Skip to content

พลิกปฐพี 147-1

ตอนที่ 147-1

สร้างความรํ่ารวยโดยไร้เสียง!

“ได้ยินว่านักปรุงยาระดับจิตวิญญาณของสาขาย่อยมาถึงแล้ว ข้าแน่นอนว่าต้องมากล่าวทักทายสักเล็กน้อย”

คำกล่าวที่ได้ฟัง ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรแปลก แต่ว่า คนผู้นี้ตอนที่กล่าวคำว่า ‘ทักทาย’ ก็ได้เน้นเสียงหนักเป็นพิเศษ ชวนให้คนฟังสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นศัตรูอยู่สายหนึ่ง

“อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ!” เซี่ยเทียนอู๋สีหน้าเคร่งขรึมลง การห้ามขึ้นเสียงดัง

จิ่งเทียนยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ในรอยยิ้มบางๆ แฝงความยโสเอาไว้ส่วนหนึ่ง “นี่ก็เป็นแค่การทักทายปกติ ผู้อาวุโสเซี่ยทำไมต้องบอกว่าไร้สาระด้วย?”

พอกล่าวจบ แววตายโสทั้งสองข้างนั่นก็ค่อยๆ ขยับ จนสุดท้ายสายตาตกลงไปยังตัวของศิษย์สาขาย่อย

คนส่วนใหญ่ก็ถูกสายตาดูแคลนของเขากวาดผ่านไป ตอนที่สายตาของเขาหยุดลง ก็มาหยุดลงที่ตัวของพวกมู่ชิงเกอห้าคน

เงาร่างสีแดงสะดุดตาถูกคนไม่กี่คนห้อมล้อมเอาไว้ แววตาของจิ่งเทียนฉายแววตะลึงลานขึ้นสายหนึ่ง ขณะที่แววตระหนกหายไปก็ถูกแทนที่ด้วยแววริษยาที่เพิ่มสูงขึ้น

‘ในแผ่นดินนี้ กลับมีผู้ชายที่งดงามได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?’ จิ่งเทียนลอบกล่าวว่าในใจ

เขาเก็บความรู้สึกในแววตากลับ ก่อนจะจ้องมองไปทางพวกมู่ชิงเกอทั้งห้าอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึกใด แต่พอมองดู เขาถึงค้นพบว่าในไม่กี่คนนี้แต่ละคนกลับ เป็นหงส์ มังกร ในหมู่มนุษย์โดดเด่นเกินผู้คนนัก!

ชายในชุดสีขาวผู้นั้น ดูล่องลอยดุจม่านหมอก ท่าทางนิ่งสุขุม ชายในชุดผ้าไหมสีเขียวใสดุจไม้ไผ่ ที่ตัวก็แผ่กลิ่นไอสูงศักดิ์ออกมา ท่าทางสุภาพอ่อนโยน ส่วนหญิงชุดเขียวอีกคนนั้น ใบหน้าก็งดงามเฉิดฉาย เกิดมาด้วยความงดงามที่เย้ายวนผู้คน

แต่พอตอนที่จิ่งเทียนมองเห็นซางจื่อซู แววตาของเขาก็สว่างจ้าขึ้น ราวกับว่าโฉมงามที่เต็มไปด้วยความเย็นชา และงดงามหาใดเปรียบผู้นี้ได้ก่อให้เขาเกิดความสนใจที่รุนแรงขึ้นมา

สายตาของเขากวาดมองไปมาบนร่างของซางจื่อซูอย่างแทะโลม

สายตาเช่นนี้ก็ทำให้ซางจื่อซูรู้สึกไม่สบายตัวนัก ขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ พลันเขยิบเข้าไปทางมู่ชิงเกอที่อยู่ข้างกายตามสัญชาตญาณ

การกระทำเล็กๆ นี้ ก็ตกอยู่ในสายตาของจิ่งเทียน ทำเอาแววตาของเขาฉายแววเย็นยะเยือกขึ้นสายหนึ่ง

ตอนมองไปยังมู่ชิงเกออีกครั้ง ก็มีแต่ความเป็นศัตรูแล้ว!

การกระทำโดยไม่รู้ตัวของซางจื่อซู มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้

ในขณะเดียวกัน สายตาประเมินที่ไม่คิดปิดบังของจิ่งเทียน นางก็สัมผัสได้เช่นกัน

“หึ” จ้าวหนานซิงสบถขึ้นเสียงเย็น เดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง ก่อนจะทำการบังตัวซางจื่อซูด้วยกันกับมู่ชิงเกอเอาไว้จนมิด ปิดกั้นสายตาของจิ่งเทียน

ในแววตาของจิ่งเทียนก็พลันไหลแล่นขึ้นความเกรี้ยวกราดสายหนึ่ง

ตอนนั้นเอง เซี่ยเทียนอู๋ก็พลันเดินเข้ามา เข้าไปยืนอยู่ตรงกลางของทั้งสองฝ่าย พอเห็นแววตาหวาดกลัวน้อยๆ ของศิษย์สาขาย่อย เขาก็หันไปกล่าวกับจิ่งเทียน “การประมือพบปะไม่ใช่วันนี้ พวกเจ้าก็กลับไปก่อนหากไม่มีธุระอะไร รอพวกเขาพักผ่อนเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”

การออกหน้าปกป้องของเซี่ยเทียนอู๋ก็ทำให้จิ่งเทียนรู้สึกประหลาดใจ เขาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ แววตาลํ้าลึกจ้องมองไปยังตัวของซางจื่อซูหนหนึ่ง ก่อนจะหันไปกล่าวแย้มยิ้มกับเซี่ยเทียนอู๋ “ก็ได้ไว้ข้าจะมาใหม่ในภายหลัง”

พอได้ฟังประโยคนี้ของเขา เซี่ยเทียนอู๋ก็ลอบถอนหายใจ โล่งอกขึ้นในใจ

แต่พอฟังคำพูดต่อมาของจิ่งเทียนก็ทำเอาเขาต้องขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง

“พวกเจ้าใครกันที่เป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ?”

คำกล่าวที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันก็ทำให้สายตาของศิษย์สาขาย่อยต่างพากันตกไปยังตัวของมู่ชิงเกอ สายตาของจิ่งเทียนร่วงตกลงที่ร่างของมู่ชิงเกออีกครั้ง ถึงแม้ว่าอีกสี่คนรอบกายเขาจะโดดเด่นเช่นกัน แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าชายหนุ่มชุดแดงนั้นดูจะสะดุดตาเป็นพิเศษ ใบหน้าที่งามล่มเมืองดวงนั้นก็ทำเอาตนที่อยู่ต่อหน้าเขา รู้สึกด้อยค่าลงไปไม่น้อย

“ที่แท้ก็เป็นเจ้า” จิ่งเทียนกดความรู้สึก ‘ด้อยค่า’ ในใจของตน กล่าวขึ้นอย่างมีเลศนัยประโยคหนึ่ง

มู่ชิงเกอมองไปทางเขาสีหน้าเรียบเฉย นิ่งเงียบไม่กล่าววาจา

ดวงตาทั้งสองข้างของจิ่งเทียนหรี่เล็กลง กล่าวอย่างคลุมเครือไม่ชัดเจน “ดี ดีมาก” พอกล่าวจบก็หันหลังกลับ นำพากลุ่มคนที่รุมล้อมเดินอาดๆ ก้าวจากไป

พอจิ่งเทียนจากไป ในใจของเหล่าศิษย์สาขาย่อยก็เหมือนกับได้ยกภูเขาออกจากอก

แต่จ้าวหนานซิง เหมยจื่อจ้งไม่กี่คนกลับขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ หันมองไปทางมู่ชิงเกอ ราวกับจะกล่าวว่ายังไม่ทันเข้าส่วนกลาง ปัญหาก็มาหาถึงที่แล้ว

“ดูท่า จิ่งเทียนอยู่ที่ส่วนกลางจะมีฐานะที่ไม่ธรรมดา” จ้าวหนานซิงกล่าวไปทางมู่ชิงเกอ

ระหว่างที่พูด เขาก็หันมองไปทางซางจื่อซู กล่าวกับนางว่า “จื่อซู สายตาของคนผู้นั้นที่มองเจ้าก็ดูจะมีเจตนาที่ไม่ดี ระยะนี้อย่าได้ไปไหนเพียงลำพัง”

ซางจื่อซูมองไปทางเขาหนหนึ่ง ไม่ได้ทำการโต้แย้ง เพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆ

“เฮ้อ…ไปกันเถอะ” เซี่ยเทียนอู๋ถอนหายใจหนักๆ เรียกให้กลุ่มคนเดินไปทางโรงโอสถกลางต่อไป

บนทางเดิน เซี่ยเทียนอู๋กับมู่ชิงเกอเดินเคียงไหล่กันออกไป เขากล่าวอธิบายเสียงเบามาทางนาง “จิ่งเทียนผู้นี้ก็ถือศิษย์อันดับหนึ่งในโรงโอสถกลาง พรสวรรค์ของคนผู้นี้ก็ร้ายกาจจนถึงขั้นสามารถเทียบเคียงกับปรมาจารย์นักปรุงยาที่มีชื่อเสียงมาหลายปีได้หลายคน ดังนั้นเลยทำให้เขากลายเป็นคนที่มีนิสัยหยิ่งทะนง ในบรรดาศิษย์ของโรงโอสถยอมให้ตัวเองเป็นหนึ่งได้เพียงคนเดียว จนถึงขนาดผู้อาวุโสบางคนเขายังไม่เห็นอยู่ในสายตา พอเจ้ามา เขาก็มาหาในทันทีเช่นนี้ ดูท่าการที่ในสาขาย่อย ปรากฏนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณที่อายุน้อยกว่าเขา จะทำให้เขานั่งไม่ติด”

“เขาก็เป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ?” มู่ชิงเกอจับประเด็นสำคัญในคำพูดของเซี่ยเทียนอู๋ได้

เชี่ยนเทียนอู๋พยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด เขาเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณหนึ่งเดียวในเหล่าศิษย์ในสำนัก คนอื่นๆ ส่วนมากก็จะอยู่ในขั้นนักปรุงยาระดับสูง กับนักปรุงยาระดับกลาง มีเพียงศิษย์ใหม่จำนวนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาในสำนักเท่านั้นที่เป็นนักปรุงยาระดับตํ่า”

มู่ชิงเกอนิ่งฟังอยู่เงียบๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับเซี่ยเทียนอู๋ “ผู้อาวุโสเซี่ยก็เป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณกระมัง?” เซี่ยเทียนอู๋ยิ้มน้อยๆ “ไม่ผิด ข้าเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ ในโรงโอสถส่วนกลาง นอกจากหัวหน้าโรงโอสถที่เป็นนักปรุงยาระดับสมบัติแล้ว ผู้อาวุโสนอกเหนือจากนั้นก็เป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ”

“ผู้อาวุโสเซี่ย จิ่งเทียนผู้นี้ก็คงไม่บังเอิญเป็นศิษย์ของหัวหน้าโรงโอสถกระมัง?” จ้าวหนานซิงที่อยู่ด้านข้างพลันกล่าวแทรกขึ้น

เซี่ยเทียนอู๋ส่ายหัวพลางกล่าวยิ้มๆ “ส่วนกลางตั้งกฎเอาไว้ว่า เหล่าลูกศิษย์ถ้าหากเข้าสู่ระดับชั้นจิตวิญญาณ ก็จะสามารถถอนตัวออกจากการเป็นศิษย์อาจารย์และ สามารถรับลูกศิษย์ของตัวเองได้ อาจารย์คนก่อนของจิ่งเทียนก็เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของส่วนกลาง หลังจากที่จิ่งเทียนทะลวงระดับชั้นได้แล้ว ทั้งสองก็ตัดขาดความเป็นศิษย์อาจารย์ต่อกัน”

เพราะว่าเลื่อนระดับไปชั้นจิตวิญญาณได้จึงตัดขาดความเป็นศิษย์อาจารย์ต่อกัน!

ในจุดนี้ทำเอาทั้งห้าคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับจิ่งเทียนขึ้นใหม่อีกอย่างหนึ่ง

ดูท่า คนผู้นี้จะเป็นศิษย์ที่ไร้จิตใจ ล้วนแต่ไม่หวนนึกถึงความสัมพันธ์เมื่อครั้งเก่าก่อน “เช่นนั้นผู้อาวุโสสูงสุดตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” จ้าวหนานซิงพลันถามขึ้นอีกครั้ง เซี่ยเทียนอู๋กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ผู้อาวุโสสูงสุดแต่ไหนแต่ไรก็เห็นจิ่งเทียนเป็นเหมือนลูกของตน ทำการสั่งสอนสุดกำลัง เกรงว่าเขาคงจะคาดไม่ถึงว่า จะมีวันหนึ่งที่ลูกศิษย์ผู้น่าภูมิใจของตนจะอดรนทนไม่ไหวที่จะตัดขาด ความสัมพันธ์กับตน หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็เก็บตัวเงียบมาโดยตลอดไม่ได้โผล่หน้ามาสามปีแล้ว”

ถึงกับมีผลสรุปเช่นนี้?

ทั้งห้าคนมองหน้าสบตากัน

เหมยจื่อจ้งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขบริมฝีปาก แล้วกล่าวว่า “ทำไมจะต้องตัดขาดความสัมพันธ์ให้ได้กัน? ระหว่างการตัดขาดความสัมพันธ์กับการรับศิษย์ เป็นของตัวเองก็ไม่ได้สวนทางกัน”

“ใช่น่ะสิ!” เซี่ยเทียนอู๋ส่ายหน้าขึ้นอย่างทอดถอนใจ “การออกจากการเป็นศิษย์อาจารย์ที่ว่าก็แค่การจบศึกษาแล้วออกไปแสดงความสามารถด้วยตัวเองเท่านั้น ต่อให้จะตั้งตัวเป็นอาจารย์รับศิษย์เองก็เหมือนกันคือ สามารถเคารพกตัญญูต่ออาจารย์ได้หรือบางทีอาจเป็นเพราะการทำลายความสัมพันธ์ของจิ่งเทียนนี้เองที่ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกเสียใจ”

“เช่นนั้นตอนนี้จิ่งเทียนผู้นี้อยู่ในโรงโอสถมีสถานะเป็นเช่นไร” มู่ชิงเกอมองไปทางเซี่ยเทียนอู๋ เซี่ยเทียนอู๋นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เขาช่วงนี้ กำลังเตรียมตัวทดสอบเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้กล่าวถามอะไรต่ออีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!