Skip to content

พลิกปฐพี 149-2

ตอนที่ 149-2

โลกนี้เขาอาศัยหน้าตากินข้าวกัน

เขาพอจากไป เหล่าศิษย์ของสาขาย่อยก็พลันถอนหายใจโล่งอกขึ้น ในขณะเดียวกันแววตาที่มองไปยังมู่ชิงเกอก็ยังเพิ่มความเชื่อมั่นขึ้นอีกหลายส่วน ราวกับว่า เรื่องราวเมื่อครู่นี้ สามารถทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความปลอดภัยที่แผ่ ออกมาจากตัวของมู่ชิงเกอกับเหมยจื่อจ้ง โดยเฉพาะมู่ชิงเกอ เพียงไม่กี่ประโยคก็บีบให้จิ่งเทียนต้องจากไป ชัดเจนว่าเป็นบุคคลต้นแบบของพวกเขา!

หลังจากจิ่งเทียนจากไปไกลแล้ว ซางจื่อซูถึงย่อกายคำนับไปทางทั้งสองคน “ขอบคุณศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสอง”

เหมยจื่อจ้งพยุงนางขึ้น กล่าวปลอบโยนว่า “ไม่เป็นไร เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

มู่ชิงเกอก็พยักหน้าตามขึ้นมาด้วย อยากให้ซางจื่อซูไม่ต้องกังวลใจ

“คนผู้นั้นดูท่าจะสนใจจื่อซูเข้าจริงๆ” จูหลิงสีหน้าค่อนข้างกังวลใจ

คำพูดของนางประโยคนี้ก็ทำเอาบรรยายกาศรอบข้างตึงเครียดลงอีกครั้ง

ชั่วขณะนั้นเองจ้าวหนานซิงก็พลันเดินกลับมาถึง เขาไม่รู้ว่าตอนที่ตัวเองจากไปเกิดเรื่องอะไร ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มท่าทางอารมณ์ดี “พวกเจ้าคงไม่รู้ว่าตอนที่ข้าเดิมพันให้ศิษย์น้องมู่เป็นฝ่ายชนะ คนจำนวนหนึ่งที่คิดว่าจิ่งเทียนจะเป็นคนชนะก็ลังเลกันไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแบ่งเงินเดิมพันออกไปอีกส่วนลงเดิมในฝั่งของศิษย์น้องมู่ พวกเจ้าว่าน่าขันหรือไม่? ในใจของพวกเขาอดรนทนไม่ไหวที่จะให้ศิษย์น้องมู่พ่ายแพ้ แต่ก็ยังกลัวว่าจะต้องสูญเสีย เลยอดไม่ได้ที่จะต้องทำเช่นนี้ นี่…พวกเจ้าเป็นอะไรกัน?” พอเดินเข้ามาใกล้ๆ จ้าวหนานซิงก็สัมผัสได้ถึงความไม่ถูกต้องของกลุ่มคนได้อย่างรวดเร็ว

เหมยจื่อจ้งเงยหน้ามองไปทางเขา กล่าวนํ้าเสียงราบเรียบว่า “เมื่อครู่จิ่งเทียนมาที่นี่”

“เขามาที่นี่?” จ้าวหนานซิงแววตาหรี่เล็กลง มองไปทางมู่ชิงเกอราวกับจะตรวจสอบว่านางเกิดเรื่องอะไรหรือไม่

มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นเอ่ย “เป้าหมายของเขาไม่ใช่ข้า”

“ไม่ใช่เจ้า?” จ้าวหนานซิงขมวดคิ้วขึ้น

อารมณ์โกรธบนใบหน้าของจูหลิงก็ยังไม่ได้หายไป หันไปกล่าวกับจ้าวหนานซิง “คนผู้นั้นกำลังสนใจจื่อซู”

จ้าวหนานซิงชอบซางจื่อซู ตอนที่อยู่ในสาขาย่อยก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร เพียงแต่ว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็เป็นการรักเขาฝ่ายเดียว เทพธิดานํ้าแข็งไม่ได้มีใจด้วย

เพียงแต่ว่าความรักที่จ้าวหนานซิงมีก็เป็นความรักที่บริสุทธ์เขาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยต้องการอะไรตอบกลับจากซางจื่อซู เพียงแค่ชอบอยู่เงียบๆ เพียงเท่านั้น

ดังนั้น ซางจื่อซูที่รู้ถึงความในใจของเขาก็ยังคงมีท่าทีเรียบเฉยกับเขา หวังว่าเขาจะยอมถอยไปด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรเขา

แต่สำหรับจิ่งเทียนนั้นไม่เหมือนกัน จิ่งเทียนเอาแต่บีบคั้นคน ทั้งยังมีแววตากดดันผู้คนที่ต้องได้มาไว้ในครอบครองนั้น ก็ทำให้นางรู้สึกรังเกียจยิ่งนัก และก็ยิ่งทำให้จ้าวหนานซิงผู้คอยหลงรักอยู่เงียบๆ ผู้นี้ รู้สึกเกรี้ยวกราดขึ้นตามมาด้วย “เขาทำอะไรกับจื่อซู?” สีหน้าของจ้าวหนานซิงกลาย เป็นไม่น่าดูขึ้นมา ในนํ้าเสียงอันกดต่ำเจือปนไปด้วยความเกรี้ยวกราดอยู่หลายส่วน

และก็ยังเป็นจูหลิงที่เป็นคนกล่าวอธิบาย “เขาบอกว่าเตรียมที่ไว้ให้จื่อซูเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังบอกว่าหวังว่าจื่อซูจะเข้าเป็นศิษย์ของเขา”

“หึ เขาตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ศิษย์คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าจะรับจื่อซูเป็นศิษย์?” จ้าวหนานซิงยิ้มเย็นขึ้น

“ศิษย์พี่ซางได้ปฏิเสธเขาไปแล้ว แต่ข้าคิดว่าเขาคงจะไม่ยอมรามือ ก่อนจะไปจากสาขาหลัก พวกท่านก็ต้องระมัดระวังตัวเองให้ดี และในระหว่างทางกลับก็อย่า ประมาทเป็นอันขาด” มู่ชิงเกอกล่าวเตือนพวกเขาไม่กี่คน

รอหลังจากประลองกับจิงเทียนเสร็จ นางก็จะจากไป ไม่สามารถเดินทางกลับไปกับพวกเขาได้ ทำได้เพียงกำชับให้พวกเขาเพิ่มระมัดระวังขึ้น

“ศิษย์น้องมู่ ข้าจะไปกับเจ้า” ซางจื่อซูอยู่ๆ ก็กล่าวขึ้นมา

พอคำพูดหลุดออกไป ก็ทำเอากลุ่มคนตกตะลึงขึ้นในทันใด

เหล่าศิษย์สาขาย่อยคนอื่นก็พากันก้าวถอยหลังกันไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว คิดป้องกันไม่ให้คนอื่นแอบฟัง ทั้งห้าคนรวมตัวกันอยู่ตรงกลาง สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม จ้าวหนานซิงวิเคราะห์การตัดสินใจของซางจื่อซูอย่างละเอียด ก่อนจะหันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอ “อืม วิธีนี้ก็ไม่เลว จื่อซูรั้งอยู่หนึ่งวัน ก็จะมีอันตรายขึ้นอีกหนึ่งวัน ก็ไม่สู้จากไปพร้อมกับศิษย์น้องจะดูปลอดภัยกว่ามากนัก เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าศิษย์น้องมู่จะสะดวกด้วยหรือไม่” คำพูดของเขาก็ทำเอามู่ชิงเกอขมวดคิ้วเข้าหากัน เรื่องที่นางจะต้องไปทำ ก็ถือว่ามีอันตรายมากมายนัก อีกทั้งระยะเวลาบีบคั้น ถ้าหากพาคนเพิ่มไปอีกคน เกรงว่าอาจจะส่งผลกระทบ

“ชิงเกออย่าได้ลำบากใจ เจ้ามีธุระสำคัญก็ไปทำ ไม่จำเป็นต้องแบ่งสมาธิมาดูแลศิษย์น้องซาง ศิษย์น้องซางมีพวกเราไม่กี่คนคอยปกป้อง น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” เหมยจื่อจ้งกล่าว

เขารู้ถึงเพศที่แท้จริงของมู่ชิงเกอ แล้วจะไปยอมให้นางต้องรับภาระหนักขึ้นอีกได้อย่างไร?

ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามู่ชิงเกอนั้นร้ายกาจ เปรียบกับเขาแล้ว ร้ายกาจกว่าหลายเท่า แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังวางใจไม่ได้

ความคิดของเหมยจื่อจ้งคนอื่นไม่ได้รู้ด้วย

ซางจื่อซูก้มหน้าลง กล่าวเสียงเบาว่า “เป็นข้าเลอะเลือนไปเอง” นางเพียงแค่ไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่แม้แต่เค่อเดียว ดังนั้นถึงได้อยากจากไปกับมู่ชิงเกอก่อนล่วงหน้า

แต่กลับไม่ได้คำนวณเลยว่าความคิดกะทันหันของตนจะไปส่งผลกระทบต่อแผนการของมู่ชิงเกอด้วยหรือไม่

คำกล่าวของเหมยจื่อจ้ง ก็พลันทำให้นางเปลี่ยนความคิด

เพียงแต่สำหรับจ้าวหนานซิงกับจูหลิงแล้ว ถ้าหากมู่ชิงเกอจากไป พวกเขาก็คงไม่มีทางปกป้องซางจื่อซูได้ ยังไม่ต้องกล่าวถึงด้านศาสตร์การปรุงยา แค่เพียงระดับพลังในการฝึกปรือ พวกเขาสามคนอยู่ในสาขาหลักก็ไม่นับว่าเป็นอะไร

อีกทั้งที่นี่ก็เป็นอาณาจักรเซิ่งหยวน ฐานะองค์ชายของจ้าวหนานซิงก็ถือว่าไม่มีประโยชน์อะไร!

โดยเฉพาะจูหลิง ช่วงนั้นตอนที่นางอยู่ที่ลั่วตูก็เคยเห็นถึงความร้ายกาจของมู่ชิงเกอมาด้วยตาตัวเอง ในใจของนางรู้สึกว่าการที่ซางจื่อซูจากไปพร้อมกับมู่ชิงเกอก็ถือเป็นวิธีที่ถูกต้อง

พลันขบริมฝีปากก่อนจะกล่าวความคิดของตัวเองบอกออกไป “ในสาขาหลัก พวกเราก็ไม่ได้คุ้นชิน แล้วก็ไม่ได้มีผู้อาวุโสที่สามารถเชื่อถือได้อย่างวางใจ เส้นทางที่ต้องกลับในเขตของทะเลแห่งความจริง กองกำลังที่กระจัดกระจายอยู่รอบนอกพวกนั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีการไปมาหาสู่กับจิ่งเทียนด้วยหรือไม่ อีกทั้งพลังของแต่ละคนก็ทำได้เพียงปกป้องช่วยเหลือตัวเอง การที่จื่อซูรั้งอยู่ที่นี่ก็ถือว่ามีอันตรายมากนัก” ความกังวลของนางก็ถือว่าอิงตามความจริง

มู่ชิงเกอหลังจากคิดอย่างถ้วนถี่แล้ว ก็พลันกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ซางก็ให้จากไปพร้อมกับข้า เพียงแต่ว่ายากนักที่จะได้มีโอกาสมาที่สาขาหลัก เกรงว่าศิษย์พี่ซางจะไม่มีเวลามากพอให้ศึกษาเรียนรู้ในสาขาหลักแห่งนี้แล้ว” พอได้ฟังการตัดสินใจของมู่ชิงเกอ ในแววตากระจ่างใสของซางจื่อซูก็พลันมีแววยินดีขึ้นมา

นางส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เปรียบกับการรั้งอยู่แล้วมีปัญหารุมเร้าก็ดีกว่ามากนัก”

จ้าวหนานซิงก็กล่าวเสริมขึ้นไปด้วย “ไม่ต้องกลัว พวกเราจะรั้งอยู่ต่อเอง เอาเรื่องที่ต้องทำจัดการให้เรียบร้อย รอกลับไปถึงแคว้นอวี๋แล้ว พวกเราค่อยติดต่อหากัน” คำกล่าวของเขาก็ทำให้ซางจื่อซูพยักหน้ารับอย่างซาบซึ้งใจ

เหมยจื่อจ้งกล่าวว่าอย่างกังวลใจ “ชิงเกอ เจ้าอย่าได้ฝืนตัวเองเกินไป”

มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ “ศิษย์พี่เหมยวางใจเถิด ข้ารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร” นางพาซางจื่อซูจากไปก่อน พอถึงแคว้นหรงแล้ว ก็ค่อยติดต่อให้พวกมั่วหยางให้มารับตัวไป หลังจากนั้นนางค่อยไปจัดการธุระของตัวเอง หลังจากทำธุระเสร็จแล้ว ค่อยไปรวมตัวกันที่ทะเลแห่งความอ้างว้าง ตามแผนที่วางไว้ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไรนัก

อีกทั้งความกังวลใจของจูหลิงก็ไม่ได้กล่าวเกินจริง

จากที่ได้เห็นนิสัยของจิ่งเทียนในสองวันนี้ เขาก็ถือเป็นคนที่หากทำไม่สำเร็จก็จะไม่ยอมเลิกรา

หลังจากไม่กี่คนตัดสินใจได้แล้ว พวกเขาถึงค่อยไปรวมตัวกับพวกศิษย์สาขาย่อย เดินไปทางที่นั่งเฉพาะของศิษย์สาขาย่อยก่อน ที่นั่งตรงนั้นก็ไกลออกไปมาก ราว กับเป็นที่นั่งที่ด้อยที่สุดในจำนวนอัฒจันทร์ทั้งหมด

การปฏิบัติเช่นนี้ก็ชวนให้ศิษย์สาขาย่อยจำนวนไม่น้อยเกิดไฟโทสะลุกโชนขึ้นมา ตอนอยู่ที่สาขาย่อย พวกเขาก็ถือเป็นว่าหงส์มังกรในหมู่มนุษย์ เป็นที่เคารพนับถือ ไหนเลยจะเคยถูกปฏิบัติเช่นนี้?

แต่ภายใต้การปลอบของเหมยจื่อจ้ง พวกเขาก็ยังสามารถสะกดข่มไฟโกรธเอาไว้ได้อยู่ นั่งลงไป

“ศิษย์พี่มู่ ท่านอีกครู่ก็อย่าลืมสั่งสอนจิ่งเทียนผู้นั้นให้หนักๆ!”

“ใช่แล้ว! ศิษย์พี่มู่ ท่านจะต้องระบายความอัดอั้นให้พวกเราชาวสาขาย่อย!”

“ไม่ผิด ไม่ผิด ศิษย์พี่มู่พวกเรามั่นใจในตัวท่านว่าท่านจะต้องจัดการพวกหัวสูงในสาขาหลักพวกนี้ได้อย่างแน่นอน คนของสาขาย่อยเราก็ไม่ยอมถูกรังแกง่ายๆ หรอก!”

เหล่าศิษย์สาขาย่อย เจ้าหนึ่งประโยคข้าหนึ่งคำหันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอ

ราวกับว่าไฟโทสะในใจของพวกเขาจะให้มู่ชิงเกอเป็นคนระบายออกไปแทน

เหมยจื่อจ้งเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ กล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าหากไม่อยากให้คนอื่นดูเบา สิ่งที่ต้องทำก็คือตั้งใจฝึกฝนด้วยตัวเอง แต่ไม่ใช่เอาความกดดันและคาดหวัง พวกนี้ไปไว้กับตัวผู้อื่น”

พวกศิษย์สาขาย่อยที่ถูกเขากล่าวสอนก็พลันขานรับขึ้นทีละคนก่อนจะนั่งลงกลับไปที่เดิม

หลังจากเงียบลงแล้ว เหมยจื่อจ้งก็หันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอ “ชิงเกอ เจ้าเพียงแค่ทำสุดความสามารถก็พอ ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองมากไป” ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามู่ชิงเกอไม่มีทางถูกคำพูดของคนอื่นส่งผลกระทบอะไร แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่กล่าวคำนี้ออกไป

มู่ชิงเกอพยักหน้าอมยิ้มขึ้นน้อยๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!