ตอนที่ 79-6
คุณชายตบหน้าอย่างรุนแรง
การฝึกเช่นนี้ แม้จะเป็นผู้ชายก็ไม่แน่ว่าจะอดทนผ่านไปได้พวกนางเป็นหญิงสาวที่เปราะบางจะอดทนให้ผ่านไปได้สักแค่ไหนกัน?
แต่พวกนางก็รู้ถึงนิสัยของมู่ชิงเกอดี ฉะนั้นพวกนางจึงไม่กล้าปฏิเสธ ทั้งสองนางทำได้เพียงให้กำลังใจและอธิษฐานให้กันและกัน
พอฐานแรกเริ่มต้นขึ้น มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ พูดขึ้นว่า “นี่แค่เริ่มต้น เป็นแค่ฐานที่ง่ายที่สุดเท่านั้น”
ประโยคนี้ทำให้ทุกคนตกใจจนเกือบจะล้มลงไปกับพื้น
นี่ง่ายที่สุดแล้วหรือ?!
ทุกคนแอบนํ้าตาตกใน แต่ก็ทำได้แค่ยืนอยู่บนเส้นเริ่มวิ่ง
ฝึกจนฟ้ามืด
ในวันนี้ แทบจะไม่มีใครที่ไม่ได้ใปวิ่งรอบภูเขา บางคนวิ่งไปเจ็ดแปดรอบ โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตอนแรก พี่ๆ ทหารคิดว่ามู่ชิงเกอจะทะนุถนอมทั้งสองสาว กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะใจแข็งได้ถึงเพียงนี้ ทำเป็นมองไม่เห็นร่างอันสั่นไหวเหมือนจะแตกสลายของทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
เห็นแบบนี้ พี่ๆ ทหารต่างก็ต้องทำใจ
ปาดเหงื่อจากความเหน็ดเหนื่อย ในที่สุดพวกเขาก็พบว่า การจะให้คุณชายใจอ่อนนั้น ยากยิ่งกว่าทำให้ดวงตะวันขึ้นทางทิศตะวันตกเสียอีก
ค่ำคืนนี้หลายร้อยคนต่างก็ใช้เวลาไปกับการฝึกพลังเวท และมู่ชิงเกอก็อยู่ในหุบเขาโดยไม่ได้กลับจวน
เป็นเพราะนางไม่ชอบความวุ่นวายในลั่วตู อยู่ฝึกกับทหารที่นี่ทำให้นางสบายใจมากกว่า
วันที่สอง ยังไม่รุ่งสาง
เสียงสัญญาณก็ดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขา ปลุกทหารนับร้อยที่เหนื่อยราวกับสุนัขตายจากการฝึกฝนเมื่อวานให้ตื่นขึ้น
แม้ว่าจะผ่านการฝึกมาทั้งคืน แต่เพราะระดับขั้นที่ไม่เท่ากัน ทำให้การฟื้นตัวของทุกคนต่างกัน พอเห็นหลายคนดูเหน็ดเหนื่อย มู่ชิงเกอก็ยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวพลางพูดว่า “เริ่มการฝึกแล้ว เรามาอบอุ่นร่างกายกันก่อน วิ่งรอบภูเขาสามรอบ”
โห่~!
ฮือๆๆ คุณชายไม่ใช่คนแล้วแต่เป็นปีศาจ!
ทั้ง 503 คนเริ่มวันอันยากลำบากพร้อมคำบ่นในใจ แต่ว่าครั้งนี้ มู่ชิงเกอมาวิ่งด้วยและวิ่งอยู่หน้าสุด เห็นร่างอันผอมบางตรงหน้า เหล่าพี่ทหารเจ็บปวดใจจนแทบจะร้องไห้อีกครั้ง
ไหนบอกว่าคุณชายฝึกเวทพลังไม่ได้ แล้วเหตุใดถึงมีพละกำลังมากกว่าพวกเขาเล่า?
ในที่สุดก็มีคนสังเกตเห็นว่า การก้าวเท้าของมู่ชิงเกอนั้นดูแตกต่าง ราวกับว่าทุกก้าวของเขานั้นดูตั้งใจที่จะไม่ใช้กำลังสิ้นเปลืองเกินไปอย่างนั้น
หลังจากที่เห็นถึงความแตกต่างนี้ ก็เริ่มมีคนทำตาม สักพักพวกเขาก็ลืมความเหน็ดเหนื่อยและวิ่งได้อย่างสบายมากขึ้น
มู่ชิงเกอที่วิ่งอยู่ข้างหน้า ก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นข้างหลังตนเองริมฝีปากอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา
การฝึกดำเนินอย่างต่อเนื่องทุกวัน เหล่าทหารต่างมีการพัฒนาขึ้นในทุกวัน เพียงพริบตาก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว มู่ชิงเกอไม่ได้ออกจากหุบเขาเลยแม้แต่ก้าวเดียวจึงไม่รู้ข่าวคราวของลั่วตูเลย
ในวันนี้ มู่ชิงเกอตัดสินใจจะไปลั่วตูสักครั้งเพราะออกแบบอุปกรณ์เอาไว้ จะต้องกลับไปที่ลั่วตูเพื่อหาคนมาสร้างมัน
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยถูกสั่งให้ฝึกต่อ มู่ชิงเกอขี่ม้ากลับลั่วตูแต่เพียงผู้เดียว
หลังจากที่กลับมาถึงจวนตระกูลมู่ มู่ชิงเกอจึงทราบข่าวจากพ่อบ้านว่า ช่วงที่นางไม่อยู่ องค์หญิงฉางเล่อมาหานางหลายครั้งแต่ก็ต้องกลับไปพร้อมความเสียดาย
ครั้งสุดท้าย องค์หญิงฉางเล่อฝากพ่อบ้านมาบอกนางว่า องค์หญิงจะไปถือศีลกับไทเฮาคงจะไม่อยู่เป็นเดือน พอนางกลับมาค่อยมาหามู่ชิงเกอใหม่
สำหรับเรื่องนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้ใส่ใจมากนัก
ตอนนี้ นางคิดเพียงแต่จะสร้างทหารของตนให้ยอดเยี่ยม
“คุณชาย โย่วเหอและฮวาเยวี่ยไม่ได้กลับมาด้วย ให้ข้าส่งบ่าวอีกสองคนไปปรนนิบัติท่านที่เรือนดีไหมขอรับ?” พ่อบ้านที่เดินตามมาส่งมู่ชิงเกอที่เรือนถามขึ้น มู่ชิงเกอปฏิเสธในทันที “ครั้งนี้ข้ากลับมาเพราะมีเรื่องต้องจัดการ ไม่กี่วันก็จะกลับไป ไม่ต้องลำบากหรอก”
“คุณชายจะกลับไปไวขนาดนี้เลยหรือขอรับ?” พ่อบ้านเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็หยุดไป
มู่ชิงเกอรับรู้ถึงความลังเลในคำพูดของพ่อบ้านจึงหันกลับไปมองเขาพลางพูดว่า “มีอะไรก็รีบพูดมา”
พ่อบ้านก้มหน้าลงพลางพูดว่า “ช่วงที่คุณชายไม่อยู่ แม่นางป๋ายมักจะบอกกับนายท่านและคุณหนูใหญ่ว่า คุณชายก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะทำตัวดีๆ ไม่ออกไปเที่ยวเล่นตามใจแม้แต่จวนก็ยังไม่กลับเช่นนี้ยิ่งไปกว่านั้นนางถึงกับเสนอให้นายท่านส่งคนไปตามท่านกลับมา”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “นางไม่รู้หรือว่าข้าไปไหน?” เรื่องที่นางไปค่ายทหารในจวนตระกูลแห่งนี้ไม่ได้เป็นความลับอะไรเลย ไม่คิดว่าป๋ายซีเยวี่ยจะไม่รู้
พ่อบ้านยิ้ม “หลังจากเรื่องนั้น ความคิดของคนในจวนที่มีต่อแม่นางป๋ายก็…นางเคยส่งให้ลวี่จือออกมาสืบหลายครั้ง แต่ทุกคนต่างก็คิดว่านางจุ้นจ้านมากเกินไป จึงเลือกที่จะเงียบและปิดบังไว้ขอรับ”
เฮอะ~! ถึงขนาดนี้เลยรึ? นี่นับว่าเป็นความโชคดีที่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ !
มู่ชิงเกอชอบใจมาก นางไม่รู้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายซีเยวี่ยกับคนในจวนตระกูลมู่แย่ได้ถึงเพียงนี้ “ท่านปู่กับท่านอาก็ไม่ได้บอกนางรึ?” มู่ชิงเกอถามขึ้นอีก
พ่อบ้านพยักหน้า
สำหรับเรื่องของป๋ายซีเยวี่ย พวกเขาไม่ได้คิดลึกอะไรมาก เพียงคิดว่าไม่ว่าจะอย่างไรป๋ายซีเยวี่ยก็เป็นแค่แขกของตระกูลมู่ ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด และไม่ได้แต่งงานกับคุณชายของพวกเขา คนที่พูดจาไม่เข้าหูท่าทางก็ไม่เข้าท่าแบบนี้ อยากจะมาก้าวก่ายอิสระของคุณชาย ก็เกินไปหน่อยจริงๆ นายหญิงตัวจริงของตระกูลมู่อย่างองค์หญิงฉางเล่อยังไม่ทำถึงเพียงนี้ แล้วนางมีสิทธิ์อะไร?
พูดจากใจจริงแล้ว พวกบ่าวอย่างพวกเขาสุดท้ายก็ปกป้องแค่เจ้านายแซ่มู่ที่แท้จริงเพียงสามคนเท่านั้น
มู่ชิงเกอยิ้มพลางพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องไปสนใจ” นางพูดจบแล้วกำลังจะเดินเข้าเรือนไปแต่อยู่ๆ ก็หยุดและถามว่า “นอกจากองค์หญิงฉางเล่อ ยังมีใครมาจวนตระกูลมู่อีกหรือไม่?’’
พ่อบ้านทบทวนครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ยังมีรุ่ยอ๋องที่เสด็จมา แต่ว่าทุกครั้งที่เสด็จมาพระองค์ก็จะบอกว่ามาพบนายท่าน พอทราบว่านายท่านไม่อยู่ ก็เสด็จกลับไปขอ รับ”
“แล้วเขามาพูดคุยกับใครหรือไม่” มู่ชิงเกอถามพลาง กะพริบตาหลายที
เห็นว่ามู่ชิงเกอซักไซ้อย่างละเอียด พ่อบ้านเฒ่าจึงแอบคิดในใจว่า คุณชายยังมีใจให้กับรุ่ยอ๋องอยู่อีกหรือ?
พอคิดเช่นนี้ เขาก็ถอนหายใจ
ช่วงนี้ไม่เห็นคุณชายไปหารุ่ยอ๋องก็คิดว่าเขาจะเปลี่ยนความคิดแล้ว แต่กลับไม่คิดว่า…
“ทำไมรึ?” พ่อบ้านเงียบไป ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
“อ้อ!” พ่อบ้านเฒ่าพลันได้สติและรีบพูดว่า “มีสองสามครั้งที่แม่นางป๋ายผ่านทางมาพอดีและนางก็เป็นคนส่งรุ่ยอ๋องออกจากจวนขอรับ”
มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งสองข้าง “ช่วงที่ผ่านมานี้ป๋ายซีเยวี่ยออกจากจวนบ้างหรือเปล่า?”
พ่อบ้านพยักหน้า “ออกไปหลายครั้งขอรับ แต่บอกว่าออกไปซื้อพวกชาดสำหรับผู้หญิงและผ้าที่ใช้สำหรับปัก”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเหมือนกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่างอยู่แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ
“อ้อ จริงด้วย!” พ่อบ้านเหมือนคิดอะไรออก จึงพูดกับนางว่า “วันก่อนมีเทียบเชิญจากในวังเชิญคุณชายเข้าวัง ประจวบเหมาะกับที่องค์หญิงฉางเล่อประทับอยู่ที่ จวนพอดี จึงทรงตอบรับแทนคุณชายไปแต่ไม่รู้ว่าใครในวังเป็นคนเชิญ”
คำเชิญจากในวังอย่างนั้นหรือ?
มู่ชิงเกอแอบคิดในใจ ใครเชิญนางเข้าวังกัน?
หากเป็นฮ่องเต้สั่งก็คงส่งคนมาประกาศราชโองการแล้ว จะส่งเทียบเชิญมาทำไมกัน? หรือจะเป็นไทเฮา? ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะฉางเล่อไปถือศีลกับพระนางไม่ใช่หรือ? แล้วยังจะมีผู้ใดอีก? เจียงกุ้ยเฟย? หรือหานฮองเฮา?
หลังจากที่มู่ชิงเกอเรียบเรียงความเป็นไปได้ทั้งหมดในใจแล้ว ก็ยังคงคิดไม่ออกว่าใครต้องการพบนางกันแน่
คิดไม่ออกก็ช่างเถอะ หลังจากที่มู่ชิงเกอสั่งให้พ่อบ้านกลับไป ก็เดินเข้าไปในเรือนของตนเอง
ครั้งนี้นอกจากจะมาเพื่อผลิตอาวุธแล้ว ยังต้องปรุงยาระดับตํ่าที่ช่วยฟื้นฟูและเพิ่มพลังภายใน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝึกในวันข้างหน้าไว้อีกด้วย
สำหรับอาวุธ นางไม่คิดจะให้ท่านปู่ช่วยจัดการให้ เพราะอย่างไรทั้งสองก็มีสัญญาสามเดือนนั้นอยู่ สำหรับฝ่ายที่เป็นศัตรูแล้วมู่ชิงเกอจะยอมให้รู้ไพ่เด็ดของตนเองง่ายๆ ได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้นนางจึงต้องหาช่างเหล็กมาผลิตเอง เรื่องนี้เจ้าอ้วนเช่าอาจจะช่วยได้ เพราะอย่างไรเสีย ท่านพ่อของเขาก็เป็นผู้บัญชาการทหารของราชสำนัก และรู้ว่า ใครบ้างที่สามารถผลิตอาวุธที่มีคุณภาพได้
ก่อนกลับ นางได้ให้คนไปบอกข่าวกับเจ้าอ้วนเช่า นัดกันว่าจะไปจัดการเรื่องนี้ในวันนี้
ภายในเรือนสวนสระเมฆา มู่ชิงเกอคิดทบทวนเรื่องอาวุธ ทางด้านการทหารที่คุ้นเคยในความทรงจำและหลังจากที่มั่นใจว่าชนิดไหนบ้างที่สามารถนำมาใช้และสร้างในโลกนี้ได้อย่างเปิดเผย ก็วาดทุกอย่างลงในกระดาษอย่างชัดเจน
พอเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ก็รอเจ้าอ้วนเช่ามาหา
เพิ่งจะยกรูปวาดทั้งหมดขึ้นมา ก็มีคนมาบอกว่าเจ้าอ้วนเช่ามาแล้ว
มู่ชิงเกอเดินออกจากเรือนในทันที
ไม่ได้เจอเจ้าอ้วนเช่ามาหลายวัน การเจอกันครั้งนี้มามู่ชิงเกอรู้สึกว่าเจ้าอ้วนเช่าอ้วนขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว ทั้งร่างกายก็กลมขึ้นคล้ายกับลูกบอลโยคะ
หลังจากที่หลบจากอ้อมกอดอันเต็มไปด้วยความยินดีของเจ้าอ้วนเช่า มู่ชิงเกอก็พูดอย่างรังเกียจว่า “เจ้าอ้วน เจ้าควรลดนํ้าหนักได้แล้ว”
เจ้าอ้วนเช่าก็หน้าเสียไปในทันทีและบ่นด้วยความน้อยอกน้อยใจว่า “ลูกพี่ ขนาดท่านเองก็พูดกับข้าเช่นนี้”
“หืม มีใครว่าเจ้าเช่นนี้อีกหรือ?” มู่ชิงเกอกลอกตาไปมา รู้ถึงความนัยแฝงของประโยคนี้
“ยังจะมีใครอีกล่ะ ก็ท่านแม่ของข้าไง” ใบหน้าของเจ้าอ้วนเช่าเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ “ข้าก็ไม่อยากอ้วนแบบนี้เสียหน่อย! แต่ว่าให้แค่ดื่มน้ำก็อ้วนขึ้นสองสาม กิโลข้าจะทำอย่างไรได้? แล้วจะเร่งให้ข้าลดน้ำหนัก บอกว่าหากอ้วนไปกว่านี้จะหาเมียไม่ได้ท่านคิดดู แช่งลูกชายแท้ๆของตนเองเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
มู่ชิงเกอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดในทันที
เจ้าอ้วนเช่าอายุพอๆ กับนาง ปีหน้าก็จะต้องเข้าพิธีสวมหมวกแล้ว ด้วยกฏหมายของแคว้นฉินหลังจากที่เข้าพิธีสวมหมวกแล้ว ก็ถือว่าบรรลุนิติภาวะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องคิดถึงเรื่องแต่งงาน ถึงว่าท่านแม่เจ้าอ้วนเช่าถึงได้ รีบร้อนแบบนี้
มู่ชิงเกอตบไหล่ของเจ้าอ้วนเช่าด้วยความเห็นใจ “ไอ้น้องชาย เรื่องนี้ข้าคงช่วยเจ้าไม่ได้” แต่จริงๆ แล้ว เมื่อสักครู่นางมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว นางอยากจะ ใช้ยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอในการเปลี่ยนแปลงธาตุในร่างกายของเจ้าอ้วน แต่ว่านางไม่ได้เป็นคนคิดค้นยานี้ขึ้นมา และไม่รู้ถึงส่วนประกอบโดยแท้ของมัน นางก็แค่บังเอิญเจอความได้เปรียบจากยาที่สร้างเอาไว้แล้วก็เท่านั้น ถ้าเจ้าอ้วนกินเข้าไปหากไม่ผอมลงแต่อ้วนขึ้น แล้วนางจะเรียกร้องความเป็นธรรมจากใครได้?
คิดทบทวนสักพัก สุดท้ายนางก็ล้มเลิกความคิดนี้
อีกอย่างหลังจากที่กินยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอเข้าไปแล้ว ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดก็ไม่รู้ว่าเจ้าอ้วนเช่าจะทนได้หรือไม่
“ขาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่ชิงเกอมองขาของเจ้าอ้วนเช่าแล้วถาม
เจ้าอ้วนเช่าพูดอย่างกระหยิ่มใจว่า “หายตั้งนานแล้ว!”