ตอนที่ 149-1
โลกนี้เขาอาศัยหน้าตากินข้าวกัน
“ศิษย์น้องซาง เจ้ามาแล้วรึ?” เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันลอยเข้ามา ทำลายบทสนทนาของเหล่าศิษย์สาขาย่อย
กลุ่มคนมองตามที่มาของเสียงไป ก่อนจะเห็นเข้ากับคนผู้หนึ่งที่เดินรุดหน้าเข้ามา แล้วก็พลันรู้ประหลาดใจขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง
คู่ประลองที่แต่เดิมควรจะได้พบกันบนสนามประลอง ตอนนี้กลับมาปรากฏที่นี่ เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มสง่างาม พลางจ้องมองไปทางซางจื่อซู เพียงแต่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้นกลับทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวอยู่ไม่น้อย
จิ่งเทียนเดินไปยังด้านหน้าของซางจื่อซู ดวงตาหยาดเยิ้มทั้งสองข้างจ้องมองไปทางนาง ราวกับว่า ชั่วขณะนี้ในสายตาของเขามีแต่นางเพียงผู้เดียว ยังดีที่สถานที่ที่พวกเขาอยู่ตรงจุดทางเข้าพอดี จากทิศทางแล้วก็ถือว่าเป็นมุมอับ ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนมากมายนัก
“ศิษย์น้องซาง ข้าก็รู้ว่าวันนี้เจ้าจะต้องมาแน่ ข้าตั้งใจเลือกที่นั่งดีๆ ไว้ให้เจ้าเป็นพิเศษแล้ว ไม่สู้ข้าพาเจ้าไปดีหรือไม่?” ในแววตาคู่นั้นของจิ่งเทียนก็ราวกับว่าเต็มไปด้วยหมู่ดาว เปล่งแสงระยิบระยับไปมาดุจตั้งกลุ่มดาวบนฟากฟ้า
ภายใต้สายตาเช่นนี้ เกรงว่าคงจะมีหญิงสาวไม่น้อยที่ถูกท่าทีหยาดเยิ้มอ่อนหวานเช่นนี้ของเขาทำให้จิตใจอ่อนไหว
หรืออาจจะกล่าวได้ว่า สามารถถูกจิ่งเทียนปฏิบัติอย่างอ่อนโยนด้วยเช่นนี้ก็เป็นความฝันในใจของหญิงสาวหลายๆ คน
เพียงแต่ว่า ซางจื่อซูไม่ได้ตอบกลับเขา เพียงแต่เบี่ยงกายหลบน้อยๆ แสดงท่าทีของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน
การปฏิเสธเช่นนี้ทำเอาส่วนลึกในแววตาคู่นั้นของจิ่งเทียนปรากฏไอเย็นยะเยือกขึ้นมาสายหนึ่ง เขาตั้งแต่เล็ก ก็มีพรสวรรค์สูงส่ง แน่นอนว่าต้องมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตน แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงแต่คนอื่นเอาใจเขา ตามใจเขา น้อยนักที่จะมีคนขัดใจเขา สำหรับหญิงสาวแล้ว ซางจื่อซูก็ถือเป็นคนแรกที่ไม่ยอมสนใจมองเขาตรงๆ
และท่าทางเย็นชาดุจนํ้าแข็งของนางนี้ ก็ยิ่งทำให้จิ่งเทียนเกิดความต้องการอยากสยบ ยิ่งทำให้เขาอยากครอบครองนาง!
“ศิษย์น้องซางทำไมจะต้องทำตัวเฉยชาเช่นนี้กับข้าด้วย? เป็นข้าที่ทำอะไรผิดไปหรือว่าเป็นใครบางคนที่บอกอะไรบางอย่างต่อศิษย์น้องซางจนทำให้เจ้าเข้าใจข้าผิด?” จิ่งเทียนกล่าวแย้มยิ้ม ท่าทางราวกับเป็นคนละคนในตอนปกติ แต่ความนัยที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูด กับแววตาที่มองไปทางมู่ชิงเกอในตอนสุดท้าย ก็สามารถบ่งบอกได้ว่าเขายังคงเป็นจิ่งเทียนคนที่หยิ่งทะนงผู้นั้นอยู่!
พอได้เห็นเข้ากับแววตาของจิ่งเทียน ซางจื่อซูก็ไม่กล้าดึงมู่ชิงเกอเข้ามาอีก ทำได้เพียงกัดริมฝีปากกล่าวราวกับถูกบังคับว่า “ข้ากับท่านไม่คุ้นเคยกัน”
“ไม่คุ้นเคย?” รอยยิ้มตรงมุมปากของจิ่งเทียนยิ่งลึกขึ้นไปอีก ก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่งพลางกล่าวว่า “มีคนกล่าวเอาไว้ว่าการพบครั้งแรกคือคนแปลกหน้า การพบครั้งที่สองคือคนรู้จัก เจ้าถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในโรงโอสถกลาง แต่ข้าก็ยังนับว่าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า ระหว่างศิษย์พี่และศิษย์น้องจะถือว่าไม่คุ้นเคยกันได้อย่างไร?”
การกล่าวบีบคั้นของเขา ทำเอาสีหน้าอารมณ์ของซางจื่อซูกลายเป็นเยียบเย็นขึ้นมา ใบหน้ากลายเป็นเย็นชาขึ้น
ถ้าหากที่นี่ไม่ใช่โรงโอสถกลาง ถ้าหากที่นี่ไม่ใช่อาณาจักรเซิ่งหยวน นางก็คงสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะอยู่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอยู่ที่นี่อีก?
การบีบคั้นของจิ่งเทียนก็ทำเอาซางจื่อซูต้องถอยให้หนึ่งก้าว
ท่าทางลำบากใจของนางก็ถูกศิษย์สาขาย่อยเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด ตาเห็นเทพธิดานํ้าแข็งของสาขาย่อยถูกบีบคั้นเช่นนี้ในใจของศิษย์สาขาย่อยก็เต็มไปได้ความเกรี้ยวกราดแต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะกล่าวมันออกมา
พวกเขาก็พากันส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังมองไปยังแผ่นหลังของมู่ชิงเกอ
ราวกับว่าตอนนี้พวกเขาคิดว่ามีเพียงมู่ชิงเกอเท่านั้นถึงจะสามารถช่วยศิษย์พี่ซางออกมาจากเงื้อมมือมารได้!
เพียงแต่ว่ามู่ชิงเกอยังไม่ทันได้ขยับ เหมยจื่อจ้งกลับเดินออกไปก่อนแล้วหนึ่งก้าว ขวางด้านหน้าสายตาของจิ่งเทียนเอาไว้ เขาท่าทางนิ่งขรึม แววตาสงบไร้คลื่นลม กล่าวไปทางจิ่งเทียนว่า “ศิษย์น้องซางแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคนเงียบขรึม ไม่ชอบพูดคุยกับคนนอก ขอศิษย์พี่จิ่งเทียนโปรดอภัยด้วย”
เขาแต่เดิมคิดว่าการพูดวาจานอบน้อมสักหลายประโยค จะสามารถจัดการเรื่องพวกนี้ได้
แต่ว่าจิ่งเทียนก็ไม่ได้คิดจะสนใจอะไร การออกหน้าของเหมยจื่อจ้งก็เพียงทำให้แววตาของเขาเพิ่มความเย้ยหยันมากขึ้นก็เท่านั้น กล่าวอย่างดูแคลนว่า “ศิษย์น้องผู้นี้เจ้าเป็นใครรึ?”
เหมยจื่อจ้งในเหล่าศิษย์สาขาย่อย ก็ถือเป็นบุคคลที่นับได้ว่าเป็นเทพเซียน
ตอนนี้มาถูกท่าทางเช่นนี้ของจิ่งเทียนกล่าวถามเข้า ชัดเจนว่าถือเป็นการหลู่เกียรติอย่างหนึ่ง ศิษย์สาขาย่อยต่างพากันมีแววตาเกรี้ยวกราดขึ้นมา แต่ก็ยังเกรงกลัวที่ว่าที่นี่เป็นสาขาหลักจึงยังไม่กล้าออกปากช่วยเหลือ
ส่วนเหมยจือจ้งน่ะรึ?
เขาก็เหมือนกับไม่ได้ใด้รับผลกระทบอะไร มุมปากยังคงประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มจางๆ ท่าทางเรียบเฉยล่องลอย ดุจหมอกควันนั่น เปรียบกับจิ่งเทียนที่บีบคั้นคนแล้ว ชัดเจนว่าชวนให้ผู้คนรู้สึกน่าคบหากว่ายิ่งนัก
“ข้าชื่อเหมยจื่อจ้ง” เหมยจื่อจ้งกล่าวว่า
“เหมยจื่อจ้ง? ไม่เคยได้ยินมาก่อน” จิ่งเทียนเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ หน้าตาก็ไม่ได้มีท่าทีอ่อนหวานเหมือนตั้งแต่เริ่มในตอนที่สนทานากับซางจื่อซู
เขาก็ราวกับว่าจะยั่วโทสะของเหมยจื่อจ้ง แต่ว่าเหมยจื่อจ้งทำเพียงยิ้มขึ้นน้อยๆ ก่อนจะกล่าวแนะนำตัวเองขึ้นอีกครั้ง “ข้าเป็นศิษย์พี่สำนักเดียวกันกับจื่อซู”
ประโยคนี้ก็ถือเป็นการแสดงฐานะที่แท้จริงของเขา แล้วก็เป็นการบอกจิ่งเทียนว่าการที่เขายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของซางจื่อซูก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว คำกล่าวที่ดูไร้ไฟโทสะนี้กลับทำเอาจิ่งเทียนรู้สึกโมโหยิ่งนัก
แววตาทั้งสองข้างของเขาหรี่เล็กลงพร้อมกับกวาดตามองเหมยจื่อจ้งด้วยสายตาเย็นหนหนึ่ง สบถขึ้นเสียงเย็น ไม่สนใจเขาอีก ก่อนจะหันกลับไปกล่าวกับซางจื่อซู “ศิษย์น้องซาง ทรัพยากรของสาขาหลักก็มีมากมายกว่าสาขาย่อยหลายเท่านัก แม้แต่ผู้อาวุโสที่ชี้แนะการสอนก็ยังเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ ศิษย์น้องซางไม่สู้อาศัยโอกาสนี้รั้งอยู่แล้วขอเป็นศิษย์กับอาจารย์คนใหม่เป็นอย่างไร? ข้าอีกไม่นานก็จะเลื่อนชั้นเป็นผู้อาวุโส ก็ถือว่ามีสิทธิ์สามารถรับลูกศิษย์ได้ ศิษย์น้องซางไม่สู้เข้ามาเป็นศิษย์ของข้า เดี๋ยวข้าจะตั้งใจถ่ายทอดความรู้ให้เจ้าอย่างดีเอง”
ประโยคนี้ก็พูดเกือบชัดเจนแล้วว่าให้ซางจื่อซูถอนตัวออกจากการเป็นศิษย์ของอาจารย์คนเดิม
อีกทั้ง เขายังให้ซางจื่อซูกราบตัวเองเป็นอาจารย์นี้ก็ถือว่ามีความมั่นใจเกินไปแล้ว!
พอได้ฟังประโยคนี้ มู่ชิงเกอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขำขึ้นมา
นางพอหัวเราะขึ้น ท่าทีอารมณ์ของจิ่งเทียนก็พลันกลายเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมา เขาครั้งนี้ที่มาถึงแม้ว่าจะมาเพราะซางจื่อซู แต่ก็ยังลอบสังเกตท่าทีของมู่ชิงเกออยู่เงียบๆ ตั้งแต่เริ่มแรกก็เอาแต่นิ่งเฉย แต่ตอนนี้อยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา ความรู้สึกเช่นนี้ทำเอาจิ่งเทียนรู้สึกระแวดระวังขึ้น บางทีแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ชัดเจนว่า ในระหว่างที่เขาไม่รู้ตัว เขาก็ได้เห็นมู่ชิงเกอเป็นศัตรูในระดับเดียวกันกับตัวเองไปแล้ว
สมควรจะกล่าวได้ว่า ในหมู่ศิษย์สาขาย่อยที่มาสาขาหลักในครั้งนี้ ก็มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ทำให้เขานั้นสนใจได้
หนึ่งก็คือหญิงงามที่เขาเพียงได้พบครั้งเดียวก็อยากจะได้มาไว้ในครอบครอง ซางจื่อซู
อีกหนึ่งคือมู่ชิงเกอนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณที่อยู่ในขั้นเดียวกัน อีกทั้งพรสวรรค์ยังนับว่าร้ายกาจในระดับเดียวกัน ไปจนขนาดอาจจะมากกว่าตัวเขา!
“เจ้าหัวเราะอะไร?” จิงเทียนกล่าวเสียงขรึม
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว กล่าวว่าอย่างราบเรียบไร้อารมณ์อันใด “ทำไม ข้าหัวเราะไม่ได้รึ?”
ดวงตาทั้งสองข้างของจิ่งเทียนหรี่เล็กลง ในแววตาวาววับด้วยประกายที่ดูอันตราย มู่ชิงเกอพลันหันไปกล่าวทางซางจื่อซู “ศิษย์พี่ซางพวกเราก็เกือบจะลืมไปแล้วว่า ศิษย์พี่จิ่งเทียนท่านนี้หลังจากสำเร็จวิชาแล้วก็ทรยศอาจารย์ออกจากการเป็นศิษย์ตัดขาดความสัมพันธ์กับอาจารย์ของตน”
การถากถางในคำกล่าวนั่นก็ทำให้แววตาของจิ่งเทียนเกิดไอสังหารขึ้นมา
ส่วนซางจื่อซูที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่สนใจเขาแต่หลังจากได้ฟังคำพูดของมู่ชิงเกอแล้วก็พลันกล่าวอย่างตั้งใจว่า “ข้าก็ไม่ใช่ศิษย์ที่ไร้จิตใจเช่นนั้น ไม่มีทางทรยศอาจารย์และก็ยิ่งไม่มีทางรั้งอยู่ที่สาขาหลัก” นี่ก็เป็นคำพูดยาวๆ เพียงประโยคเดียวที่นางพูดหลังจากเข้ามาในสาขาหลัก
แต่มันกลับเป็นคำพูดที่ตีแสกหน้าจิ่งเทียนได้อย่างรุนแรงนัก
“ศิษย์พี่หญิงก็ช่างเป็นคนที่มีจิตใจดีงามนัก” มู่ชิงเกอกล่าวชมขึ้นด้วยรอยยิ้มตาหยีประโยคหนึ่ง
คำชมปนหยอกเย้าประโยคนี้ก็ทำเอาดวงตาทั้งสองข้างของซางจื่อซูพลันแดงระเรื่อขึ้นมา เผยท่าทางเขินอายออกมาต่อหน้าผู้คนเป็นครั้งแรก ถึงจะมีให้เห็นเพียง พริบตาเดียว แต่กลับทำให้คนไม่น้อยที่มองเห็นเหม่อลอยตกอยู่ในภวังค์
ท่าทางส่งรับกันของทั้งสองคนก็ยิ่งทำให้จิ่งเทียนในอกโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ชิงชังจนอยากจะกระชากเอามู่ชิงเกอมาสั่งสอน ณ เดี๋ยวนั้น!
พอชมเชยซางจื่อซูแล้ว มู่ชิงเกอก็หันไปมองทางจิ่งเทียน กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “การประลองก็จะเริ่มต้นแล้ว ศิษย์พี่จิ่งเทียนไม่ต้องไปเตรียมตัวหรอกหรือ? ขอเตือนด้วยความหวังดีประโยคหนึ่ง ถึงแม้จะอยากได้คนมีความสามารถหวังว่าจะรับเอาไว้เป็นศิษย์ได้โดยเร็ว แต่นั้นก็ต้องเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสก่อนถึงจะถูกต้อง”
จิ่งเทียนสีหน้าดำทะมึน สะบัดแขนเสื้อพร้อมกับกล่าวว่า “มู่ชิงเกอ เจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะข้าได้ขนาดนั้นเลยรึ? จากที่ข้ารู้มาเจ้าก็เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณก่อนหน้านี้ได้ไม่นาน แต่ตัวข้านั้นก็สามารถเข้าสู่การเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณได้มาหลายปีแล้ว! ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์มากเพียงไร แต่การหลอมโอสถก็ถือเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง ประสบการณ์ของเจ้าสูงไม่เท่าข้า แล้วยังจะมีหน้ามากล่าวอวดดีกับข้าอีกรึ?”
“อวดดี? ไม่เจ้าผิดแล้วข้าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยอวดดี” มู่ชิงเกอกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ข้าก็เพียงแค่กล่าวตามความจริงเท่านั้น ส่วนผลลัพธ์ของการประลองจะ ออกมาเช่นไร ข้าเจ้าไหนเลยจะต้องมาเปลืองนํ้าลายกันตอนนี้ด้วย?”
แววตาของจิ่งเทียนทอแววเย็นยะเยือกขึ้นสายหนึ่ง ตั้งใจจ้องมองไปยังตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้กล่าววาจาออกมา “ดี ดีมาก ข้าจะรอเจ้า”
หลังจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป