ตอนที่ 52
คนงามที่ให้ความรู้สึกราวกับเทพเซียน
บรรยากาศบนฝั่ง อธิบายง่ายๆ ก็คือราวกับว่าทิวทัศน์รอบๆ ดูหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับบ้านเมืองอันเจริญรุ่งเรืองที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น เรือค่อยๆ ลอยเข้าไปใกล้เรื่อยๆ
พอเรือเทียบฝั่ง เจ้าอ้วนเช่าก็ลงจากเรือเป็นคน
แรก
หลังจากนั้น มู่ชิงเกอก็เหยียบพื้นโคลนที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้สีชมพู
คนทั้งกลุ่มในมือถือถาดอาหารและอุปกรณ์สุรา ค่อยๆ ขึ้นฝั่งเดินตามจอมเสเพลทั้งสองของลั่วตูเข้าไปยังสวนดอกท้อ
พอเดินไปตามหนทางที่คดเคี้ยวได้สักพัก ทันใดนั้นเลียงพิณโบราณก็ดังแว่วมา
เสียงของพิณราวกับก้อนเมฆบนขอบฟ้า และราวกับหมอกหนากลางหุบเขา ล่องลอยไม่อาจจับต้องได้
เพราะความคุ้นเคยจางๆ ที่เกิดขึ้นในใจของมู่ชิงเกอ ทำให้นางเดินตามที่มาของเสียงไปโดยไม่รู้ตัว
เจ้าอ้วนเช่าและคนอื่นๆ ก็ทำได้แค่เดินตามไป
ดอกท้อดูน่าหลงใหล จนทำให้อยากจะอยู่ในป่าแห่งนี้ต่อไป
เดินอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้สักพัก มู่ชิงเกอก็เดินทะลุป่าท้อออกไปยังลานโล่งกว้างแห่งหนึ่ง ขณะนี้เสียงพิณเหมือนดังก้องอยู่ข้างหู สิ่งที่เห็นตรงหน้า ทำให้นางหรี่ตาลง
“เป็นเขา !”
กลีบดอกท้อสีชมพูอ่อนปลิวไปมาตามสายลมอยู่กลางป่า
พื้นที่ว่างที่ยากจะพบได้ในป่าแห่งนี้ มีศาลาหลังคาแปดมุมอยู่หลังหนึ่ง
ภายในศาลา มีกระถางธูปที่เต็มไปด้วยควันและชายหนุ่มในชุดตัวยาวสีเหลืองนวลที่กำลังนั่งขัดสมาธิ มือวางอยู่บนพิณ ผมดำของเขาไม่ได้เกล้าขึ้นมันจึงพริ้ว ไหวไปมาตามสายลม
กลีบดอกไม้หล่นลงมาสัมผัสกับเส้นผมของเขา แล้วหล่นลงที่กลางสายพิณ
แขนเสื้อเปิดกว้างเพราะการเคลื่อนไหวของปลายนิ้วที่ดีดผ่านสายพิณอย่างแผ่วเบา อ่อนโยนราวกับสัมผัสลงบนใบหน้าของคนที่รัก
ผิวที่ขาวเหมือนไร้ซึ่งเลือด และใบหน้าที่งดงามดั่งภาพวาด ราวกับเป็นเซียนในป่าท้อแห่งนี้ทำให้คนยากที่จะละสายตาจากเจ้าของเรือนร่างนี้ได้
แต่กลับดูเปราะบางกว่าใคร กลัวว่าหากสายลมในป่าพัดแรงไปกว่านี้ ก็จะสามารถพัดให้ตัวเขาปลิวกระจายหายไปได้
“เสียนอ๋อง!”
มู่ชิงเกอรู้สึกสงสัย
นางคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเขาอีกครั้งที่นี่
ทั้งสามครั้งที่ได้พบกัน ชายหนุ่มที่สงบนิ่งเหมือนนํ้าที่ไร้ระลอกคลื่นผู้นี้ทำให้นางเกิดความรู้สึกหนึ่งที่ยากจะอธิบาย เขาดูเปราะบางจนราวกับต้องการการปกป้องจากทุกคน และเหมือนกับจะปฏิเสธไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ในรัศมีพันลี้
เขามีชีวิตอยู่บนโลก แต่กลับเหมือนกับว่าเขาได้ปลิวหายไปตามสายลมนานแล้ว
มู่ชิงเกอหากลิ่นอายความมีชีวิตชีวาที่ควรมีบนร่างของเขาไม่เจอเลยแม้เศษเสี้ยว หากว่าเขาเป็นหุ่นไม้ ก็คงเป็นหุ่นไม้ที่ชวนให้คนรู้สึกอยากทะนุถนอมไม่อยากจะทำร้าย
แต่…ฐานะของเขา
สีหน้าของมู่ชิงเกอมืดครึ้มลงในทันที นางไม่ลืมว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นใคร เขาเป็นบุตรชายของฮ่องเต้แคว้นฉิน ฉินจิ่นเฉินผู้ที่ได้รับการอวยยศเป็นเสียนอ๋องและเป็นผู้ไม่ได้รับความรัก
เสียนอ๋อง (คำว่าเสียนนี้ออกเสียงเหมือนคำว่าเสียนที่แปลว่าว่าง)
เกรงว่า พระนามที่พระราชทานให้นี้ อาจจะบ่งบอกถึงความในพระทัยของฮ่องเต้
บุตรชายที่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกรัก เป็นแค่คนไร้ตัวตนไปเสียยังจะดีกว่า ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ แค่เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับสลายไปเอง
ใบหน้าอันงดงามนั้นกลับทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ นางเป็นผู้ที่ไร้พลัง แต่กลับได้รับความรักทั้งหมดจากท่านปู่และท่านอา
เขาเป็นถึงองค์ชายผู้สูงศักดิ์ แต่กลับถูกบิดาแท้ๆ รังเกียจเพียงเพราะร่างกายอ่อนแอขี้โรคเกิดมาก็ไม่เป็นมงคล
ฐานะและสิ่งที่ต้องประสบที่ต่างจากคนอื่นๆ นี้ อาจจะเป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ทั้งๆ ที่สิ่งที่มู่ชิงเกอมองเห็นคือความงดงามขาวสะอาดอันเปราะบาง แต่สิ่งที่นางรู้สึกกลับเป็นความสิ้นหวังที่มืดมนไร้จุดสิ้นสุด
เสียงพิณพลันหยุดลง ราวกับว่าผู้ดีดพิณ รู้ตัวแล้วว่ามีคนบุกรุกเข้ามา
สายตาของมู่ชิงเกอสั่นไหวเล็กน้อย และสบเข้ากับสายตาอันสงบนิ่งไร้ความรู้สึกคู่นั้น
ยังคงเป็นดวงตาคู่ที่ตาขาวและดำแยกออกจากกันอย่างชัดเจน และไม่มีความรู้สึกใดๆ หรืออาจเพราะเก็บซ่อนไว้ลึกจนเกินไป?
เรื่องนี้มู่ชิงเกอไม่อาจรู้ได้ แต่มาโดยไม่ได้รับเชิญและถูกเขาจับได้แล้ว แน่นอนว่าจะต้องกล่าวทักทายสักหน่อย
แต่ก็แค่คิดในใจ นางค่อยๆ เดินออกจากหลังกิ่งไม้ที่บดบัง มายังพื้นที่โล่ง
เจ้าอ้วนเช่า และหญิงสาวพวกนั้นเองก็เดินตามมา ทั้งหมดปรากฏตัวหน้าศาลาตรงหน้าฉินจิ่นเฉิน แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้สายตาคู่นั้นของเขามีความรู้สึกใดๆ ขึ้นมาได้
มู่ชิงเกอเดินเข้าไปใกล้ แต่กลับไม่ได้เข้าไปยังศาลาแปดเหลี่ยม
นางยืนอยู่ข้างนอกพร้อมยกมือขึ้นคารวะ พร้อมพูดกับคนในศาลา “วันนี้ออกมาเที่ยวป่ากับสหาย แล้วบังเอิญได้ยินเสียงพิณจากในศาลา มู่ชิง
เกอก็เลยตามเสียงเพลงมา แต่กลับมารบกวนอารมณ์สุนทรีของพระองค์ ขอเสียนอ๋องโปรดประทานอภัยด้วย”
“อะไรนะ! เขาคือเสียนอ๋องผู้ลึกลับอย่างนั้นรึ?” เจ้าอ้วนเช่าอึ้งและแอบพึมพำอยู่ข้างหลังมู่ชิงเกอ
เสียนอ๋องผู้ลึกลับอย่างนั้นหรือ มู่ชิงเกอเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าข่าวกรองของตระกูลมู่จะเป็นความจริงสินะ เสียนอ๋องผู้นี้ค่อนข้างเก็บตัวไม่ค่อยออกมาข้างนอกจริงๆ เสียด้วย ขนาดเจ้าอ้วนเช่าที่เป็นจอมเสเพลยังไม่รู้จักเลย
“เจ้าอ้วน ยังไม่รีบถวายพระพรเสียนอ๋องอีก” มู่ชิงเกอกล่าวเตือน
“ห๊ะ! โอ้ๆ เช่าเย่เจ๋อแห่งตระกูลเช่าถวายบังคมเสียนอ๋อง ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญพันปีพันพันปี” เจ้าอ้วนเช่าที่ได้ยินคำเตือนรีบถวายความเคารพ รวมทั้งบรรดาหญิงนางโลมเหล่านั้นต่างก็คุกเข่าลงด้วยความเกรงกลัว
ทันใดนั้นก็เหลือเพียงมู่ชิงเกอคนเดียวที่ยังยืนอยู่
ดวงตาอันสงบนิ่งของฉินจิ่นเฉินค่อยๆ ละสายตาจากมู่ชิงเกอ และมองข้ามร่างกายอันอ้วนท้วนของเจ้าอ้วนเช่าไปหยุดสายตาที่เหล่าสาวงาม
สักพักเขาก็ก้มหน้าลง ขนตาอันยาวงอนปกปิดนัยน์ที่ขาวและดำแยกจากกันอย่างชัดเจน
“ในเมื่อมาเที่ยว ก็ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรขนาดนี้ก็ได้”
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงเกอได้ยินเสียงของเขา ในนํ้าเสียงนั้นมีความรู้สึกเย็นชาห่างเหินซ่อนอยู่ แต่มันกลับอบอุ่นและสงบนิ่ง ใบหน้าดูขาวซีดแต่แฝงไปด้วยความสะอาดสะอ้าน พร้อมทั้งกลิ่นอายของผู้สูงส่งโดยกำเนิด
ต่างกับความเยือกเย็นและหยิ่งยโสของฉินจิ่นห้าว ความลึกลับน่าค้นหาของนายตัวประหลาด
แต่กลับทำให้นางรู้สึกว่า เสียงี้สามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่แท้จริงจากใจได้ดั่งไข่มุกที่ตกกระทบกับจานแก้วก็ไม่ปาน