ตอนที่ 88-2
ตาเฒ่าหัวไว!
เรื่องที่อยู่ตรงหน้าอย่างนั้นรึ คงหนีไม่พ้นเรื่องของทางวังตะวันออกและทูตแห่งแคว้นถู
เงียบไปครู่หนึ่งที่ปรึกษาท่านหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านผู้ นที่วังตะวันออก ช่วงที่ผ่านมานี้ได้เผยตัวตนที่แท้จริงออกมามาก หากเรายังแอบสังเกตการณ์ต่อไป เชื่อว่าอีก ไม่นานนักก็จะสามารถฉีกหน้ากากคนดีจอมปลอมของเขาออกมาได้บางทีเราอาจจะต้องใช้การมาเยือนของราชทูตแห่งแคว้นถูในครั้งนี้ให้เป็นประโยชน์ อยู่ๆ แคว้นถูก็ส่งราชทูตมาเยือน จุดประสงค์ยังไม่แน่ชัด ด้วยความสัมพันธ์ของสองแคว้นตอนนี้หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาล่ะ…” ในขณะที่พูด สายตาของที่ปรึกษาก็เหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาของฉินจิ่นห้าว พอเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีที่จะห้ามปราม จึงพูดต่อว่า “เราก็จะสามารถ… หากถึงเวลานั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องกับราชทูตจากแคว้นถูหรือว่ามีข่าวว่าองค์รัชทายาททรงร่วมมือกับแคว้นถู ต่างก็จะทำให้วังตะวันออกหรือกระทั่งหานฮองเฮาเองไม่สามารถกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกเป็นแน่ เมื่อตระกูลหานล้ม ถึงตอนนั้นตำแหน่งอันสูงส่งนั้นก็จะอยู่ในมือของพระองค์แล้วมิใช่หรือฟะย่ะค่ะ” พอพูดจบ ทุกคนต่างก็เห็นด้วยและสนับสนุนความคิดนี้
ฉินจิ่นห้าวเงียบไปนาน ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้น ทุกคนก็เงียบลงและมองไปที่เขาอย่างระมัดระวัง
ที่ปรึกษาที่อยู่ใกล้เขาที่สุด เอ่ยถามว่า “ทรงคิดอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ่นห้าวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น คิ้วอันดกดำขมวดเล็กน้อย พลางพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เหมือนว่าพวกเจ้าจะลืมไปแล้วว่า นี่ก็จวนใกล้วันเข้าพิธีสวมหมวกของมู่ชิงเกอแล้ว ตามราชโองการของเสด็จพ่อแล้ว เขากำลังจะกลับมาจากเมืองอี้”
ทุกคนต่างก็ฉงนใจและลอบสบตากัน
ในใจต่างมีข้อสงสัยเดียวกัน การใหญ่ที่พวกเขากำลังวางแผนเกี่ยวอะไรกับจอมเสเพลตระกูลมู่ด้วย?
แต่ว่า พวกเขาต่างก็เป็นที่ปรึกษาที่อยู่เคียงข้างกับรุ่ยอ๋องมาเป็นเวลานาน สำหรับเรื่องที่รุ่ยอ๋องหวังในอำนาจทางทหารของตระกูลมู่นั้น พวกเขารู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะฉะนั้นหลังจากที่รุ่ยอ๋องพูดเช่นนี้พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรเหลวไหล
สุดท้าย ที่ปรึกษาที่เก่าแก่และมีอำนาจมากที่สุด ก็ได้ถามแทนทุกคน “ครั้งก่อนที่จอมเสเพลตระกูลมู่ออกจากลั่วตู ระหว่างทางนั้นไม่ใช่แค่พวกข้า ยังมีการปอง ร้ายอีกมากมายแต่สุดท้ายกลับถูกสังหารทั้งหมดโดยไม่ทราบสาเหตุ ตอนแรกพวกเราแอบสงสัยว่าเป็นเพราะมู่ซงแอบส่งคนไปคุ้มครอง หรือว่าการที่มู่ชิงเกอจะกลับจากเมืองอี้ครั้งนี้ฝ่าบาทยังทรงคิดจะลงมืออีก”
เมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าใจจุดประสงค์ของเขาผิด ฉินจิ่นห้าวจึงขมวดคิ้ว “เรื่องนั้น สืบจนถึงตอนนี้แล้วยังไม่ได้ความ พวกเจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก ที่ข้าพูดถึงมู่ชิงเกอเพียงเพราะต้องการจะบอกว่า หากเขากลับมาครานี้ ถ้าตระกูลมู่ยังไม่เห็นด้วยกับความคิดของข้า ถ้าเช่นนั้น ในขณะที่เราจัดการกับรัชทายาท ก็ถือโอกาสในการจัดการกับตระกูลมู่ไปด้วยเสียเลย ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อข้า ปล่อยทิ้งไว้ก็มีแต่จะเป็นภัย อีกอย่างข้าก็อยากได้อำนาจทหารและต้อนตระกูลหานให้จมมุม”
ในที่สุดก็เข้าใจจุดประสงคของรุ่ยอ๋อง ทุกคนต่างก็รีบสรรเสริญความคิดของเขา หลังจากที่ตรองอย่าง รอบคอบแล้ว แผนการต่างๆ นานา ได้ถูกกระจายออกมาจากห้องประชุมลับ มู่ชิงเกอที่ยังไม่ได้กลับไปยังลั่วตู ดูเหมือนว่าจะตกเป็นเป้าของแผนการร้ายต่างๆ ในครั้งนี้
เมืองอี้ ป้อมปราการที่อยู่บนหน้าผาบริเวณชายแดนที่ซึ่งถูกปิดตายยังคงแฝงความอันตราย
ป้อมที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนระหว่างแคว้นถูและเทือกเขาฉิน ตั้งกระบี่วิเศษที่ตกลงมาจากฟากฟ้า คุ้มกันการโจมตีทั้งหมดและคอยคุ้มครองความปลอดภัยของเหล่าประชาราษฏ์ที่อยู่ข้างหลัง
เมื่อนับเวลาแล้ว มู่ชิงเกอก็เกิดใหม่มาปีกว่าแล้ว การมาเยือนในเมืองอี้แห่งนี้ก็เป็นเวลาสิบเดือนที่ผ่านมาอย่างรวดเร็ว
ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ รูปโฉมภายนอกของนางได้เปลี่ยนไปอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
รูปร่างที่สูงโปร่ง มาพร้อมกับสัดส่วนที่ลงตัวและไม่ได้เป็นหนุ่มน้อยที่ไม่รู้ความอีกต่อไป
ในสายตาของคนนอก นางดูสง่ามากขึ้น หนักแน่นและใบหน้างดงามละเอียดละออก็มีจิตวิญญาณวีรชนและความแน่วแน่ จนทำให้ไม่อาจละลายตาจากนางได้
ชุดสีแดงตัวใหญ่ที่สวมอยู่ ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเจิดจ้าอันร้อนแรงดั่งแสงอาทิตย์ส่องแสบตาดั่งเปลวเพลิง และเปรียบเสมือนโลหิตอันน่าเย้ายวน เสื้ออันรัดกุมดู เป็นระเบียบเรียบร้อย นางสวมเสื้อเกราะและรองเท้าที่ทำจากเงินแท้ ด้านบนสลักลวดลายซับซ้อน ราวกับเป็นเครื่องประดับยังไงยังงั้น
แต่มีเพียงมู่ชิงเกอที่รู้ดีกว่าใครถึงประโยชน์ของลวดลายสลับซับซ้อนที่อยู่บนนั้น มันสามารถเพิ่มพลังของเสื้อเกราะได้ เพื่อป้องกันการโจมตีจากภายนอก
นางยังไม่ได้กระตุ้นสายเลือด แต่บังเอิญได้ตำราเกี่ยวกับพลังต้องห้ามเล่มหนึ่งมาจากหีบโบราณของเหมิงเหมิง ตอนเหมิงเหมิงเอามันออกมาเล่น ตั้งแต่นั้นเป็นต้น มา นางก็เกิดความเข้าใจอีกประการเกี่ยวกับการหลอมอาวุธ และพัฒนาพลังของอาวุธนั้นก็คือเพิ่มพลังต้องห้ามเข้าไป ใช้พลังต้องห้ามในการยกระดับอาวุธ ธรรมดาให้กลายเป็นอาวุธวิญญาณและอาจจะกลายเป็นอาวุธที่เป็นสมบัติได้ อีกทั้งนางเชื่อมั่นว่าเมื่อนางได้สัมผัสกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ การที่นางใช้วิธีพิเศษเช่นนี้หลอมอาวุธ แน่นอนว่าจะสามารถหลอมอาวุธที่เก่งกาจขึ้นมาได้ ในตอนนี้นางสามารถเข้าถึงได้เพียงแค่ปลายขนของทักษะต้องห้าม ดังนั้นการใช้วิธีนี้ทำได้เพียงเสื้อเกราะและอาวุธวิญญาณบางอย่าง แต่อาวุธวิญญาณก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับแคว้นฉิน อีกอย่าง ช่วงนี้นางไม่เพียงแค่พัฒนาเสื้อเกราะที่นางสวมอยู่เท่านั้น โดยทั่วไปแล้ว ทั้งเสื้อเกราะและอาวุธทั้งหมดขององครักษ์เขี้ยวมังกรต่างก็ถูกนางแก้ไขโดยใช้วิธีการอันพิเศษมาแล้วทั้งนั้น
รวมทั้งโย่วเหอและฮวาเยวี่ยที่ยิ่งลืมไม่ได้เลย
ถึงกับว่าทหารในกองตระกูลมู่ ส่วนใหญ่ต่างก็มีเสื้อเกราะป้องกันตัวและอาวุธที่มู่ชิงเกอหลอมออกมาเกินจำนวน
การหลอมอาวุธต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมาก เพราะฉะนั้น มู่ชิงเกอไม่สามารถเปลี่ยนและยกระดับอาวุธของกองทหารตระกูลมู่ที่ประจำการณ์อยู่ในเมืองอี้ได้ทั้งหมด แต่ทว่าความสามารถอีกอย่างกลับไม่จำเป็นต้องเสียแรงมากถึงเพียงนั้น
ในขณะที่มู่ชิงเกอสัมผัสกับทักษะการหลอมโอสถนั้น ก็มีตำราที่รวบรวมประสบการณ์ที่หลากหลายของเทพโอสถคอยหนุนหลัง รวมไปถึงความช่วยเหลือของเหมิงเหมิงที่นานๆ ทีจะเด็ดสมุนไพรจากสวนมาให้ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ทักษะในการหลอมโอสถของนางจึงเพิ่มมากขึ้นและสามารถหลอมโอสถระดับสูงได้แล้ว
ความสามารถอันเหนือฟ้านี้ หากถูกบอกต่อ คงจะทำให้ทุกคนตกใจกันถ้วนหน้า
ต้องรู้ว่าโดยปกติแล้ว หากฝึกโดยเริ่มจากการแยกแยะประเภทของสมุนไพร จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถระดับสูงได้นั้น ต้องใช้เวลาที่ยาวนาน อย่างน้อยสิบกว่าปีหรืออาจจะเกือบสิบปี และคนจำนวนมากแม้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่สามารถเข้าถึงระดับนี้ได้ทำได้เพียงแค่หยุดอยู่ในระดับกลางหรือในระดับที่ตํ่ากว่า
แต่มู่ชิงเกอที่ไม่ได้ตั้งใจจดจ่อมากนัก กลับใช้เวลาเพียงหนึ่งปีในการเข้าถึงขั้นสูง ทั้งที่คนอื่นๆ ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต
ความสามารถระดับนี้จะเรียกว่าอัจฉริยภาพไม่ได้ แต่ องเรียกว่า ความมหัศจรรย์!
ขั้นตอนของการปรุงโอสถนั้น มู่ชิงเกอแทบจะไม่ต้องเสียยาสมุนไพรโดยเปล่าประโยชน์ไปเลยแม้แต่หม้อเดียว และเตรียมยาในการรักษาแผลและช่วยชีวิตให้กับกองทหารตระกูลมู่ การเตรียมยาจำนวนมากเพียงนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจเสียจริง
เตรียมยาระดับกลางไว้ให้กองทหารตระกูลมู่ แต่ยาที่มู่ชิงเกอเตรียมเอาไว้ให้องครักษ์เขี้ยวมังกรนั้นเป็นยาระดับสูง
ยาพวกนี้ต่างก็เป็นยาที่ทำให้สามารถฟื้นฟูพลังจิตได้ในทันที
ความสามารถพิเศษขององครักษ์เขี้ยวมังกร ทำให้นางคลายความวิตกกังวลใจลงได้มาก
อีกอย่าง นางยังเตรียมของขวัญเอาไว้ให้ท่านปู่และท่านอาคนละชิ้นและรอมอบให้พวกเขาเมื่อกลับไป นางเชื่อว่า ท่านปู่และท่านอาจะชอบของขวัญชิ้นนี้ของนาง รวมทั้งสร้างความประหลาดใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ให้แก่ฮ่องเต้แคว้นฉิน
“คุณชาย ท่านแม่ทัพให้คนมาส่งข่าว” คนที่เข้ามาถือห่อของหนาๆ เอาไว้
มู่ชิงเกอรีบเปิดออกดู ด้านในมีจดหมายจำนวนเจ็ดแปดฉบับที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
นอกจากจดหมายฉบับที่มาจากมู่ซงแล้ว ที่เหลือต่างก็มาจากองค์หญิงหย่งฮวนฉินอี้เหลียน
ช่วงสิบเดือนที่มู่ชิงเกอมาอยู่ที่เมืองอี้นางเขียนจดหมายมาไม่ตํ่ากว่าร้อยฉบับ แต่มู่ชิงเกอกลับไม่ได้ตอบกลับเลยแม้แต่ฉบับเดียว ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่ได้เปิดอ่านเลย แต่นางก็ยังคงไม่ลดละความพยายาม
ยังคงเหมือนเคย ทิ้งจดหมายจากองค์หญิงตัวน้อยเอาไว้ อีกข้าง มู่ชิงเกอฉีกจดหมายฉบับที่มาจากมู่ซงออก เนื้อหาภายในจดหมาย ยังคงเป็นการบอกเล่า สถานการณ์โดยทั่วไปของลั่วตู จากนั้นก็ถามว่ามู่ชิงเกอวางแผนจะกลับไปยังลั่วตูเมื่อไหร่
อ่านจดหมายจนจบอย่างรวดเร็ว มู่ชิงเกอถอนหายใจ พลางพูดว่า “โย่วเหอ”
ทันใดนั้น โย่วเหอก็ร็บเข้ามาในห้อง พลางทำความเคารพ “คุณชาย โยjวเหอมาแล้ว”
มู่ชิงเกอยืนเอามือไพล่หลัง ถามนิ่งๆ ว่า “ราชทูตจากแคว้นถูเดินทางไปถึงไหนแล้ว”
“เรียนคุณชาย ราชทูตจากแคว้นถูได้เข้ามาภายในเขตแคว้นฉินแล้ว หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกเขาอาจจะไปถึงลั่วตูในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ที่พวกเขามาเยือนแคว้นฉินในครั้งนี้ ก็เพราะเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ได้ข่าวว่ารัชทายาทของเขาอยากจะอภิเษกกับองค์หญิงของแคว้นฉิน” โย่วเหอเล่าข่าวที่ได้รับรู้ทั้งหมดออกมา ช่วงนี้ในด้านข่าวกรองนางและฮวาเยวี่ยพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วมาก ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกชื่นชม
“แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์รึ” มู่ชิงเกอพึมพำ ก้มหน้าลงและสั่งให้โย่วเหอออกไป
ก่อนที่นางจะออกไป มู่ชิงเกอก็ได้เรียกตัวเอาไว้อย่างกะทันหัน พลางพูดกับนางว่า “ แจ้งลงไปว่า หลังจากนี้อีกสองวันจะกลับลั่วตู”
โย่วเหอออกไปและถ่ายทอดคำสั่งของมู่ชิงเกอ
เมื่ออยู่ในห้องคนเดียว ใบหน้าอันงดงามของฉินอี้เหยาก็ผ่านเข้ามาในความคิดของมู่ชิงเกอ หากจะมีการสมรสเชื่อมสัมพันธ์องค์หญิงผู้ที่มีอายุเหมาะสมกับรัชทายาทแคว้นถูมากที่สุดก็คงจะมีแค่นางแล้ว
“สุดท้ายแล้ว ชะตาชีวิตของเจ้าก็ยังหนีไม่พันการโดนผู้อื่นควบคุม” มู่ชิงเกอถอนหายใจเสียงเบาอยู่ในใจ และเลิกคิดเรื่องนี้