Skip to content

พลิกปฐพี 88-1

ตอนที่ 88-1

ตาเฒ่าหัวไว!

ณ แคว้นฉิน ลั่วตู

จดหมายลับหลายฉบับที่มาจากชายแดนทั้งทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นฉิน ซึ่งกล่าวถึงเรื่องเดียวกันได้ถูกส่งไปยังสถานที่ต่างๆ

ทั้งในวังหลวง วังตะวันออกและตำหนักรุ่ยอ๋อง

ผู้คนที่เห็นเนื้อหาในจดหมายลับเหล่านี้ ต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป…

ในวังหลวง กลางดึก ภายในห้องหนังสือที่ยังคงจุดไฟจนสว่าง นานๆ ทีจะมีเสียงไอดังขึ้นจากข้างใน ทำให้นางกำนัลที่เดินผ่าน ต่างก็เบาฝีเท้าลง ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวนผู้ที่อยู่ข้างใน

“ฝ่าบาท ย่างเข้ายามวิกาลแล้ว กุ้ยเฟยทรงส่งคนมาเร่งหลายหน ถามว่าฮ่องเต้จะเสด็จไปยังตำหนักฟ่งหยีเมื่อใด” ผู้รักษาการฝ่ายในซึ่งก็คือขันทีคนสนิทของฉินชางฮ่องเต้แห่งแคว้นฉินส่งนํ้าชาให้พลางถามอย่างระมัดระวัง

“เร่งรีบอันใดกัน ข้อราชการของข้ายังจัดการไม่เสร็จ” ฉินชางขมวดคิ้ว พลางพูดอย่างไม่พอใจ แต่ความอึดอัดในอก ทำให้เขาอดไอออกกมาไม่ได้เมื่อพูดจบ

“ฝ่าบาททรงถนอมพระวรกายด้วยพะยะค่ะ!”

“ไม่เป็นไร” ฉินชางโบกมือ “แค่โดนลมเย็นเท่านั้นไม่ต้องกินยาหรอก” พูดจบสายตาของเขาก็พลันไปหยุดที่จดหมายลับที่เปิดค้างไว้อยู่บนโต๊ะ บนนั้นเป็นกระดาษสีขาวปรากฏตัวอักษรสีดำ ใช้คำพูดสั้นกระชับในการรายงาน แต่กลับทำให้จิตใจของเขาหนักอึ้ง

ที่ชายแดนระหว่างแคว้นฉินและแคว้นถู มีกลุ่มลึกลับไม่ทราบฝ่ายปรากฏตัวขึ้น กวาดล้างคร่าชีวิตของนักโทษที่ได้รับโทษสถานหนักไปจำนวนมาก

พวกเขาปรากฏตัวและหายวับไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา การลงมือทุกครั้งว่องไวดั่งสายฟ้าและอำมหิตไร้ซึ่งปรานี จำนวนสิบกว่าคนภายในกลุ่มนั้น เล่าว่าเป็นสายเขียว กระทั่งมีสายครามด้วย?

อีกอย่างพวกเขามีการวางแผนที่รอบคอบ ทุกครั้งที่มีการลงมือ ไม่เหลือร่องรอยเบาะแสอะไรไว้เลย คนพวกนี้เป็นผู้มีอำนาจจากที่ใดกัน เหตุใดถึงปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้

สัญชาตญาณของฉินชางบอกกับเขาว่า หากไม่สามารถสืบเรื่องนี้จนกระจ่าง แคว้นของเขาจะต้องสั่นคลอนแน่ แต่ทว่าไม่ว่าเขาจะส่งสายสืบออกไปมากเพียงใด ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวที่เป็นประโยชน์อะไรเลย อีกฝ่ายเหมือนเป็นประหนึ่งหมอกขาวที่จางหายไป

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เขาเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ กลุ่มอำนาจดังกล่าว เขาไม่อาจควบคุมมันได้ มันเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในลำคอ หากไม่กำจัดมันเขาคงไม่อาจมีความสุขได้!

แต่น่าเสียดาย วิธีการที่ไม่ทิ้งร่องรอยเช่นนี้ทำให้เขาไม่อาจคิดวิธีมาเพื่อรับมือได้

นี่ต่างหากที่ทำให้เขาเกิดโทสะมากที่สุด เพราะมันแสดงให้เห็นว่าทหารของแคว้นฉินนั้นมันไร้ประโยชน์!

“ช่างเถิด วันนี้พักผ่อนก่อนแล้วกัน” หากตรองแล้วยังหาคำตอบไม่ได้ฉินชางก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน และเสด็จไปยังตำหนักฟ่งหยี

ในขณะที่เขาเดินไปถึงครึ่งทาง ทันใดนั้น เขาก็เปลี่ยนความคิด พลันพูดกับขันทีที่อยู่ข้างกายว่า “ไปตำหนักหว่านเสียเถอะ”

ขันทีฉงนใจและถามเพื่อความแน่ใจว่าอีกครั้งว่า “ฝ่าบาทจะทรงให้อวิ๋นเฟยปรนนิบัติหรือพะยะค่ะ?”

ฉินชางพยักหน้าโดยไม่ลังเล เมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกเหนื่อยล้า อวิ๋นเฟยสามารถทำให้เขาสงบลงได้เสมอ

“แต่ทางกุ้ยเฟยนั้น…” ขันทีถามอย่างลังเล

ฉินชางไม่พอใจพร้อมพูดว่า “ข้าอยากไปที่ไหน ก็ไปที่นั่น หรือว่าต้องขออนุญาตจากนางก่อนอย่างนั่นรึ?”

ในช่วงนี้ การแย่งชิงระหว่างบุตรชายทั้งสองของเขาถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจ แต่มารดาของทั้งสองคน กลับทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่าย เมื่อคิดถึงความอ่อนโยนวางตัวอยู่เหนือทุกสิ่งของอวิ๋นเฟย ฉินชางก็พลันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาหลายส่วนฝีเท้าที่มุ่งไปยังตำหนักหว่านเสียก็ไวยิ่งขึ้น เมื่อขันทีคนสนิทเห็นว่าไม่สามารถหยุดไว้ได้จึงทำได้เพียงแค่ให้ขันทีที่อยู่ข้างกายไปส่งข่าวที่ตำหนักฟ่งหยี แล้วตนเองก็รีบตามไป

 

ณ วังตะวันออก ภายในเรือนยังคงส่องประกายแสงเทียน

ภายในมุ้งยังคงเอ่อล้นด้วยกลิ่นไอแห่งความสุขบนเตียงที่สภาพยับเยิน มีร่างอันงดงามนอนกระจัดกระจายอยู่จำนวนหนึ่ง ในคนเหล่านี้ มีทั้งชายหนุ่มและหญิงสาว มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกันนั่นก็คืออายุยังน้อย

รัชทายาทฉินจิ่นซิวลุกขึ้นอย่างงัวเงีย พาร่างอันเหนื่อยล้าของตนเองเดินไปยังนอกตำหนักรับจดหมายลับจากชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือจากทหารฝ่ายใน เขาเพียงแค่กวาดสายตามองแล้วโยนมันทิ้ง

ทหารรีบก้มลงไปเก็บ โดยไม่แสดงอาการใดๆ

“ของพวกนี้ เอาไปให้เสด็จแม่ก็พอ ส่งมาให้ข้าทำไมกัน” ฉินจิ่นซิวพูดอย่างไม่พอใจพลังอันลึกลับอะไรกัน เขาไม่สนใจ ตราบใดที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ทุกอย่างในแคว้นฉินก็จะตกเป็นของเขาไม่ใช่เหรอ?

“รัชยาทาท ฮองเฮาทรงให้มาส่งข่าวว่า ฮ่องเต้ทรงกำหนดแล้วว่าจะให้ท่านรับรองทูตจากแคว้นถู ขอให้พระองค์ทรงถนอมสุขภาพ ไม่หักโหมและระวังมารยาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนพะย่ะค่ะ” ทหหารเงยหน้าขึ้นมาอย่างสั่นๆ แล้วพลางพูดอธิบายเบาๆ

ฉินจิ่นซิวแค่นเสียงเย็นเยียบ ปรายตาลงมองทหารนายนั้น

ทหารนายนั้นราวกับตกอยู่ท่ามกลางธารนํ้าแข็ง

ฉินจิ่นซิวพูดด้วยนํ้าเสียงอันโหดเหี้ยมและเย็นเยียบว่า “ก็แค่ทูตบ้านป่าของแคว้นถูจำเป็นต้องให้ข้าไปทุ่มเทต้อนรับเชียวรึฉินกับถูสองแคว้นรบพุ่งกันมาโดยตลอด ที่มาเยี่ยมเยือนครั้งนี้ใครจะรู้ว่าฝ่ายนั้นมีเจตนาแอบแฝงอะไร? ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก!”

ทหารนายนั้นสะดุ้งและเร่งรีบถอยออกไปโดยไม่แม้กระทั่งจะมองทาง

เพราะเขารู้ว่าหากช้ากว่านี้อีกก้าว ไม่แน่ว่ารัชทายาทผู้เอาแต่ใจและแสนอำมหิตผู้นี้จะฆ่าเขาทิ้งเสียหรือไม่

ต่างก็บอกว่าคุณชายตระกูลมู่เป็นจอมเสเพล แต่ใครจะรู้บ้างว่ารัชทายาทในวังหลวงกลับเป็นปีศาจที่เลวร้ายยิ่งกว่า

เมื่อเทียบกับรัชทายาทแล้ว คำว่า ‘จอมเสเพล’ กลายเป็นคำที่เหมือนการยกย่องและเคารพนับถือคำหนึ่งไป

กลางดึก ณ ตำหนักรุ่ยอ๋อง

ทว่า รุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าวยังไม่เข้านอน

เขายังคงอยู่ในชุดเต็มยศสะอาดสะอ้านนั่งอยู่ในห้องลับ รอบข้างเป็นเหล่าที่ปรึกษาและเสนาบดี

ในมือของเขา ก็มีจดหมายข่าวลับเช่นกันและเนื้อหาภายในนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับฉบับที่ฮ่องเต้และรัชทายาทได้รับ หลังจากที่เขาอ่านจบ ก็ส่งต่อให้กับคนอื่นๆ จากซ้ายไปขวา

พอจดหมายเวียนกลับมาที่ในมือเขาอีกหน เขาจึงถอนหายใจพลางพูดว่า “หากข้ามีกองทัพที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ จะดีสักเพียงไหนกันนะ?”

ท่ามกลางที่ปรึกษา มีคนประสานมือขึ้นกล่าวปลอบพระทัย : “พระองค์ไม่ต้องทรงกังวลไปพะยะค่ะ ถึงแม้ว่าคนพวกนั้นจะดูลึกลับและมีฝีมือเหนือชั้น แต่ก็มีเพียงแค่สิบกว่าคน คงจะช่วยงานใหญ่ของพระองค์ได้ไม่มากนัก”

“ก็ไม่แน่ ท่านต้องรู้ว่า บางทีพลังเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเปลี่ยนทุกอย่างได้” ที่ปรึกษาอีกคนรีบแย้ง ทันใดนั้น ทั้งสองก็โต้แย้งกันตามความคิดเห็นของตน

ฉินจิ่นห้าวขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นพลางพูดว่า “พอได้แล้ว ท่านทั้งสอง ข้าเพียงแค่พูดในสิ่งที่คิดก็เท่านั้น กองทัพที่มีที่มาลึกลับและเก่งกาจเช่นนี้ ยังไม่ใช่สิ่งที่ลั่วตูจะมีได้ แม้ว่าข้าจะอยากได้มันมากสักเพียงไหนก็เป็นแค่ความคาดหวังเท่านั้น เรามาปรึกษาเรื่องที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ดีกว่า”

คำพูดนี้ของเขา ทำให้ทั้งสองต่างก้มหน้าเงียบลง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version