ตอนที่ 101-3
หอสรรพสิ่งผู้ฉลาดแกมโกง
เมื่อมู่ชิงเกอเสร็จจากการปรุงยาและออกจากช่องว่าง ท้องฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้นแล้ว
การปรุงยาในครั้งนี้ ใช้เวลาทั้งหมด 1 คืนและอีก 1 วัน
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้หอสรรพสิ่งมีงานประมูล มู่ชิงเกอจึงเรียกโย่วเหอและฮวาเยวี่ยเข้ามาปรนนิบัตินาง ล้างหน้าล้างตา ใช่ นางต้องการการพักผ่อน
ขั้นตอนในการจะรับพญาเพลิงเข้าสู่ร่างกาย เพื่อกระตุ้นสายโลหิตนั้น อันตรายเป็นอย่างมาก จึงต้องเตรียมยาเอาไว้เพื่อช่วยชีวิตในยามฉุกเฉิน สำหรับเรื่องนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้เป็นกังวลมากนัก เพราะหลังจากที่นางทดลองซํ้าหลายรอบและนางรับรู้ว่าร่างกายหลังได้ รับการเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอนั้นมีพลังการฟื้นตัวได้อย่าง น่ากลัวและน่าทึ่งเพียงใด
แต่ทว่า ยังมีของลํ้าค่าอีกชิ้น ที่นางจะต้องตระเตรียมเอาไว้ก่อนที่จะพบพญาเพลิง
นั้นก็คือ ของเหลวเย็นที่สามารถป้องกัน วิญญาณไม่ให้ถูกพญาเพลิงทำลาย ว่ากันว่า ของเหลวเย็นที่ว่านี้หายากมาก เพราะมันมาจากถํ้าน้ำแข็งที่อยู่บนภูเขาน้ำแข็ง อีกทั้งยังเป็นส่วนที่ทรงพลังมากที่สุดในหินย้อย ใช้เพียงแค่หยดเดียว ก็สามารถกอบกู้พลังของดวงวิญญาณได้
สมบัติอันลํ้าค่าที่เพียงรู้จักแต่ไม่สามารถครอบครองได้นี้ จะไปหาได้จากที่ไหนกัน
การตามหาของเหลวเย็น เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นางรับคำเชิญร่วมงานประมูลของหอสรรพสิ่ง
เมื่อวานที่หอสรรพสิ่ง ตอนแรกนางคิดว่า หลังจากที่ได้ข้อมูลของพญาเพลิงแล้ว นางจะถามเบาะแสเกี่ยวกับของเหลวเย็น แต่ไม่คิดว่าตานเฉินจื่อจะยื่นบัตรเชิญร่วมงานประมูลให้กับนาง
เพราะฉะนั้น นางจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องของ ของเหลวเย็น แต่อยากจะลองเสี่ยงดวงในงานประมูล ว่าจะได้เบาะแสเกี่ยวกับของเหลวเย็นหรือไม่ หากไม่มีค่อยปรึกษาหอสรรพสิ่งหลังจากจบงานประมูล
มู่ชิงเกอหลับไปจนกระทงพลบค่ำ
สองพี่น้องตระกูลเว่ยตามนางไปรับประทานอาหารคํ่า นางจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง
หลังอาหาร มู่ชิงเกอพาสองพี่สองตระกูลเว่ยพุ่งไปยังหอสรรพสิ่งอย่างกระฉับกระเฉง เทียบเชิญใบหนึ่งสามารถเข้างานได้สามคน ท่าทางที่ดูน่าสงสารของพี่น้องคู่นี้ ทำให้มู่ชิงเกอปฏิเสธไม่ลง ทั้งสามจึงออกจากเรือนรับรอง โดยไม่ได้พาองครักษ์ไปแม้แต่คนเดียว
มาเยือนหอสรรพสิ่งอีกหน ผู้ที่ออกมาต้อนรับทั้งสามก็ยังคงเป็นเหลียนเอ๋อร์ผู้เดิม
ทันทีที่เห็นทั้งสามคน เหลียนเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม มุมปากเผยให้เห็นลักยิ้มหวานๆ
“คุณชายมู่ คุณชายเว่ย และคุณหนูเว่ย ยินดีต้อนรับพวกท่าน” เหลียนเอ๋อร์โน้มตัวลงอย่างนอบน้อม นํ้าเสียงนั้นเป็นกันเองอย่างมาก
มู่ชิงเกอพยักหน้า ยื่นเทียบเชิญในมือออกมา
ในตอนที่ตานเฉินจื่อยื่นเทียบเชิญให้กับมู่ชิงเกอ เหลียนเอ๋อร์เองก็อยู่ข้างๆ เพราะฉะนั้น เมื่อรับบัตรเชิญมา นางก็ไม่ได้เปิดเพื่อตรวจสอบแต่อย่างไร
ทว่ากลับไม่คิดว่า การกระทำของนาง ทำให้เกิดเสียงคำถามที่เลวร้ายดังขึ้นจากข้างหลัง
“เหตุใดหอสรรพสิ่งจึงเชิญแขกไม่เลือกเช่นนี้ คนจนๆ พวกนี้เข้ามา จะมีเงินพอที่จะซื้อรึ”
หลังจากที่พวกมู่ชิงเกอได้ยิน ก็หันหลังกลับไปมอง สิ่งที่เห็นคือ แสงระยิบระยับที่แสบตาจากเครื่องประดับต่างๆ จนกระทั่งแสงอันแสบตาพวกนั้นจางไปบ้าง จึงเห็นอย่างชัดเจนว่า คนพูดนั้นคือชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสีทองล้วน บนคอ ข้อแขน เต็มไปด้วยเครื่องเงินและเครื่องทองต่างๆ
รูปร่างหน้าตาของคนผู้นี้ยังถือว่าสวยสดงดงาม แต่ทว่า สายตานั้นเต็มไปด้วยความดูถูกและหยิ่งผยอง จมูกที่โด่งเป็นสันสูงชี้ฟ้านั้น ดูแล้วทำให้ไม่สบายตา
ข้างกายเขา ยังมีหญิงสาวที่ตัวอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกในชุดบางเบาน่าเย้ายวนคนหนึ่ง ท่าทางอันใกล้ชิดนั้น แทบจะสิงเข้าไปอยู่ในร่างของชายหนุ่มจนไม่ สามารถแยกออกจากกันได้
แน่นอนว่า ชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีมากนัก นอกจากมือหนึ่งที่ถือพัดอย่างสง่างามแล้ว อีกมือหนึ่งก็อยู่ไม่สุขคอยลูบเอวของหญิงสาว แล้วออกแรงบีบเบาๆ
เมื่อคนจนทั้งสามหันหลังกลับมา แววตาของเขาก็เกิดความประหลาดใจขึ้นเล็กน้อย มือที่บีบเอวของหญิงสาวอยู่ก็บีบอย่างแรงทีหนึ่ง จนทำให้หญิงสาวร้องเสียงหลงทีหนึ่ง
‘ช่างงดงามเหลือเกิน! แต่เสียดายที่เป็นผู้ชาย!’ ชายหนุ่มแอบเสียดาย พลันเคลื่อนสายตาออกจากมู่ชิงเกออย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วไปหยุดสายตาที่เว่ยกว่านกว่านหญิงสาวผู้สวยสดงดงาม
ทันใดนั้น สายตาของชายหนุ่มก็ร้อนแรงขึ้นมาอีกหน
ไม่สามารถลิ้มรสอาหารมื้อหลักอันเลิศรสได้ ของหวานอันงดงามและเปรี้ยวปากนี่ก็ไม่เลว!
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าบังอาจมากเกินไป ทำให้เว่ยฉีแค่นเสียงเฮอะคำหนึ่ง แล้วไปยืนอยู่ตรงหน้าของทั้งสองเพื่อบดบังการมองเห็นของเขา
ทันใดนั้น ดวงตาที่กำลังชื่นชมสาวงามของชายหนุ่มก็ปรากฏภาพของชายหนุ่มดูภูมิฐานคนหนึ่งขึ้นมาแทน สายตาเขาก็พลันมืดมนลงในทันที ก่อนจะแปร เปลี่ยนเป็นไอลังหารในทันใด
“เจ้าสุนัขนี่มาจากไหนกัน ไสหัวออกไปซะ!” ชายหนุ่มพูดด้วยนํ้าเสียงอันเย่อหยิ่ง
คนอย่างเว่ยฉีไม่ใช่คนที่จะทนการดูถูกได้ จึงเดือดดาลขึ้นมาในทันทีและกำลังจะเข้าไปสั่งสอนชายหนุ่มคนนั้น
ในขณะนี้เอง เหลียนเอ๋อร์ก็รีบเดินเข้าไป พลันพูดพร้อมทั้งรอยยิ้มว่า “ทุกท่านต่างก็เป็นแขกของหอสรรพสิ่ง งานประมูลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ขอเชิญทุกท่านรีบเข้าไปในงาน เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา”
ชายหนุ่มคนนั้นเองก็รู้จักเหลียนเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่านางเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ สีหน้าอันมืดมนก็อ่อนโยนลงบ้าง แต่ไอสังหารในแววตาก็ยังคงไม่ ลดน้อยลง “เหลียนเอ๋อร์ คนพวกนี้มาจากที่ใดกัน เหตุใดเจ้าไม่แม้แต่กระทั่งจะเปิดดูเทียบเชิญ หรือว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใช้เทียบเชิญปลอมในการนำ คนพวกนี้เข้ามาภายในงานประมูล”
สีหน้าของเหลียนเอ๋อร์เปลี่ยนไปในทันที “มิใช่อย่างที่คุณชายจูคิดหรอกเจ้าค่ะ เหลียนเอ๋อร์จะริบังอาจทำเช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแค่ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าตานเชิญทั้งสามท่าน ข้าเองก็อยู่ด้วยเพราะฉะนั้น จึงละเว้นขั้นตอนการตรวจสอบเทียบเชิญของทั้งสามท่าน”
ทั้งสามเป็นแขกที่ท่านผู้เฒ่าตานให้เกียรติ ชิญด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ?!
ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้น หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายจากเหลียนเอ๋อร์ ก็พลันรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา
ท่านผู้เฒ่าตานเป็นถึงนักปรุงยาที่เก่งกาจมากที่สุดในเมืองจื้อ ไม่ว่าจะไปที่ใด ผู้คนต่างก็ให้ความเกรงอกเกรงใจ รวมทั้งยังเป็นผู้มีเกียรติสำหรับตระกูลผู้มีอำนาจต่างๆ
ผู้ที่สามารถทำให้ท่านเชิญด้วยตนเอง…ทั้งสามคนนี้เป็นใครกัน
ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างคิดไปต่างๆ นานา
คุณชายจูที่ข้ามาหาเรื่อง หลังจากที่ได้ยินนามของท่านผู้เฒ่าตาน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปในทันที พร้อมมองทั้งสามอีกครั้ง และหยุดสายตาที่เหลียนเอ๋อร์ พร้อมขู่ว่า “เหลียนเอ้อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ผลของการอ้างนามของท่านผู้เฒ่าตานนั้นเป็นอย่างไร”
เหลียนเอ๋อร์ก้มสายตาลง “เหลียนเอ้อร์ทราบเป็นอย่างดีและไม่อาจทำเช่นนั้น”
“หึ !” คุณชายจูอุทานอย่างเย็นเยียบคำหนึ่ง ก่อนจะพาหญิงสาวผู้สวยงามหยาดเยิ้มเดินเข้าหอสรรพสิ่งไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เดินผ่านพวกมู่ชิงเกอ สายตาอันเย็นเยียบที่แฝงความข่มขู่นั่น ทำให้มู่ชิงเกอหรี่ตาลง
หลังจากที่คุณชายจูเดินไปแล้ว เหลียนเอ๋อร์ แอบถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มและพูดกับมู่ชิงเกอและทั้งสองว่า “เชิญทั้งสามท่านด้านในเจ้าค่ะ”
มู่ชิงเกอเงยสายตากระจ่างใสขึ้น พลางพูดกับนางราวกับยิ้มและไม่ยิ้มในขณะเดียวกันว่า “แขกที่หอสรรพสิ่งเลือกช่างทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาเสียจริง”
ใบหน้าของเหลียนเอ๋อร์มีความอึดอัดเกิดขึ้นในทันที พลางก้มหน้าลงและพาทั้งสามเข้าภายในงานไป
ทั้งสามก็เดินเข้าห้องพิเศษที่อยู่บริเวณชั้นสองไปพร้อมกับเหลียนเอ๋อร์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กลับไม่คิดว่า ในขณะที่ประตูถูกเปิดออก กลับพบว่าคนที่นั่งอยู่ในงานคือคุณชายจูที่สาดฉายแสงระยิบระยับผู้นั้น
อีกฝ่ายกวาดสายตามองมาอย่างโหดเหี้ยม มู่ชิงเกอกะพริบตาทีหนึ่งและกวาดสายตามองผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ
“ทั้งสามท่าน ที่นี้มีชาดอกไม้ ให้เหลียนเอ๋อร์ ชงให้ทุกคนสักกานะเจ้าคะ”หลังจากที่ปิดประตูลง เหลียนเอ๋อร์ก็พูดกับทั้งสาม
เว่ยกว่านกว่านนั่งลงด้วยความโกรธ พลันพูดอย่างไม่พอใจว่า “ก็ดี ดื่มชาจะได้คลายความโมโห” เมื่อครู่ที่ผ่านมานี้ หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการประมูลของมู่ชิงเกอ นางจัดการคุณชายจูนั่นไปนานแล้ว