Skip to content

พลิกปฐพี 17

ตอนที่ 17

สัญญาการแต่งงานตระกูลมู่ องค์หญิงฉางเล่อ

เหอเฉิงเดือดดาลนัก!

เพราะแม้ว่าเขาจะหลบอยู่แต่ในบ้าน แต่เสียงหัวเราะเยาะและสายตาอุจาดลามกของผู้คนยังคงวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด

เขายังไม่ตาย แต่ว่าถ้าตายได้คงดีกว่านี้

หากเป็นเมื่อก่อน เหตุผลที่เขาคิดไม่ซื่อกับมู่ชิงเกอก็เพราะรุ่ยอ๋อง แต่ตอนนี้ระหว่างเขาและมู่ชิงเกอนั้นกลายเป็นศัตรูกันอย่างแท้จริงแล้ว!

ในใจเขาคิดแต่เรื่องที่จะแก้แค้น แต่ว่ามู่เกอสนใจหรือ?

สวนสระเมฆา จวนตระกูลมู่

“เจ้าอำมหิตจริงๆ” ร่างอันโปร่งแสงของมู่ชิงเกอลอยอยู่ข้างตัวมู่เกอ ในแววตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส

นางยอมรับว่าถ้าเป็นนางจัดการกับเหอเฉิงเอง อย่างมากก็แค่ทำร้ายร่างกายเพื่อระบายความโกรธเกลียดในใจ แต่ถ้าถึงขั้นทำให้แขนขาขาดคงทำไม่ได้ เพราะนางเป็นห่วงตระกูลมู่ ไม่อยากให้ท่านปู่ต้องได้รับความเดือดร้อนจากอำนาจมืด

แต่มู่เกอล่ะ ตอนแรกเธอแกล้งปล่อยตัวเหอเฉิงไปอย่างเปิดเผย จากนั้นให้คนไปคุมตัวเขามาอีกครั้ง

จากนั้น ก็ยืมมือผู้ที่ตํ่าด้อยที่สุดในสังคมมาจัดการกับเหอเฉิงอย่างสาสม ไม่ใช่แค่ทำร้ายร่างกาย แต่ทำให้อับอายและทำลายชื่อเสียง หลังจากนี้หากรุ่ยอ๋องยังต้องการจะใช้เขาอีก ก็คงจะต้องโดนคำนินทาจากภายนอกตามมาอีกมากมาย

เสียที่พึ่งใหญ่อย่างรุ่ยอ๋องไป ตระกูลเหอสูญเสียความโปรดปราน การล่มสลายก็คงขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว คำพูดของมู่ชิงเกอไม่ได้ทำให้มู่เกอรู้สึกอะไร เธอแค่ยิ้มๆ สายตายังคงเย็นชา

เธอมีคำคมอยู่คำหนึ่ง แต่ไม่เคยบอกใครมาก่อนเพราะว่าเธอทำทุกอย่างตามตรรกะนี้มาโดยตลอด ‘ผู้อื่นไม่ระรานข้า ข้าก็ไม่ระรานผู้อื่น แต่หากผู้อื่นระรานข้า ข้าก็จะถอนรากมันให้ถึงโคน!

เพราะฉะนั้นเป้าหมายตั้งแต่แรกของเธอไม่ได้มีแค่เหอเฉิงเพียงคนเดียวแต่เป็นตระกูลเหอทั้งตระกูลรวมถึงรุ่ยอ๋องเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เธอต้องการจะแก้แค้น แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีหลักฐานมายืนยันว่ารุ่ยอ๋องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่จิตใต้สำนึกของเธอกำลังบอกเธอว่ารุ่ยอ๋องเองก็คงไม่ธรรมดา

แววตามู่เกอสาดประกาย เก็บซ่อนอารมณ์ในแววตา

เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก โยกเก้าอี้ไปมา มองมู่ชิงเกอแล้วพูดว่า “แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถฝึกฝนเวทพลังได้แต่ก็คงจะรู้เคล็ดวิชาในการฝึกอยู่บ้างใช่ไหม?”

ม่ขิงเกอพยักหน้า “แน่นอน เมื่อก่อนท่านปู่ไม่ยอมเชื่อว่าข้าเป็นผู้ไร้พลัง จึงให้ข้าเรียนเคล็ดวิชาในการฝึก แต่น่าเสียดายที่ร่างกายของข้าก็ยังคงไม่สามารถรวบรวมพลังจิตพวกนั้นเอาไว้ใด้”

“ลองท่องมาสิ” มู่เกอพูดหน้านิ่ง

หลายวันมานี้ เธอเข้าใจแล้วว่าในแผ่นดินแห่งนี้ เคล็ดวิชาการฝึกจิตเพื่อเข้าสู่ชั้นพลังนั้นต่างกันไม่มาก ประลองกับคนในระดับเดียวกัน สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ทักษะการสงคราม และทักษะนี้จะต้องเข้าสู่ชั้นพลังสีเหลืองก่อนจึงจะสามารถฝึกได้ เพราะฉะนั้นสำหรับทักษะนี้มู่เกอยังไม่รีบ

ตอนนี้เธออยากรู้โดยด่วนว่าร่างกายที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอของเธอนั้นจะสามารถฝึกเวทพลังของโลกนี้ได้หรือเปล่า

มู่ชิงเกอมองหน้าเธอ คงคิดว่าเธออาจจะยังไม่ยอมแพ้ อยากจะลองฝึกดูอีกครั้ง จึงไม่ได้พูดอะไรมาก ท่องเคล็ดวิชาที่จำได้ขึ้นใจออกมา “ควบคุมจิตใจ ดึงปราณเข้าสู่ร่าง”

เคล็ดวิชาไม่ยาวมาก แต่ก็ลึกซึ้งจนยากที่จะเข้าใจ

ท่องเคล็ดวิชาในใจวนไปวนมา ฉวยโอกาสที่อากาศดีลมพัดเย็นสบาย มู่เกอจึงอยากจะเริ่มลองฝึกตอนนี้เลย

แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้ลงมือ ฮวาเยวี่ยก็วิ่งเข้ามาบอกเธอว่า “คุณชาย นายท่านผู้เฒ่าให้คนมาตามคุณชายไปพบที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ”

การฝึกฝนถูกขัดจังหวะทำให้มู่เกอสีหน้าขรึมลง

แต่พอรู้ว่ามู่ซงเป็นคนให้มาตาม เธอก็ทำได้แค่ลุกจากเก้าอี้โยกแล้วเดินนำฮวาเยวี่ยไปยังห้องหนังสือของมู่ซง

พอมาถึงหน้าห้องหนังสือ มู่เกอก็สั่งฮวาเยวี่ยให้รออยู่ข้างนอก แล้วเคาะประตูเดินเข้าไปเพียงลำพัง

พอเข้าไปในห้องมู่เกอจึงเห็นว่าในนั้นไม่ได้มีแค่มู่ซงเท่านั้นแต่มู่เหลียนหรงเองก็อยู่ด้วย “ไอ้เด็กบ้า คราวนี้เจ้าทำได้ดีมาก!” ทันทีที่เห็นมู่เกอเดินเข้ามา มู่เหลียนหรงก็เดินเข้ามาต่อยไหล่เธอแรงๆ หนึ่งหมัด แต่ว่าหมัดนั้นเป็นเพียงแค่แรงของตัวเธอเองไม่ได้ใช้กำลังภายในแต่อย่างใด

“ท่านอา เจ็บ” ถึงจะเป็นอย่างนั้น มู่เกอก็แกล้งลูบหัวไหล่อ้อนอย่างน่าเอ็นดู

ที่เธอทำท่าทางเสแสร้งเช่นนี้สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะเธอไม่อยากให้ตนเองดูเปลี่ยนไปมากนัก เพราะจะทำให้คนในบ้านเกิดความสงสัยได้ เรื่องที่ว่ามู่ชิงเกอตายไปแล้ว และเธอยืมร่างนางเพื่อมาคืนชีพนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องราวที่ใครจะสามารถยอมรับได้ง่ายๆ

“เสแสร้งอะไรกัน อาลงมือรู้จักแยกแยะน่า จะตีเจ้าจริงได้อย่างไร?” ขณะที่พูดมือก็ยื่นไปนวดหัวไหล่ของมู่เกอ

“พอได้แล้ว สองอาหลานเลิกทะเลาะกันได้แล้ว เข้าเรื่องสำคัญเถอะ” มู่ซงพูดขัดจังหวะแต่ในแววตาไม่ได้ดูเข้มงวดอะไร

มู่เกอรู้สึกตัว ดึงเก้าอี้ในห้องหนังสือมาตัวหนึ่งแล้วนั่งลง มู่เหลียนหรงก็กลับไปนั่งที่เดิม มองมู่เกอด้วยความห่วยใย

ห้องหนังสือเงียบลงในทันที สักพักเสียงของมู่ซงก็ดังขึ้น “เจ้าเด็กบ้านี่ เพิ่งกลับมาแค่วันเดียวก็ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว แต่ว่าก็ถือเสียว่าเป็นการสั่งสอนเจ้าสารเลวตระกูลเหอนั่น”

ที่แท้ก็พูดเรื่องของเหอเชิง มู่เกอรู้อยู่แก่ใจจึงไม่ได้พูดอะไร

“แต่ปู่ไม่เข้าใจ ในเมื่อเจ้าปล่อยมันไปแล้ว แล้วจับมันกลับมาใหม่ ทำไมถึงยังให้มันรู้ว่าเจ้าเป็นคนทำอีกเล่า” มู่ซงพูดจบก็มองมู่เกอด้วยความสงสัย

ในขณะที่ในสายตาของมู่เหลียนหรงเองก็เต็มไปด้วยคำถามเช่นกัน

มู่เกอยิ้ม “หลานปล่อยเหอเฉิงไปโดยไม่มีส่วนใดบุบสลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รับรู้กันทั่ว แต่เรื่องที่หลานจับตัวมันกลับมา มีหลักฐานงั้นหรือ?” ตั้งแต่ต้นจนจบ นางโลมพวกนั้นไม่รู้ว่าคนในกระสอบข้าวสารก็ คือเหอเฉิง และผู้ชายสามคนนั้นจะแยกแยะได้อย่างไร ว่าคนที่ถูกอัดเสียจนหน้าบวมเหมือนหัวหมูจะเป็นคุณชายแห่งตระกูลเหอ? แค่อาศัยคำพูดปากเปล่าของเขา ใครเล่าจะเชื่อ ไม่มีหลักฐานว่าหลานเป็นคนทำ แต่หลานจะทำให้มันรู้ว่าหลานเป็นคนทำ ที่มันต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะว่ามันทำหลานก่อน หลานจะทำให้มันทรมานแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ ความทุกข์ครั้งนี้ทนไม่ได้ก็ต้องทน!” พูดจบแววตาที่ใสกระจ่างก็ฉายแววโหดเหี้ยม ถึงเธอจะทำให้เหอเฉิงโมโหจนตาย แต่แล้วจะอย่างไรเล่า? เมื่อเทียบกับวิญญาณของทหารกล้าทั้ง 500 นาย นั้นแล้วบทลงโทษนี้ยังถือว่าเบาเกินไปเสียด้วยซํ้า ความโหดเหี้ยมที่พุ่งผ่านตัวมู่เกอออกมาทำให้ มู่ซงและมู่เหลียนหรงนิ่งอึ้ง แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกประหลาดแต่อย่างใด เหมือนว่าการเป็นคนตระกู ลมู่ ก็ควรเป็นแบบนี้ถูกแล้ว

มู่ซงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ความเปลี่ยนแปลงของมู่ชิงเกอสามารถทำให้เขาสงบใจลงได้บ้าง บางทีเคราะห์กรรมที่เขาประสบในครั้งนี้ คงจะทำให้เขาโตขึ้นแล้วจริงๆ “เกอเอ๋อร์ เรื่องของเหอเฉิงก็ช่างมันเถอะ แต่ทางรุ่ยอ๋อง แม้ว่าตระกูลเราไม่ควรจะไปใกล้ชิดสนิมสนมกับเขามาก นัก แต่ก็ไม่อาจล่วงเกินเขาได้อย่างไรเสีย เจ้าก็ยังมีสัญญาการแต่งงานติดตัวอยู่” จู่ๆ ม่ซงก็พูดขึ้นมา

“สัญญาการแต่งงาน!? สัญญาการแต่งงานอะไร!” มู่เกอตกใจ เหมือนใต้เก้าอี้มีเข็มทิ่มแทงจนเธอเกือบจะกระโดดขึ้นมา

มู่ซงจ้องหน้าเธอ

มู่เหลียนหรงถามด้วยความสงสัย “ทำไม? ออกจากบ้านไปไม่กี่วันกลับมาก็ลืมเสียแล้วเหรอว่าตัวเองมีคู่หมายอยู่แล้ว? แม้ว่าข้ากับท่านปู่ของเจ้าจะไม่ยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่นี่เป็นสมรสที่องค์ฮ่องเต้ทรงประทานให้ให้องค์หญิงแต่งออก องค์หญิงผู้เพียบพร้อมที่สุดในแคว้นฉินของเราคู่กับจอมเสเพลอย่างเจ้า ก็นับว่าเป็นบุญวาสนาของเจ้าแล้ว”

คู่หมาย ! องค์หญิง !

มู่เกอลืมตาโตราวกับได้รับการกระทบกระเทือนใจสุดขีด สักพัก มู่ซงพูดอีกว่า “องค์หญิงฉางเล่อเป็นพี่น้องฝาแฝดกับรุ่ยอ๋อง นับๆ ดูแล้วในอนาคตรุ่ยอ๋องก็จะเป็นพี่ภรรยาของเจ้า ฉะนั้นต่อจากนี้ไปปู่ไม่อยากได้ยินคำนินทาเสียๆ หายๆเกี่ยวกับเจ้าและรุ่ยอ๋องอีก แน่นอนว่าแม้ว่าในอนาคตตระกูลเรากับรุ่ยอ๋องจะกลายเป็นญาติกัน ปู่ก็ไม่อยากให้เจ้าต้องถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับวังวนการแก่งแย่งชิงดีกันพวกนั้น ปู่เองก็อายุมากแล้ว ตระกูลเราก็เหลือแค่เราสามคน ท่านอาของเจ้าก็สาบานว่าจะไม่แต่งงานตลอดชีวิต ปู่ห้ามนางไม่ได้ แต่เจ้าจะต้องเชื่อฟังคำของปู่ เลิกนิสัยไม่ดีพวกนั้นเสีย แล้วมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างปลอดภัย สืบทอดสายเลือดตระกูลมู่”

“………….. ” มู่เกอฟังแล้ว ตาโตค้างพูดอะไรไม่ออก

สายตาของเธอหยุดอยู่ที่ร่างอันโปร่งแสงของมู่ชิงเกอ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกตัวเองต้องซวยเพราะผีตนหนึ่งเข้าเสียแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!