ตอนที่ 146-5
นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ VS นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ
เซี่ยเทียนอู๋สั่งการคนให้เริ่มขนย้ายตัวยา รอจนขนจนเกือบหมดแล้ว เกาจิ้น เกียนเหิงไม่กี่คนก็เดินเข้ามากล่าวลากับมู่ชิงเกอ
เพราะว่าเซี่ยเทียนอู๋บอกว่าพวกเขาสามารถจากไปได้แล้ว
อีกทั้งยังบอกพวกเขาว่า หากจากที่นี่ออกไปไม่ไกลมีเมืองเล็กๆ อยู่เมืองหนึ่ง สามารถพักค้างชั่วคราวได้ กองทหารอารักขาจากแต่ละแคว้นก็พากันจากไปจน หมด มั่วหยางที่นำกององครักษ์เขี้ยวมังกรก็อยู่ในนั้น เพียงแต่ว่า เส้นทางของพวกเขานั้นไม่เหมือนกัน คำสั่งที่มู่ชิงเกอให้เขาก็คือไม่ต้องรั้งอยู่อาณาจักรเซิ่งหยวนนานจนเกินไป ให้มุ่งไปยังทะเลแห่งความอ้างว้างที่แคว้นหรงโดยตรง
ซึ่งหลังจากนั้น คนที่เหลือก็มีแต่ผู้อาวุโสของโรงโอสถกับศิษย์ในสำนัก
หลังจากทำการนับจำนวนตัวยาเสร็จสิ้น เซี่ยเทียนอู๋ก็เรียกสัตว์อสูรบินได้ขนาดยักษ์มาสองตัว หนึ่งตัวเอาไว้ขนยา อีกหนึ่งเอาไว้บรรทุกเหล่าผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์ ตอนเห็นสัตว์พาหนะ มู่ชิงเกอก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในเมื่อโรงโอสถกลางมีสัตว์พาหนะที่ร้ายกาจเช่นนี้ทำไมถึง ไม่ขนทางอากาศไปตรงๆ? จะต้องเดินทางทางทะเลให้ลำบากไปทำไมกัน?
นางเอาความสงสัยนี้กล่าวออกไป ไม่ทันไรก็ทำให้คนอื่น รู้สึกประหลาดใจตามไปด้วย
ท้ายที่สุดก็ยังเป็นเหมยจื่อจ้งที่ค่อยๆ กล่าวออกมา “ข้าเคยได้ยินอาจารย์กล่าวว่า สิ่งของที่ส่วนกลางมอบให้กับสาขาย่อย สามารถใช้สัตว์พาหนะบินไปส่งได้ แต่ว่า สิ่งของที่ขนส่งจากสาขาย่อย สามารถใช้ได้เพียงแค่กำลังคน”
“นี่เพราะเหตุใด?” จูหลิงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ขนตายาวของเหมยจื่อจิ้งสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่รู้สิ”
จ้าวหนานซิงพลันยิ้มเยาะขึ้น “บางทีอาจจะเป็นเพราะอยากทำให้ความแตกต่างระหว่างส่วนกลางกับสาขาย่อยเด่นชัดขึ้น คิดอยากข่มพวกเรากระมัง” พูดไปพลาง เขาก็มองไปยังศิษย์ของส่วนกลางที่พากันเชิดหน้าเชิดตา เค้นหัวเราะพลางกล่าว “ดูคนอื่นเขาสิ แม้แต่มองตรงๆ ยังไม่มองพวกเราสักคน”
แววตากระจ่างใสของมู่ชิงเกอค่อยๆ กวาดมองไปที่ตัวศิษย์ของสำนักกลางทีละคน ก่อนจะกล่าวเน้นขึ้น “อาณาจักรเซิ่งหยวนก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ทรัพยากรอุดม สมบูรณ์ไอพลังพรั่งพร้อม อายุยังน้อยก็สามารถเข้าสู่ขั้นครามระดับกลางได้แล้ว”
“อะไรนะ! พวกเขา…” จ้าวหนานซิงแววตาหดเล็กลง ท่าทางไม่ค่อยเชื่อนัก
ในแคว้นระดับสาม หากคนที่อายุน้อยเช่นนี้สามารถฝึก ไปถึงขั้นสีเขียว ขั้นสีครามก็ถือเป็นที่โดดเด่นของคนในรุ่นเดียวกันแล้ว แน่นอนสำหรับมู่ชิงเกอที่เก่งราวปีศาจนั้น ไม่นับ
คาดไม่ถึงว่า ศิษย์ของส่วนกลางพวกนี้กลับมีพลังการฝึกปรืออยู่ที่ขั้นสีคราม ในพวกเขาห้าคน กลับมีเพียงมู่ชิงเกอเท่านั้นถึงจะสามารถสะกดข่มพวกเขาได้
แล้วในส่วนกลางเล่า คนที่ร้ายกาจกว่าพวกเขาแน่นอนว่า ต้องยังมีอยู่
โรงโอสถก็ยังถือว่าเป็นสถานที่เอาไว้ปรุงยาโดยเฉพาะ สำหรับการฝึกพลังนั้นก็นับว่าไม่ค่อยเข้มงวดอะไร ดังนั้นแล้วคนที่อยู่ภายนอกพวกนั้นเล่า?
คำกล่าวของมู่ชิงเกอ ก็ทำเอาแววตาของทั้งสี่พลันเต็มไปด้วยความกังวลใจ
โดยเฉพาะจูหลิง ระดับการฝึกปรือของนางก็ยังค้างอยู่แค่ขั้นสีเหลือง อีกทั้งนางยังอยากจะรั้งอยู่ที่โรงโอสถกลาง ดูท่า ถ้าหากไม่พัฒนาความสามารถในการปรุงยาให้สูงขึ้น เกรงว่าคงยากที่จะบรรลุเป้าหมายแล้ว
มู่ชิงเกอมองออกถึงความกังวลของนาง ก็เลยกล่าวปลอบโยนว่า “เซี่ยเทียนอู๋ผู้นั้นก็ดูไม่เลว ท่านก็ลองเอาความคิดที่อยากจะรั้งอยู่ของท่านบอกเขาไป ขอให้ช่วย เหลือ”
จูหลิงพยักหน้าอย่างไม่มั่นใจ
หลังจากทุกอย่างจัดแจงเสร็จสิ้นแล้ว เซี่ยเทียนอู๋ก็พลันเดินมาด้านข้างของมู่ชิงเกอ กล่าวกับนางว่า “ไปพร้อมกับข้าเถอะ”
มู่ชิงเกอกลับไม่ขยับตัว แต่ทำเป็นมองไปทางคนข้างกายทั้งสี่คน
เชี่ยนเทียนอู๋พลันเข้าใจ กล่าวแย้มยิ้มว่า “พวกเจ้าไม่กี่คนก็ยังจำได้อยู่ ขึ้นมาด้วยกันเถอะ” พอกล่าวจบก็พาทั้งสี่ไปยืนยังส่วนคอของสัตว์พาหนะ หลังจากนั้นก็เรียกรวมให้ทุกคนขึ้นมา
ศิษย์ของสาขากลางหลังจากขึ้นมาแล้ว ก็แยกกันยืนตรงจุดปลายขอบ ราวกับว่าเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน กันจะมีศิษย์ร่วงตกลงไป
พวกเขาสีหน้าท่าทางเย็นชา สำหรับศิษย์สาขาย่อยที่คิดชวนคุย พวกเขาก็ล้วนแต่ไม่สนใจ ทำเอาศิษย์ที่มาจากสาขาย่อยยิ่งกลายเป็นระมัดระวังขึ้น ไม่อาจทำอะไรล่วงเกิน
มู่ชิงเกอก็เห็นทั้งหมดนี้อยู่ในสายตา ก่อนจะเห็นเข้ากับจูหลิงที่มีสีหน้ากังวลใจ พลันเดินไปข้างกายเซี่ยเทียนอู๋ พร้อมกับกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเซี่ย ข้าอยากถามเสียหน่อยว่า หากศิษย์ของสาขาย่อยอยากรั้งอยู่ที่ส่วนกลางนั้นมีเงื่อนไขเช่นใด?”
เซี่ยเทียนอู๋นึกว่านางอยากรั้งอยู่ พลันยิ้มกล่าวว่า “ด้วยฐานะนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณของเจ้า ไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขใด อยากรั้งอยู่ก็รั้งอยู่ได้ทันที”
เขาก็ไม่ได้ตั้งใจกดเสียงให้เบาลง ‘นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ’ ไม่กี่คำลอยเข้าหูศิษย์จากส่วนกลางพวกนั้น พวกเขาไม่กี่คนก็ส่งสายตาตรวจสอบมาทางนางโดยไม่ได้นัดหมาย
มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจสายตาตรวจสอบพวกนั้น เพียงแต่กล่าวยิ้มๆ กับเซี่ยเทียนอู๋เท่านั้น “ก็ไม่ใช่ข้า” พูดไปพลาง นางก็ชี้ไปทางจูหลิง พร้อมกล่าวว่า “แต่เป็นศิษย์ พี่หญิงของข้า”
เซี่ยเทียนอู๋มองตามนิ้วของนางไปก่อนจะเห็นเข้ากับจูหลิง ในใจค่อนข้างรู้สึกผิดหวังที่ไม่ใช่มู่ชิงเกอ แต่ก็ยังคงกล่าวอย่างใจดี “ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นนักปรุงยาระดับสูงกระมัง”
จูหลิงรีบพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะผู้อาวุโส”
เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้าพลางกล่าวว่า “นักปรุงยาระดับสูง จะรั้งอยู่ก็ไม่ยาก แต่จะต้องผ่านการทดสอบจำนวนหนึ่ง อย่างเช่น การปรุงยาระสูง ยืนยันฐานะนักปรุงยาระดับสูงของเจ้า แล้วก็ยังมีการทดสอบพรสวรรค์เล็กๆ น้อยๆ”
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสเซี่ยมากเจ้าค่ะ” จูหลิงเผยรอยยิ้มออกมา ย่อกายคำนับไปทางเซี่ยเทียนอู๋
คำกล่าวของเซี่ยเทียนอู๋ก็คลายความกังวลในใจของนางไปส่วนหนึ่ง ถ้าหากเพียงปรุงยาระดับสูง กับตรวจสอบพรสวรรค์ละก็ นางก็ยังถือว่ามีความมั่นใจอยู่บ้าง
เซี่ยเทียนอู๋ยิ้มรับ ไม่กล่าววาจาอีก จูหลิงไม่ได้ติดใจ แต่มองไปทางมู่ชิงเกออย่างซาบซึ้งใจ
ถ้าหากไม่ใช่มู่ชิงเกอถามด้วยตัวเอง เกรงว่าผู้อาวุโสเซี่ยผู้นี้ก็คงไม่คิดจะกล่าวอธิบายอย่างอดทนเช่นนี้
“พรสวรรค์ของเจ้าก็โดดเด่นมากขนาดนี้ทำไมถึงไม่รั้งอยู่ที่ส่วนกลางเล่า?” เซี่ยเทียนอู๋กล่าวเกลี้ยกล่อมอย่างไม่ยอมแพ้
มู่ชิงเกอกล่าว “การปรุงยาไม่ใช่เป้าหมายหลักของข้า ดังนั้นข้าตอนนี้ยังไม่คิดจะเข้าร่วมกับส่วนกลาง” ครั้งนี้ที่มาส่วนกลาง ส่วนใหญ่ก็เพราะอยากทำความใจกับสภาพการณ์ของส่วนกลาง ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องเสียเวลาในโรงโอสถอีก
ได้รับการสืบทอดจากตำราเทพโอสถ นางก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องได้รับการชี้แนะจากนักปรุงยาคนไหนอีก
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เอาเถอะ เวลาเจ้าไหนอยากมา ก็ขอให้มาหาข้า” เซี่ยเทียนอู๋ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเสียดายกับคำตอบของมู่ชิงเกอ แต่ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนท่าทีที่มีอยู่แต่ เดิม
ตรงจุดนี้ก็ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง สัตว์พาหนะบินไปได้ช่วงหนึ่ง พาดผ่านหมู่เขาด้านล่าง สุดท้ายก็ค่อยๆ ร่อนลงไปด้านนอกของหุบเขาแห่งหนึ่ง หลังจากลงมาจากสัตว์พาหนะ มู่ชิงเกอก็เห็นเข้ากับคนที่สวมชุดศิษย์ของโรงโอสถกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากหุบเขา ในคนพวกนี้ก็เหมือนกับว่าจะมีคนผู้หนึ่งเป็นผู้นำ คนผู้นั้นถูกกลุ่มคมห้อมล้อมเอาไว้ตรงกลาง
พอเห็นคนผู้นั้น เซี่ยเทียนอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น “จิ่งเทียน? เจ้าทำไมถึงมาได้?”
คนที่ถูกเรียกว่าจิ่งเทียนก็คือคนที่ถูกกลุ่มคนห้อมล้อมเอาไว้ ตัวเขาสูงโปร่ง ใบหน้าคมสันหล่อเหลา คิ้วเรียวใบหลิวนั่นก็ยิ่งเพิ่มความหล่อเหลาและภูมิฐานให้เขาขึ้นอีกหลายส่วน
ให้ผู้คนรู้สึกถึงความองอาจและสง่างาม
เพียงแต่ว่าสีหน้าท่าทางของเขาดูหยิ่งทะนงเกินไป ราวกับว่าใต้หล้านี้มีเพียงข้าผู้เดียวที่เก่งกล้า อาจหาญ ซึ่งมันก็ทำลายภาพลักษณ์ดีๆ ของเขาไปเสียหมด
พอเจอกับการกล่าวถามของเซี่ยเทียนอู๋ เขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย เพียงแค่ยิ้มขึ้นบางๆ ก่อนจะกล่าวว่าด้วยสายตาดูแคลน “ข้าได้ยินมาว่านักปรุงยาระดับจิตวิญญาณของสาขาย่อยมาถึงแล้ว ก็เลยคิดว่าต้องมาทำการทักทายเสียหน่อย”