ตอนที่ 131-2
ปรมาจารย์โหลวโปรดระงับความโศกเศร้า
ภายในถํ้า ทั้งห้านั่งขัดสมาธิและล้อมกองเพลิงเอาไว้ ไม่มีใครฝึกพลังเวท พวกเขาล้วนเป็นกังวลแทนจูหลิง
“ถ้าเช่นนั้น หลังจากเสร็จการคัดเลือก ข้าจะส่งจูหลิงไปอยู่ในวังหลวงแคว้นอวี๋ หลังจากที่ออกเดินทางเราก็จะอยู่เคียงข้าง หากหัวชางซู่จะลงมือก็คงไม่ง่าย” จ้าง หนานซิงเสนอเป็นคนแรก
เหมยจื่อจ้งกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “หัวชางซู่เป็นหัวหน้าโรงโอสถย่อย จากความสัมพันธ์ระหว่างโรงโอสถและแคว้นอวี๋ วังหลวงแคว้นอวี๋ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัย ถึงตอนนั้น หากหัวชางซู่ขอคนโดยแลกกับยา เสด็จพ่อของเจ้าจะให้ หรือไม่”
คำพูดนี้ทำให้จ้างหนานซิงเงียบลง
มู่ชิงเกอเองก็พยักหน้า “ใช่ เรื่องนี้หัวชางซู่เองก็คงไม่อยากเปิดเผย เพราะฉะนั้น เขาจะไม่มีทางตัดศิษย์พี่จูออกจากสำนักโดยเด็ดขาด แต่จะลอบทำร้ายศิษย์พี่จู หากพาศิษย์พี่จูไปอยู่ในวังหลวงแคว้นอวี๋ เขาก็มีเหตุผลมากมายที่จะให้แคว้นอวี๋ส่งมอบคน เสด็จพ่อของศิษย์พี่จ้าวก็คงไม่ยอมขัดแย้งกับหัวหน้าโรงโอสถเพียงเพราะลูกศิษย์คนหนึ่ง”
“ถ้าเช่นนั้นก็ให้ท่านอาจารย์ออกรับหน้าและช่วยปกป้องจูหลิง” ซางจื่อซูเองก็เสนอความคิดของตนเอง
ข้อเสนอนี้ถูกมู่ชิงเกอปฏิเสธกลับไปเช่นกัน “หัวชางซู่ และท่านอาจารย์ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว หากขัดแย้งกันเพราะศิษย์พี่จูอีก เกรงว่าจะกลายเป็นเหตุผลให้หัวชางซู่ เปิดศึกกับท่านอาจารย์”
ภายในถํ้าเงียบลง
ราวกับตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ทันใดนั้น จูหลิงกลับยิ้มอย่างเบิกบาน พูดกับทั้งสี่ว่า “มีพวกเจ้ามาคอยกังวลแทนข้า ข้าก็รู้สึกโชคดีเป็นอย่างมากแล้ว เรื่องนี้ยากที่จะหาทางออกจริงๆ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ พวกเจ้าวางใจเถิด หากพวกเขาต้องการชีวิตของข้าจริง ก่อนตายข้าก็ต้องแล่เนื้อพวกมันมาสักชิ้น!”
พูดจนถึงตอนท้าย ในสายตาของจูหลิงก็สาดฉายความเกลียดแค้น คนที่ต้องการจะสื่อถึงแน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งสี่ แต่เป็นหัวชางซู่และเตียวหยวน
“อย่าสิ้นหวังเช่นนั้น” อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็พูดขึ้น
ทันทีที่นางพูด ทั้งสี่ก็เคลื่อนสายตามารวมอยู่บนใบหน้าของนาง
มู่ชิงเกอพูดกับจูหลิงว่า “วิธีที่ศิษย์พี่จูจะใช้โรงโอสถกลางในการรอดพ้นจากหัวชางซู่ ตอนนี้ถือเป็นวิธีที่มีผลเสียน้อยที่สุด ส่วนหัวชางซู่และเตียวหยวนเราจะไม่ ปล่อยเอาไว้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะจัดการพวกเขา โรงโอสถกลางถือเป็นโอกาสหนึ่งของเรา แต่ก่อนอื่น เราจะต้องมั่นใจก่อนว่าศิษย์พี่จูจะถึงโรงโอสถกลางอย่างปลอดภัย ด้วยฐานะของหัวชางซู่ในโรงโอสถกลางแล้ว ถึงตอนนั้นศิษย์พี่จูพูดถึงสิ่งที่เขาทำเอาไว้ แน่นอนว่าต้องมีคนเชื่อ และถือโอกาสนั้นเหยียบเขาให้จมดิน โอกาสของเราก็จะมาถึง เช่นนั้น เรากลับโรงโอสถในวันจบการทดสอบ หลังจากที่ส่งมอบภารกิจแล้ว ศิษย์พี่จูรีบไปซ่อนตัวในห้องปรุงยาในทันที ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากไม่ใช่เราไปหาท่าน แม้ว่าโรงโอสถจะถล่มทลายลงมาก็ห้ามออกมา ในวันคัดเลือก เราจะไปรับท่านออกจากห้องปรุงยา ในการแข่งขัน ท่านจะต้องทำให้สุดความสามารถ จะต้องได้รับสิทธิ์ไปส่งยา ทันทีที่ประกาศผล เราก็จะแอบส่งคนไปรับท่าน ถึงเวลาท่านก็ไปขึ้นเรือ ที่เมืองมู่โดยตรง สำหรับเรื่องที่เหตุใดศิษย์พี่จูถึงไม่ไปพร้อมขบวน คงจะต้องพึ่งท่านอาจารย์และศิษย์พี่ไปจัดการแล้ว”
ฟังคำพูดของมู่ชิงเกอจบ จ้างหนานซิงก็พยักหน้าและพูดว่า “เช่นนี้ก็เป็นการหลบหลีกจากอันตรายจำนวนมาก”
“หากว่าเขาลงมือในเรือล่ะ” ซางจือซูเสนอความคิดเห็นด้วยความเป็นห่วง
มู่ชิงเกอยิ้ม รอยยิ้มเย็นเยียบลงหลายระดับ “หัวชางซู่ ไม่สามารถขึ้นเรือไปได้ ผู้ที่คอยคุ้มกันยาไปโรงโอสถกลาง นอกจากท่านผู้อาวุโสในโรงโอสถแล้ว ก็มีเพียงลูกศิษย์ สำหรับท่านผู้อาวุโสเหล่านั้นไม่ต้องเป็นห่วง เราคอยระวังก็พอแล้ว ช่วงนี้ก็สืบว่าท่านผู้อาวุโสเหล่านั้นใช่คนของหัวชางซู่หรือไม่ สำหรับลูกศิษย์พวกเราก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุดในการแข่งขัน ไม่เพียงแค่เราทั้งห้าจะต้องได้รับสิทธิ์ที่เหลืออีกยี่สิบห้าตำแหน่งก็ต้องช่วยคนอื่นๆ ให้สุดความสามารถ อย่างไรก็ตาม ลูกศิษย์ของหัวชางซู่ได้รับสิทธิ์น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดี”
นางหันมองจ้างหนานซิงอีกหน และพูดกับเขาว่า “ถึงตอนนั้น แคว้นอวี๋จะมีการส่งยอดฝีมือเข้าร่วมการคุ้มกันด้วยหรือไม่”
จ้างหนานซิงพยักหน้า “นี่เป็นโอกาสที่ดีในการไปอาณาจักรเซิ่งหยวน ไม่เพียงแค่แคว้นอวี๋ที่จะส่งยอดฝีมือ แม้กระทั่งแคว้นระหว่างทาง แคว้นลี่และแคว้นฉิน ล้วนส่งยอดฝีมือตามไปด้วย”
“ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้ว” ได้ยินจ้าวหนานชิงพูดเช่นนี้ มู่ชิงเกอก็กระตุกรอยยิ้มอันชัดเจน ที่เหลืออีกสี่คนไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ๆ นางจึงมั่นใจมาก ถึงเพียงนั้น
จ้างหนานซิงขมวดคิ้ว “หากเกิดอะไรขึ้นบนเรือ ไม่แน่ว่ายอดฝีมือของแคว้นเหล่านั้นจะยืนอยู่ข้างเรา !”
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างผ่อนคลายและพูดว่า “เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วง เพียงแค่ต้องมั่นใจว่า คนของแคว้นอวี๋ จะซื่อสัตย์ต่อท่านก็พอแล้ว”
เหลือเพียงแค่แคว้นลี่ นางย่อมมีวิธีของตนเอง สำหรับแคว้นฉิน ยังมีอะไรที่ต้องเป็นห่วงอีกหรือ
นางพูดอย่างเป็นนัย แต่กลับทำให้ทุกคนเชื่อเป็นอย่างมาก
จ้างหนานซิงกลับพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อลำดับเหตุการณ์ก่อนหลังกันแล้ว เรื่องร้อนเรื่องนี้ก็ได้คลี่คลายลง ทั้งห้าจึงอารมณ์ดีขึ้นมา
เมื่อเรื่องราวได้คลี่คลายลงแล้ว ทั้งห้าก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา ต่างเข้าสู่การฝึกพลังเวท
การสู้กับมังกรวารีในวันนี้ ทำให้พวกเขาเข้าใจเหตุผลหนึ่ง หากวันหนึ่งอยากออกจากหลินชวนก็จะต้องเก่งกาจมากขึ้นกว่าเดิม หากไม่อยากให้ใครกลั่นแกล้ง ก็
จะต้องเก่งกาจขึ้นเช่นกัน หลังจากกลับมาครานี้ไม่เพียงแค่จูหลิงที่ต้องพัฒนาการ ปรุงยา พวกเขาเองก็ต้องพัฒนาเช่นกัน
มู่ชิงเกอหลับตาลง ไม่ได้ฝึกพลังเวทแต่กลับเข้าไปอยู่ในช่องว่าง
ทันทีที่นางปรากฏตัว เหมิงเหมิงก็เข้ามาพร้อมความเศร้าใจ และร้องทุกข์กับนาง “ฮือๆๆ เจ้านาย ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว! ไอจิ้งจอกตัวนั้นร้ายกาจมาก มัน สาปแช่งเหมิงเหมิงอยู่ตลอดเวลา เจ้านายจะต้องสั่งสอนมันให้หนูนะ!”
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก พร้อมพูดอย่างรู้ทันว่า “เจ้าไปหาเรื่องมันก่อนล่ะสิ”
เมื่อถูกจับได้ เหมิงเหมิงที่เอามือปิดตาแกล้งร้องไห้ ก็กางนิ้วออกเล็กน้อยเพื่อแอบมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง เห็นว่านางไม่โกรธ จึงพูดตามความจริงว่า “หนูเหมิงทำเพื่อเจ้านายนะ! หนูต้องสั่งสอนมัน ว่าอยู่กับเจ้านายเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติเป็นอย่างมาก!”
“แล้วเป็นอย่างไร” มู่ชิงเกอถามพร้อมกระตุกยิ้ม
ท้องกลมๆ ของเหมิงเหมิงราวกับลูกบอลอัดลมที่ยุบลงในทันที “มันเป็นเจ้าซื่อบื้อ! ดื้อดึงและคิดไม่เป็น! มัน มั่นใจว่าเจ้านายเป็นฆาตกรที่ฆ่าเผ่าพันธุ์ของมัน และบอกว่าจะต้องฆ่าท่านเพื่อล้างแค้น!”
มู่ชิงเกอพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ที่มันพูดเป็นความจริง”
เหมิงเหมิงพูดอย่างตะลึงว่า “เจ้านาย ท่านคิดเช่นนั้นได้อย่างไร สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่คิดจะทำร้ายเจ้านาย จะต้องทำใจยอมรับความตาย!”
ท่าทางอันซื่อสัตย์และภักดีต่อเจ้านายของเหมิงเหมิง ทำให้มู่ชิงเกออดยิ้มไม่ได้ “ลูกอมหมดแล้วใช่หรือไม่”
“แหะๆ” เหมิงเหมิงเผยรอยยิ้ม แล้วเอามือประสานกัน ใบหน้าอ้วนๆ เต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบ “เจ้านายช่างคาดการได้อย่างแม่นยำ ฉลาดอย่างล้นเหลือ!”
มู่ชิงเกอยักคิ้ว “ต้องการยาก็ได้ แต่เจ้าต้องตอบคำถามข้าก่อน”
“เชิญเจ้านายถาม! หนูเหมิงจะตอบทุกอย่างที่รู้ หากตอบได้แน่นอนว่าจะตอบทุกอย่าง!” เหมิงเหมิงยืดตัวตรง แล้วยกมือชี้ฟ้าสาบาน
มู่ชิงเกอเดินไปบริเวณที่ชี้นส่วนต่างๆ ของมังกรวารีที่กองอยู่ ยกมือขึ้นลูบโครงกระดูกเบาๆ และรู้ถึงความหนาแน่นและความแข็งแรงของโครงกระดูก ครู่หนึ่ง นาง จึงพูดกับเหมิงเหมิงว่า “ข้าสัมผัสได้ว่าโครงกระดูกและเกล็ดล้วนเป็นชิ้นส่วนที่สามารถหลอมอาวุธได้เป็นอย่างดี และรู้อย่างแน่ชัดว่าจะต้องสร้างอย่างไรจึงจะไม่สิ้นเปลืองวัตถุดิบ นี่เป็นสายโลหิตแห่งการเป็นอาจารย์หลอมอาวุธใช่หรือไม่”
เหมิงเหมิงพยักหน้า “ใช่! ยินดีกับเจ้านาย ในที่สุดก็รับรู้ได้ถึงความสามารถของท่านแล้ว!”
มู่ชิงเกอกลับพูดราวกับไม่รู้สึกอะไรมาก “โครงกระดูก สามารถสร้างอาวุธทางการทหารได้ เกล็ดและหนังสามารถสร้างเป็นเสื้อเกราะ แล้วเนื้อกับโลหิตล่ะ สำหรับสองอย่างนี้ข้ากลับไม่ได้มีความรู้สึกอันใดมากนัก”
“หนูรู้!” เหมิงเหมิงเงยหน้าขึ้นพุดอย่างภูมิใจ
“พูด” มู่ชิงเกอวางยาลงขวดหนึ่ง
เหมิงเหมิงรีบเก็บท่าทางอันภาคภูมิใจ เผยท่าทาง ประจบประแจงแล้วเก็บยา พลันพูดด้วยรอยยิ้มอันเบิกบานว่า “เจ้านายใจดีที่สุดเลย!”
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว” มู่ชิงเกอมองนางแวบหนึ่ง
เหมิงเหมิงพูดขึ้นในทันที “ในโลหิตของมังกรวารีเหล่านี้ มีพลังมังกร เผ่ามังกรขึ้นชื่อว่าเก่งกาจในเรื่องของการป้องกันตัว เจ้านายเพียงแค่กลั่นพลังมังกรในโลหิตออกมา แล้วให้องครักษ์เขี้ยวมังกรดื่ม สำหรับพวกเขาแล้ว เป็นยาระดับเทพที่ช่วยในการฝึกร่างกาย! เพียงแค่พวกเขาได้รับพลังมังกร ร่างกายก็จะใหญ่ขึ้นและเก่งกาจขึ้นเป็นอย่างมาก อาวุธธรรมดาไม่สามารถทิ่มแทงผิวหนังของพวกเขาได้ และในด้านพลังก็จะมากขึ้นเป็นทวีคูณ ถึงขั้นว่า กลิ่นไอของพวกเขาจะมีกลิ่นไอของมังกรซ่อนอยู่ สามารถข่มขู่สัตว์วิญญาณระดับตํ่าได้”
มู่ชิงเกอฟังแล้วอึ้งจนอ้าปากอ้างและคิดในใจว่า ‘สุดยอดจริงๆ!’
“ถ้าเช่นนั้นข้า…”
“เจ้านายอย่ากินเลย ท่านมีบ่อสายฟ้าในการฝึกร่างกาย แม้จะดื่มเลือดของมังกรวารีไปก็ไม่ได้ผลอันใดมากนัก อย่าสิ้นเปลืองเลย!” ใครจะรู้ ว่าเหมิงเหมิงกลับทำลายจินตนาการในใจของมู่ชิงเกออย่างไร้ความปรานี
มู่ชิงเกอจิ๊ปากอย่างเสียดาย แล้วชี้ไปที่เนื้อของมังกรวารี และถามว่า “แล้วพวกนี้ล่ะ”