Skip to content

พลิกปฐพี 148-4

ตอนที่ 148-4

บอกว่าจะสั่งสอนเจ้า ก็ไม่มีทางไว้หน้าเจ้า!

พอคำพูดของเขากล่าวจบสีหน้าของจิ่งเทียนก็พลันเปลี่ยนสีในทันที!

เขาไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่าฟังออกว่าคำกล่าวนี้มีไว้เพื่อใช้กับเขาโดยเฉพาะ

ในสาขาหลัก มีใครไม่รู้ว่าเขากำลังจะเข้าร่วมการทดสอบในการเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโส? ตอนนี้กลับเอาการประลองโอสถส่วนตัวกับการทดสอบรวมเป็นอย่างเดียวกัน ถ้าหากเขาชนะก็ยังดี แต่ถ้าหากแพ้เล่า? ก็ต้องสูญเสียคุณสมบัติในการเลื่อนขั้นไปตลอดกาล?

“ผู้อาวุโสเซี่ย นี่เป็นคำกล่าวของหัวหน้าโรงโอสถจริงๆ หรือ?” จิ่งเทียนแววตาดำทะมึนจ้องมองไปยังเซี่ยเทียนอู๋

เซี่ยเทียนอู๋มองไปทางเขาสีหน้าเรียบเฉย กล่าวว่าอย่างมั่นใจ “แน่นอน”

“การประลองโอสถกับการทดสอบ ทำไมถึงได้รวมเป็นอย่างเดียวกัน?” จิ่งเทียนกล่าวอย่างมีอารมณ์ คนที่ต้องการเลื่อนชั้นเป็นผู้อาวุโสนั่นคือเขา ไม่ใช่เจ้าเด็ก หน้าใหม่ที่มาจากสาขาย่อย! เขาแพ้แล้วสูญเสียคุณสมบัติในการเป็นผู้อาวุโส แต่ว่าหากเจ้าเด็กนั่นแพ้ แล้วก็จะมีผลกระทบอันใดกัน?

เซี่ยเทียนอู๋ก็พลันกล่าวว่าอย่างเป็นการเป็นงาน “ถ้าหากเจ้าไม่พอใจก็สามารถไปชี้แจงกับท่านหัวหน้าได้ ข้าเพียงแค่เป็นคนประกาศให้เจ้าทราบเท่านั้น” ระหว่าง ที่พูดเขาก็หันไปกล่าวแย้มยิ้มกับจิ่งเทียน “หรือจะบอกว่าจิ่งเทียนเจ้าไม่มั่นใจในความสามารถของตน?”

แววตาของจิ่งเทียนนิ่งชะงักไป ไม่รู้จะกล่าวอะไรไปชั่วขณะ

“ใช่แล้ว ศิษย์พี่จิ่งเทียน ประลองก็ประลองซิ เจ้าเด็กนั้นแน่นอนว่าสู้ท่านไม่ได้!”

“ศิษย์พี่จิ่งเทียนข้าสนับสนุนท่าน!”

“ศิษย์พี่จิ่งเทียนดึงความน่าเกรงของพวกเราสาขาหลักออกมา สอนบทเรียนดีๆ ให้เจ้าเด็กจากสาขาย่อยสักบทหนึ่ง”

คำกล่าวที่ดังมาจากรอบด้านก็ทำเอาจิ่งเทียนหมดโอกาสที่จะกล่าวปฏิเสธต่อไปอีก ไม่เช่นนั้นก็จะแสดงว่า เขาเกรงกลัว ขลาดเขลา ยังไม่ทันได้ประลองก็มาแพ้ แล้ว!

จิ่งเทียนนิ่งเงียบไปไม่กล่าววาจาอีก เซี่ยเทียนอู๋หันมองไปทางมู่ชิงเกอพลางถามว่า “มู่ชิงเกอเจ้ามีความเห็นอะไรหรือไม่?”

มู่ชิงเกอส่ายหน้าเบาๆ ไม่มีท่าทางติดขัดชักช้าแม้แต่น้อย

ท่าทีของนางก็ทำให้เซี่ยเทียนอู๋พอใจเป็นอย่างมาก

เขากล่าวกับทั้งสองคนว่า “ดี ในเมื่อพวกเจ้าสองคนรับทราบชัดเจนแล้ว ก็ไปเตรียมตัวซะ วัตถุดิบสามารถไปเบิกที่สวนสมุนไพร ส่วนหม้อปรุงยาก็สามารถใช้ของตัวเองได้ สำหรับตัวโอสถจะเป็นโอสถชนิดไหน เพื่อความเท่าเทียมกัน พรุ่งนี้ก่อนการประลอง ก็จะเป็นท่านหัวหน้าที่กำหนดมันด้วยตัวเอง”

เซี่ยเทียนอู๋พอกล่าวจบก็พลันนั่งขึ้นไปบนหลังนกกระเรียนอีกครั้งแล้วจากไป

จากนั้นจิ่งเทียนก็สบถเสียงเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนจะพาสุนัขรับใช้ทั้งสองเดินจากไป

ตัวต้นเหตุของเรื่องราวก็ได้จากไปแล้ว มู่ชิงเกอแน่นอนว่าก็ต้องจากไปพร้อมจ้าวหนานซิงและจูหลิง

หลังจากรอจนคนของทั้งสองฝ่ายเดินจากไปแล้ว ตอนนั้นเองก็มีคนเดินไปด้านข้างของเจ๋อซิ่ว ใช้มือตบไปที่บ่าของเขาพลางกล่าวว่าอย่างหยอกเย้า “วันพรุ่งนี้ตั้งการเดิมพันขึ้นอีกดีหรือไม่ บางทีอาจจะเป็นโอกาสแก้ตัว” ใครจะไปรู้ เจ๋อซิ่วพลันสีหน้าเปลี่ยนสี เร่งรีบกล่าวว่า “ยังเอาอีกรึ! ข้าไหนเลยจะมีเงินทุนเหลืออีก?”

มีคนกล่าวยุยงขึ้นต่อ “การเดิมพันก็ไม่ได้มีแต่แพ้เสมอไป พวกเราก็เป็นศิษย์ของโรงโอสถ จะหาเงินก็ไม่ใช่ว่าง่ายดายหรอกหรือ? เอายาจำนวนหนึ่งไปประมูลที่หอสรรพสิ่งหรือว่าไปช่วยคนปรุงยา นี่ก็ไม่ใช่ลู่ทางที่สามารถหาเงินมาได้เรื่อยๆ แล้วหรอกรึ? ”

เจ๋อซิ่วขมวดคิ้วเข้าหากันราวกับว่ากำลังเกิดการปะทะกันระหว่างความคิดสองฝั่ง

ท้ายที่สุด เขาก็กัดฟันพลางกล่าวว่าอย่างตัดสินใจ “ได้! ตกลง! ข้าตอนนี้ก็ขอตั้งการเดิมพันของการประลองในวันพรุ่งนี้ แน่นอนข้าเป็นเจ้ามือเอง!”

ชั่วขณะนั้นก็พลันมีคนจำนวนไม่น้อยรุมล้อมเข้ามา

ราวกับว่าพวกเขาก็อยากที่จะใช้จิ่งเทียนทวงคืนเงินที่สูญเสียไปในวันนี้คืนกลับมา!

พวกมู่ชิงเกอสามคนตอนที่กลับไปยังตำหนักย่อยที่พักชั่วคราวของศิษย์สาขาย่อย ยังไม่ทันได้เข้าไปด้านใน ก็เห็นเข้ากับ เหมยจื่อจ้งกับซางจื่อซูเดินรุดหน้าเข้ามา ที่ด้านหลังของพวกเขาก็ยังมีศิษย์สาขาย่อยจำนวนไม่น้อยที่แอบลอบมองอยู่

“มีเรื่องอะไรกันรึ? ทำไมอยู่ๆ ถึงมีข่าวเรื่องการประลองในวันพรุ่งนี้ของเจ้ากับจิ่งเทียน?” เหมยจื่อจ้งถามมู่ชิงเกอออกไปตรงๆ

ซางจื่อซูถึงแม้จะไม่ได้กล่าววาจา แต่แววตาสอบถามก็เหมือนกับเหมยจื่อจ้งราวกับออกมาจากที่เดียวกัน

พอเจอกับการสอบถามของทั้งสองคน มู่ชิงเกอกับจ้าวหนานซิงก็สบตากันหนหนึ่ง ล้วนแต่ไม่ได้กล่าวอันใด

สุดท้ายก็ยังเป็นจูหลิงที่เปิดปากออกมา “ให้ข้าพูดเองก็แล้วกัน” ต่อจากนั้นนางก็เอาเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่มู่ชิงเกออยู่ในหอสติปัญญาเล่าออกมาอย่างละเอียดหน หนึ่ง รวมถึงเรื่องการเดิมพัน ทั้งยังมีเรื่องที่มู่ชิงเกอทำลายสถิติ การหาเรื่องของจิ่งเทียน เรื่องที่การประลองโอสถของทั้งสองเพราะคำพูดประโยคเดียวของท่านเจ้าสำนัก กลายเป็นการแย่งชิงตำแหน่งผู้อาวุโสของโรงโอสถ

รอจนเหมยจื่อจ้งกับซางจื่อซูฟังจบแล้ว ทั้งสองคนก็นิ่งชะงักไปเล็กน้อย

ราวกับคิดไม่ถึงว่า สามคนนี้ที่แค่ออกไปเพียงครึ่งวันก็จะถึงกับเกิดเรื่องเกิดราวมากมายขนาดนี้

“พอกล่าวเช่นนี้ หากชิงเกอชนะขึ้นมา ก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถกลาง?” เหมยจื่อจ้งอยู่ๆก็ถามขึ้น บนใบหน้าของเขาก็ดูจะสลับซับซ้อนอยู่ไม่น้อย เขาพลันค้นพบว่าเด็กสาวตรงหน้าผู้นี้พัฒนาไปได้เร็วมาก ทั้งยังสมบูรณ์แบบมาก สมบูรณ์แบบจนทำให้เขารู้สึกต้อยค่า ไม่กล้าคิดเผชิญหน้ากับความรู้สึกคลุมเครือในใจของตัวเองอีกต่อไป

ไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเหมยจื่อจ้ง มู่ชิงเกอทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “จะเป็นผู้อาวุโสหรือไม่ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ก็จะต้องเอาชนะจิ่งเทียนผู้นั้นเสียก่อน”

“เจ้าแน่นอนว่าจะต้องชนะ” ซางจื่อซูกล่าวว่าอย่างมั่นใจ

มู่ชิงเกอปรายตามองไปที่นางหนหนึ่ง กล่าวยิ้มๆว่า “เช่นนั้นก็ต้องขอกล่าวขอบคุณศิษย์พี่ก่อนแล้ว”

“ศิษย์พี่มู่พวกเราเชื่อมั่นในตัวท่าน! สั่งสอนคนของสาขาหลักแทนพวกเราสาขาย่อยให้หนักๆ พรุ่งนี้พวกเราจะไปให้กำลังใจท่าน!” ศิษย์สาขาย่อยที่แอบมุงกันอยู่หลังประตูตำหนัก ก็พากันตะโกนให้กำลังใจมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นจางๆ ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ

มู่ชิงเกอถึงแม้จะเข้าสำนักมาช้ากว่าพวกเขา แต่ว่าตอนนี้กลับมีฐานะเป็นถึงนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณแล้ว

คำว่าศิษย์น้องที่ใช้เรียกเมื่อกาลก่อนก็กระดากปากที่จะกล่าวออกมาอีก ก็เลยพากันเปลี่ยนเป็นเรียกศิษย์พี่แทน

มีเพียงเหมยจื่อจ้ง จ้าวหนานซิง ซางจื่อซู จูหลิงสี่คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับมู่ชิงเกอ ที่ยังคงเรียกนางว่าศิษย์น้องมู่มาโดยตลอด

“ใช่แล้ว ข้าก่อนหน้านี้ชนะเดิมพันมาได้ ได้เงินมาก้อนใหญ่ทีเดียว หลังจากนี้สามวัน พวกเราก็จะรํ่ารวยกันแล้ว พอถึงตอนนั้นจะต้องฉลองดีๆ กันสักรอบหนึ่ง” จ้าวหนานซิงอยู่ๆ ก็กล่าวออกมา ซางจื่อซูมองไปทางเขาหนหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าชนะได้เงินมา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา?” นางก็ไม่ค่อยเข้าใจกับคำกล่าวของจ้าวหนานซิงที่ว่า ‘พวกเราก็จะรํ่ารวยแล้ว’

จ้าวหนานซิงกล่าวแย้มยิ้ม “ข้าในเมื่อรู้ว่าการเดิมพันครั้งมีแต่ชนะไม่มีแพ้ ผลลัพธ์ดีงามเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ลืมทุกคน ข้าก็เลยแบ่งเงินออกไปลงเดิมพันให้พวกเจ้าสองคนอัตรา 1 ต่อ 50 รอสามวันหลังจากนี้ พวกเจ้า

สองคนก็จะได้ตั๋วเงินคนละห้าพันตำลึงทอง”

เหมยจื่อจ้งกับซางจื่อซูสบตากันอย่างประหลาดใจ ทั้งสองคนก็ล้วนแต่เป็นคนนิ่งๆ เงียบขรึมไม่ค่อยสุงสิงกับใคร สำหรับการเดิมพันแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก แต่ว่าก็ยังฟังเข้าใจถึงความหมายของตั๋วเงินห้าพันตำลึงทองอยู่

เงินจำนวนมากขนาดนี้ ถ้าหากอยู่ที่แคว้นอวี๋ หรือว่าเขตแดนของแคว้นระดับสาม ก็เพียงพอให้ชาวบ้านทั่วไป สามารถรํ่ารวยไปได้ชั่วชีวิต ไปจนถึงลูกๆ ของพวกเขาก็ไม่ต้องผ่านวันคืนอันยากลำบากอีก สามารถมีกินมีใช้ได้อย่างสุขสบายแล้ว

“เช่นนั้นแล้วส่วนแบ่งของข้าเล่า?” มู่ชิงเกอแววตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง มองไปทางจ้าวหนานซิง

“เอ!” จ้าวหนานซิงมุมปากยกสูงขึ้น เขาก็ลืมไปเลยว่าไม่ได้ลงเดิมพันให้มู่ชิงเกอ! ชั่วขณะนั้นเขาก็พลันยิ้มแห้งๆ ขึ้น “ข้าบังเอิญหลงลืมไป แต่ว่าศิษย์น้องวางใจ ของของข้าก็เป็นของของเจ้า รอได้ตั๋วเงินแล้ว ข้าเอาให้เจ้าก็ได้แล้ว”

มู่ชิงเกอพยักหน้ากล่าวว่า “พูดได้ดี! ของของท่านก็คือของของข้า เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าก็ไม่ได้ต้องการมากมายอะไร ตั๋วทองที่เป็นของท่านส่วนนั้น ข้าเอาสองใน

สามก็พอแล้ว”

“อะไรนะ! สองในสาม!” จ้าวหนานซิงสีหน้าเปลี่ยนสี ร้องเสียงหลง

มู่ชิงเกอเอาไปสองในสาม เช่นนั้นเขาก็ต้องเหลือเพียงเงินต้นทุนแล้ว ‘ไม่ต้องโหดเหี้ยมใส่กันขนาดนั้นได้หรือไม่!’ จ้าวหนานซิงมองไปทางมู่ชิงเกอแววตาอ้อนวอน

ส่วนมู่ชิงเกอก็เลิกคิ้วใส่เขา ราวกับกำลังจะกล่าวว่า ‘เอาข้าไปเดิมพัน แน่นอนว่าต้องตอบแทนในราคาที่เหมาะสม’

‘ราคานี้ก็ไม่โหดเกินไปหน่อยรึ’ จ้าวหนานซิงกลืนนํ้าลายลงอึกๆ ท่าทางน่าสงสารนัก

คิ้วของมู่ชิงเกอก็พลันเลิกสูงขึ้นไปอีก รอยยิ้มที่มุมปากก็ยิ่งลึกขึ้น ‘ถ้าหากยังต่อรองราคา หนึ่งในสามส่วนของเจ้าก็คงไม่เหลือแล้ว’

จ้าวหนานซิงลมหายใจติดขัด กุมกระเป๋าเงินของตนอย่างเจ็บปวดใจ กล่าวตาละห้อยว่า “ดูท่า ข้าคนที่ดำเนินการเรื่องราวทั้งหมดท้ายที่สุดแล้วจะไม่ได้ ประโยชน์อะไรเลย”

ท่าทางของเขาเช่นนี้ เปรียบกับท่าทีมากมารยาทนอบน้อมในตอนปกติแล้ว กลับให้ความรู้สึกน่าเข้าหา ให้ความรู้สึกใกล้ชิดขึ้นไปอีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!