ตอนที่ 169-4
เสี่ยวเฮยแสดงพลัง!
ในเรือนหลังเล็กของเมืองซางจื่อ ฤดูใบไม้ผลิก็ได้เข้ามาเยือนหลังจากฤดูหนาวผ่านพ้นไป ต้นไม้ใหญ่ในสวนก็เริ่มออกผลแตกหน่อ เต็มไปด้วยสีเขียวอันร่มรื่นภายใต้ แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ตรงหน้าของนางยืนอยู่เรียงแถวอยู่ด้วยองครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าสิบคน
“เร็วๆ นี้มีข่าวคราวอันใดบ้าง?” มู่ชิงเกอถาม
นางตอนนั้นเร่งตามติดเซี่ยเทียนอู๋มา ทั้งยังยุ่งวุ่นวายนัก ดังนั้นก็เลยยังไม่ได้ทำความเข้าใจถึงสภาพการฝึกฝนของหน่วยองครักษ์เขี้ยวมังกรในตอนนี้
“เรียนคุณชายพวก ข้าน้อยก่อนที่จะมาถึงเมืองซางจื่อ ก็ได้รับแจ้งจากมั่วหยางว่าให้พวกข้าน้อยไปรอรวมตัวกันที่เทือกเขาฉิน แล้วค่อยออกเดินทางจากเทือกเขาฉิน ไปยังเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่แคว้นตี๋ พวกเราก็จะเข้าไปฝึกฝนกันในเขตแดนของแคว้นตี๋” หัวหน้าหน่วยย่อยขององครักษ์เขี้ยวมังกรกล่าว
“อ้อ?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ “ความเคลื่อนไหวของมั่วหยางก็ช่างรวดเร็วนัก คนอื่นๆ เล่า?”
“องครักษ์เขี้ยวมังกรห้าร้อยนายรั้งอยู่ที่แคว้นระดับสาม หนึ่งร้อยนายคอยรับใช้คุณชาย ที่เหลืออีกสี่ร้อยนาย แบ่งออกเป็นสามกอง แยกกันเข้าไปฝึกฝนในแคว้นตี๋ แคว้นอวี่ แคว้นหรง ทุกๆ สามเดือนนับเป็นหนึ่งรอบ แล้วผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน กองทหารพันเพลิงก็เช่นกัน รั้งอยู่สามหมื่นนาย ที่เหลือติดตามองครักษ์เขี้ยวมังกรเข้าไปฝึกฝนในแควันระดับสอง”
มู่ชิงเกอแต่เดิมคิดจะกล่าวว่าไม่จำเป็นจะต้องลำบากเช่นนั้น ออกไปฝึกฝนกันให้หมดก็ได้
แต่ว่าพอลองคิดดูอีกทีถ้าหากไปพบกับเรื่องอะไรเข้าแล้วข้างกายแม้แต่คนให้ใช้สอยก็ไม่มี แน่นอนว่าก็ดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไร ดังนั้นสำหรับการวางแผนของมั่วหยางครั้งนี้นั้นนางก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าตรงนี้ก็ไม่มีธุระอันใดแล้ว พวกเจ้ารีบรุดไปที่เทือกเขาฉินเถอะ” มู่ชิงเกอกล่าวกับทั้งห้าสิบคน
“ขอรับนายน้อย” ทั้งห้าสิบคนก็ไม่ลังเลที่จะทำตามคำสั่งของมู่ชิงเกอ
ก่อนออกเดินทางมู่ชิงเกอก็ยังหยิบโอสถออกมาจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นโอสถชั้นสูง และในนั้นก็ไม่ขาดซึ่งโอสถระดับจิตวิญญาณให้ทั้งห้าสิบคนเอามันไปด้วย แล้วค่อยแบ่งมันให้แก่คนอื่นๆ
พอเข้าไปฝึกฝนในแคว้นระดับสองก็แน่นอนว่าจะต้องพบเจอกับอันตราย ถึงแม้ว่าพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรจะไม่ตายง่ายๆ แต่นางก็ต้องเตรียมการในสิ่งที่ต้องเตรียมการ
องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ไม่ได้รั้งอยู่ต่อที่เมืองซางจื่ออีก เร่งรีบจากไปในทันใด
หลังจากส่งองครักษ์เขี้ยวมังกรจากไปแล้วมู่ชิงเกอยังคงยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้
เหมยจื่อจ้งเดินออกมาจากตัวเรือน เดินมายืนข้างกายนาง จ้องมองไปยังด้านข้างของใบหน้าอันงดงามของนาง ยืนนิ่งเงียบอยู่นาน
มู่ชิงเกอหันไปมองเขา อดไม่ได้ที่ลูบแก้มตัวเองไปมา พร้อมเอ่ยถามขึ้น “ศิษย์พี่เหมยทำไมถึงได้มองข้าเช่นนั้น? บนหน้าของข้ามีอะไรติดอยู่รึ?” เหมยจื่อจ้งส่ายหน้าขึ้นช้าๆ แววตาราบเรียบดุจสายน้ำ ทอแววใคร่รู้ยากจะคาดเดาขึ้นสายหนึ่ง ความผิดปกติของเหมยจื่อจ้งทำเอามู่ชิงเกอรู้สึกไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย นางเอ่ยถามขึ้น “ศิษย์พี่เหมยถ้าหากมีคำพูดก็เชิญพูดออกมาเถอะ”
แต่เหมยจื่อจ้งก็เพียงมองไปทางนาง หลังนิ่งเงียบไปนาน ถึงค่อยกล่าวว่า “ชิงเกอ เจ้าก็ใช้ชีวิตยากลำบากเช่นนี้มาตลอดเลยรึ?”
มู่ชิงเกอพลันเลิกคิ้วขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ “ข้าไม่เข้าใจความหมายของศิษย์พี่เหมย”
เหมยจื่อจ้งขบริมฝีปากแน่น กล่าวไปทางนาง “ข้าพอเห็นคนของเจ้าพวกนั้นแล้วก็รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาที่จะฝึกฝนออกมาได้ แล้วข้าก็ยังเห็นการใช้ชีวิต ของเจ้าด้านนอกโรงโอสถ เจ้าล้วนแต่พึ่งพาตัวเองไปจนถึงขั้นที่ให้คนอื่นพึ่งพาเจ้า เจ้าไม่รู้สึกลำบากบ้างเลยหรือ? ”
มู่ชิงเกอนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เหมยจื่อจ้งถึงกล่าวคำถามเช่นนี้ออกมา แต่นางก็ยังส่ายหน้าตอบออกไปตามความจริง “ข้าก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอันใด”
การตอบกลับของนางก็ทำให้แววตาที่ราบเรียบดุจสาย นํ้าของเหมยจื่อจ้งเกิดรอยสั่นกระเพื่อมขึ้น
เขาขยับปาก คิดอยากจะกล่าววาจา แต่ก็ยังอ้ำๆ อึ้งๆ ว่าจะกล่าวดีหรือไม่กล่าวดี
และในตอนที่ความกล้าของเขาพุ่งขึ้นมาเปี่ยมล้นเตรียมจะกล่าวออกไปนั้น เสียงร้องของจ้าวหนานซิงก็พลันลอยเข้ามาก่อน “ศิษย์น้องมู่รีบมาเร็วเข้า”
จ้าวหนานซิงที่เฝ้าดูซางจื่อซูอยู่ในห้องมาโดยตลอดมา ตอนนี้อยู่ๆ ก็เรียกมู่ชิงเกอขึ้น ทำเอามู่ชิงเกอไม่ลังเลที่จะหมุนกายพุ่งไปทางห้องด้านใน
เหมยจื่อจ้งก็เหมือนกับถูกลืมไปอย่างไปไรอย่างนั้น ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ กิ่งไม้เล็กๆ บนศีรษะถูกสายลมพัดผ่าน ร่วงตกลงมาที่บ่าของเขาก่อนจะลื่นตกจากบ่าของเขาไหลตกลงไปที่พื้น
“ข้าจะสามารถแบกรับสิ่งเหล่านี้ไปด้วยกันกับเจ้าได้หรือไม่? ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะรู้ว่าตัวเองยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ แต่ข้าก็จะพยายามเต็มที่เพื่อเจ้า” เหมยจื่อจ้ง กล่าวสิ่งที่ตนเองอยากจะพูดออกมา แต่ว่านอกจากตัวเขาแล้วก็ไม่มีใครสามารถได้ยินอีก
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่ชิงเกอแหวกม่านตรงประตูเข้าไป เข้าไปในห้องของซางจื่อซู
ในห้อง ซางจื่อซูก็นั่งอยู่ที่ขอบเตียง ตัวพิงไปที่เสาเตียง นั่งนิ่งเงียบไปไม่กล่าววาจา นิ่งเงียบจนเหมือนกับขอนไม้อย่างไรอย่างนั่น จ้าวหนานซิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าของนาง ในมือถือนํ้าแกงที่ตั้งใจเคี่ยวด้วยตัวเองยิ้มขื่นๆ มอง ไปทางมู่ชิงเกอ
“จื่อซูไม่ยอมกินอะไรเลย ข้าหมดหนทางแล้วจริงๆ” เขาส่งถ้วยนํ้าแกงมอบไปให้มู่ชิงเกอ ความหมายในคำพูดก็สื่ออกมาได้อย่างชัดเจน
มู่ชิงเกอรับถ้วยน้ำแกงในมือของจ้าวหนานซิงเอาไว้ พยักหน้าขึ้นอย่างเข้าใจ กล่าวกับเขา “ท่านออกไปก่อนเถอะ”
จ้าวหนานซิงก็เดินออกไปจากห้องแต่โดยดี ในห้องเหลือเพียงมู่ชิงเกอกับซางจื่อซูเพียงสองคน
มู่ชิงเกอเอาถ้วยน้ำแกงในมือวางไปบนโต๊ะ ไม่ได้มีท่าทีจะไปป้อนซางจื่อซูแต่อย่างไร นางเดินไปที่ด้านหน้าเตียง ก่อนจะสะบัดชายเสื้อแล้วนั่งลงไป กล่าวกับ ซางจื่อซู “ท่านคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปถึงเมื่อไรกัน? คนผู้นั้นก็ได้ถูกท่านฆ่าตายไปเองกับมือแล้ว ความแค้นของท่านก็ได้สะสางไปแล้ว ก็สมควรที่จะมองไปข้างหน้าสิ มุ่งเดินไปข้างหน้าต่อไป”
ซางจื่อซูยังคงนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา แม้แต่จะหันไปมองนางก็ยังไม่มี
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ กล่าวต่อ “ตอนนี้ก็เป็นท่านที่ต้องการจมปลักอยู่กับเรื่องเรื่องนั้นต่อไป ถ้าหากตัวท่านเองล้วนแต่ไม่สามารถลืมมันได้ แล้วใครกันที่จะสามารถไปช่วยท่านได้?”
ซางจื่อซูก็ยังคงนิ่งเงียบต่อไป ทำเอามู่ชิงเกอต้องสูดหายใจเข้าไปลึกๆ กล่าวอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ซางที่ข้ารู้จักเป็นคนที่มีนิสัยภายนอกเยือกเย็นจิตใจกล้าแกร่ง ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องโชคไม่ดีเช่นนี้ขึ้น แต่ข้าก็เชื่อว่านางจะต้องไม่พังทลายลง แต่จะลุกยืนขึ้นมาอย่างกล้าหาญอีกครั้ง”
“ฆ่าเขาแล้ว ข้าก็จะสามารถย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้าได้รึ?” ซางจื่อซูอยู่ๆ ก็เปิดปากขึ้น เพียงแต่ในนํ้าเสียงนั้นก็แฝงเอาไว้ด้วยความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด “สกปรกไปแล้วก็ถือว่าสกปรกไปแล้ว ต่อให้ใช้เลือดล้างมันออกมากเพียงไรก็ไม่อาจกลับไปบริสุทธิ์เหมือนเดิมได้”
คำกล่าวที่ไร้ชีวิตจิตใจเช่นนี้ก็ทำเอามู่ชิงเกอลุกยืนขึ้นมาจากเตียงนอนในทันใด มองไปทางนางพลางกล่าวอย่างมีอารมณ์ “สกปรกอันใด? ท่านมองดูตัวเองเช่นนี้ รึ? ไม่ต้องกล่าวว่าพรหมจรรย์ท่านยังอยู่ แต่ต่อให้มันไม่อยู่แล้วจริงๆ ท่านก็คิดจะตายเพราะเรื่องนี้หรือ?”
ในแววตาของซางจื่อซูไหววูบขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดสายหนึ่ง
นางจ้องมองไปทางมู่ชิงเกอด้วยท่าทางอันเลื่อนลอย “ข้าตอนนี้มีชีวิตอยู่อีกหนึ่งวันก็ล้วนแต่จะนึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าจะลืมมันไปได้อย่างไร และก็ยิ่งไม่รู้ว่าสมควรจะไปเผชิญหน้ากับเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไร”
“ดังนั้นท่านก็เลยทรมานตัวเองเช่นนี้? ได้ ต่อให้ท่านต้องการทรมานตัวเอง แต่ท่านก็จมปลักมาได้หลายวันแล้วนี่ ไม่ใช่ว่าควรจะหยุดได้แล้วหรือ? เวลาจะเป็นตัวชำระล้างเรื่องราวทั้งหมดเอง เรื่องนี้ก็ไม่มีทางไปกระทบอะไรกับอนาคตของท่านในอนาคตท่านก็ยังสามารถแต่งให้คนที่ท่านชอบได้เช่นเดิม สามารถใฝ่หาความสุขที่เป็นของตน” มู่ชิงเกอกล่าวท้วงขึ้น
“ข้าสกปรกไปแล้ว! ใครจะมาแต่งกับข้าอีก? เจ้าจะแต่งรึ!” ซางจื่อซูมองไปทางมู่ชิงเกอพลางร้องเรียกขึ้นเสียงดัง หยาดนํ้าตากระจ่างใสสองสายไหลตกลงมา นาง มองไปทางมู่ชิงเกอ ในแววตาทอแวววาดหวังขึ้นรางๆ คำพูดอัดอั้นนี้ก็เหมือนกับเป็นเสียงในใจที่นางแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยกล้ากล่าวออกไป
มู่ชิงเกอจ้องมองไปทางนาง สีหน้านิ่งขรึมลง
พอเห็นท่าทีของนาง ซางจื่อซูก็ยิ้มขึ้นอย่างเศร้าใจ “ดูเถิด เจ้าก็ยังนึกรังเกียจข้าด้วยมิใช่รึ? เจ้าที่สามารถเห็นใจข้า ที่สามารถช่วยข้า แต่เจ้ากลับไม่อาจแต่งกับข้า”
“ข้าจะแต่งกับเจ้า!” ทันใดนั้นเองจ้าวหนานซิงก็พลันพุ่งเข้ามา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำจ้องมองไปทางซางจื่อซู น้ำเสียงที่ฟังดูนั้นก็ไม่มีความลังเลอยู่แม้แต่น้อย