใจปั่นป่วนจึงไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เขาแค่นเสียงเยาะหยันทีหนึ่ง ทว่าเสียงเยาะหยันเพิ่งแว่วออกไป ประโยคต่อไปของสวี่ฮุ่ยก็ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีทั้งหมด

“วิชาที่เจ้าฝึกฝนในร่างกายน่าจะเป็นวิชายอดวงปี จุดนี้ข้าสังเกตเห็นก่อนแล้ว ดังนั้นเจ้าแซ่เหนียนคงมาจากโลกแท้จริงดาราสัจธรรม

ให้ข้าคิดๆ ดู ตระกูลเหนียนหวาในโลกแท้จริงดาราสัจธรรมสร้างโดยสำนักหนึ่งที่แยกออกมาจากเผ่าเซียนในอดีต เมื่อสามพันกว่าปีก่อน มีคนในตระกูลผู้หนึ่งสังหารคนในตระกูลด้วยกัน จึงถูกจับลงโทษ ทำลายขั้นพลังแล้วส่งมายังแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต คนผู้นี้ก็คือเจ้า

ทว่าขั้นพลังเจ้ายังอยู่ ดูท่าการเดินทางของพวกเจ้าครั้งนี้คงจะมีตระกูลหวาเหนียนอยู่เบื้องหลัง”

“เจ้าเป็นใคร!” ช่วงที่เหนียนอิ๋นหน้าเปลี่ยนสี พวกเสวียนซางสามคนหรี่ตาลง สายตามองสวี่ฮุ่ยพร้อมกัน

“ข้า? ข้าคือสวี่ฮุ่ย มาจากสำนักหงส์” สวี่ฮุ่ยยิ้มน้อยๆ แล้วมองซูหมิงที่ขมวดคิ้วและเผยความไม่พอใจเล็กน้อยอย่างชัดเจน

“สำนักหงส์! สวี่ฮุ่ย…เจ้าคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักหงส์!” เหนียนอิ๋นตะลึงงัน ความโกรธพลันหายวับไป ตัวเขาห่อเหี่ยวทันใด ล้มเลิกการต่อต้านทุกอย่างด้วยความขมขื่น กระทั่งมีสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัวต่อคำว่าสำนักหงส์

“ไม่ผิด เป็นสำนักหงส์ที่ถูกผู้ฝึกฌานทุกคนขนานนามกันอย่างลับๆ ว่าเป็นเงามืดแห่งโลกแท้จริงดาราสัจธรรม และข้า…ก็เป็นหนึ่งในสองสตรีที่ส่วนลึกในใจพวกเจ้าอุปมาว่าเป็นแมงป่อง หญิงแมงป่องสวี่ฮุ่ย” สวี่ฮุ่ยกล่าวพลางยิ้มหยีตา เรื่องเหล่านี้ ซูหมิงก็เพิ่งเคยรู้เป็นครั้งแรก พอได้ยินแล้วก็นิ่งอึ้งไป ต่อให้เป็นในความทรงจำเต้าคงก็ไม่มีเรื่องนี้อยู่ บางทีอาจเกี่ยวข้องกับฐานะและประสบการณ์ของเต้าคง

กระทั่งซูหมิงเองยังสงสัยเล็กน้อยมาตลอดว่าเหตุใดความทรงจำของเต้าคงถึงน้อยมาก เป็นที่รู้กันว่ายิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความทรงจำมากเท่าไร การยึดร่างก็จะยากขึ้นเท่านั้น แต่ความทรงจำของเต้าคงมีเพียงพื้นฐานเท่านั้น

หญิงแม่งป่องสวี่ฮุ่ย นี่คือคำอุปมาลับๆ ของผู้ฝึกฌานในโลกแท้จริงดาราสัจธรรมที่ใช้เรียกสตรีศักดิ์สิทธ์สองคนแห่งสำนักหงส์ จากคำอุปมานี้จะเห็นได้ว่าที่สำนักหงส์ถูกเรียกเป็นการเฉพาะว่าเป็นสำนักเงามืด ย่อมมีเหตุผลอยู่

ซูหมิงเงียบ เขาพลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสวี่ฮุ่ยถึงไม่เกรงกลัวอะไร มีนามเลื่องลือแบบนี้มาถึงข้างนอก แน่นอนว่าจะต้องเกี่ยวกับการกระทำของนางในโลกแท้จริง ดาราสัจธรรมแน่นอน

แมงป่องเป็นสัตว์มีพิษ ทว่าพิษไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่อยู่ที่กรงเล็บ แต่อยู่ที่หาง มันรวดเร็วมาก มีขนาดเล็กมาก นั่นหมายความว่าไม่เป็นที่สนใจของคนอื่นมากนัก แต่ในเวลาสำคัญ หากไม่ระวังก็จะถูกพิษสังหาร นี่ต่างหากคือความน่ากลัวของแมงป่อง

แต่อสรพิษเชี่ยวชาญการซ่อนตัว ชำนาญในการรอ เวลาปกติจะซ่อนเขี้ยวพิษไว้ในปากไม่เผยออกมาง่ายๆ และยังไม่เคลื่อนไหว แต่หากเคลื่อนไหวก็ต้องสังหาร การเปรียบเปรยแบบนี้เชื่อมโยงไปถึงรักแรกอันขมขื่นในความทรงจำซูหมิง ทำให้เขานึกถึงสตรีอีกคน

เขารู้นานแล้วว่าสำนักหงส์มีสตรีศักดิ์สิทธิ์สองคน หนึ่งคือสวี่ฮุ่ย และอีกคนก็คือ…หญิงอสรพิษไป๋หลิง เรื่องนี้มีอยู่ในความทรงจำเต้าคง

กระทั่งเขายังเข้าใจว่านามของตนมีโอกาสสูงมากที่สวี่ฮุ่ยจะรู้อยู่ก่อนนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไป๋หลิงบอกด้วยตัวเองหรือนางแอบตรวจสอบเอง แต่ที่แน่ๆ มีโอกาสสูงมากที่นางจะรู้จักตน

ดังนั้นบนยอดเขาลำดับเก้าในเผ่าลำดับเก้า สวี่ฮุ่ยถึงบอกได้ว่าตนกำลังคิดถึงสตรีคนหนึ่ง และหลังจากประโยคนั้น เขาถึงได้เข้าสู่ความฝันซึ่งจะไม่เกิดขึ้นกับผู้ฝึกฌาน

และเป็นครั้งนั้นที่เขาได้รู้ว่าสิ่งที่ตนยึดมั่นคือตัวเองในสัญญา ไม่ใช่ไป๋หลิง จึงได้ตัดปมหัวใจครั้งนั้นทิ้งไป แล้วเดินผ่านจิตใจเปลี่ยนครั้งนั้นมา

ทุกอย่างนี้ หากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญซูหมิงคงไม่เชื่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าการกระทำของสวี่ฮุ่ยมีเจตนาดีเป็นส่วนมาก ดังนั้นซูหมิงจึงเคยไม่คิดจะเปิดโปง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!