Skip to content

พลิกปฐพี 92-1

ตอนที่ 92-1

ลาก่อนป๋ายซีเยวี่ย มีคนรนหาที่ตายอีกแล้ว

ภายในห้องคุมขังที่ซึ่งบรรยากาศโดยรอบแฝงกลิ่นอายความน่าสยดสยอง

เพียงสิ่งเดียวที่สามารถสัมผัสได้ในห้องคุมขังคือความเย็นเยียบและเป็นศูนย์รวมของกลิ่นเหม็นมากมาย

กลิ่นเหม็นเน่าพวกนี้ทำให้รู้สึกราวกับว่า กำลังมองดูผิวหนังบนร่างกายของตนเองที่ค่อยๆเปื่อยและเน่าลงเรื่อยๆ

ป๋ายซีเยวี่ยถูกขังอยู่ที่แห่งนี้ทั้งคืน ไม่มีผู้ใดสนใจนาง คนที่นางคิดถึงสุดห้วงหัวใจก็ไม่เคยปรากฏกาย ในเวลานี้นางจมอยู่ท่ามกลางความหมดหวัง รวมทั้งการหักหลังของลวี่จือและความไม่แยแสของตระกูลมู่ ยิ่งทำให้ความแค้นภายในใจของนางเพิ่มทวีมากขึ้นกว่าเดิม

เสียงฝีเท้าดังมาจากทางเดินกายนอกห้องคุมขัง

ทันใดนั้น ประตูเหล็กที่ล็อคอยู่ก็ถูกเปิดออก ผู้คุมผลักประตูเข้ามาภายในห้อง “ฮึ ดูๆ ไปก็น่าทะนุถนอมดีอยู่หรอก แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีความคิดที่ชั่วร้ายอำมหิตได้

ถึงเพียงนี้ คิดจะทำร้ายผู้มีพระคุณของตนเอง ผู้เป็นดั่งเทพคุ้มครองแคว้นฉินของเรา”

คำพูดเหล่านี้ กำลังว่านางหรือ?

ป๋ายซีเยวี่ยโกรธเคืองเป็นอย่างมาก นางแอบตะคอกในใจ เจ้าจะรู้อะไร?! ตระกูลมู่ไม่ใช่ผู้มีพระคุณของข้า กลับแต่เป็นศัตรูของข้าต่างหาก! หากไม่เป็นเพราะตระกูลมู่ ข้าจะกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกตระกูลมู่เก็บม เลี้ยงหรือ?

แต่ทว่า นางกลับไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย

เพราะความสามารถในการสื่อสารของนางได้ถูกสะกดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะถูกนำตัวมาขังแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นพลังวิญญาณของนางก็ถูกสะกดเอาไว้และไม่สามารถทำอะไรได้เลย

เพราะกลัวว่านางจะหลุดปากพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปหรืออาจจะหนีไปอย่างนั้นหรือ

ป๋ายซีเยวี่ยรู้สึกไม่พอใจ ทำได้เพียงจ้องผู้คุมสองคนนั้นด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น

“โอ้ช่างเย่อหยิ่งเสียจริง หากไม่ใช่เพราะรุ่ยอ๋องต้องการตัวเจ้า ข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างสาสม เจ้าจะได้รู้ว่าข้าเป็นใคร” ผู้คุมอีกคนเดินเข้ามาสบกับตาคู่ที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมของป้ายซีเยวี่ยพอดี ทันใดนั้นก็ยกโซ่ในมือขึ้น

องค์ชายอยากจะพบนาง! ในที่สุดองค์ชายก็มา

ข่าวนี้ ทำให้ป๋ายซีเยวี่ยลืมความโหดเหี้ยมของผู้คุม ความสุขได้ปะทุเกิดขึ้นภายในใจ ทำให้นางรู้สึกผิดที่สงสัยในตัวของฉินจิ่นห้าวก่อนหน้านี้

นางไม่ควรจะสงสัยเขา นางควรเชื่อว่าหัวใจของเขาเป็นของนาง การที่เขาทำเช่นนั้น แน่นอนว่าเขาจะต้องมีเหตุผลของเขา

เกือบไม่มีการต่อต้านใด ๆ ป๋ายซีเยวี่ยก็รีบร้อนตามผู้คุมขังทั้งสองออกจากห้องขังไป

ถึงขนาดว่า นางเดินแซงไปอยู่ข้างหน้าผู้คุม

ผู้คุมสองคนเดินตามหลังนาง เห็นท่าทางอันเร่งรีบของนาง จึงได้เยาะเย้ย

“ดัดจริตเสียจริง พอได้ยินว่ารุ่ยอ๋องต้องการจะพบก็รีบแจ้นออกไปหาแทบไม่ทัน”

“ไม่แน่ว่า หากนางยอมคลานขึ้นเตียงของรุ่ยอ๋อง อาจจ สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ก็ได้”

แววตาของป๋ายซีเยวี่ยพลันเต็มไปด้วยแรงพยาบาท จนแทบจะอยากฆ่าทั้งสองที่อยู่ข้างหลังเสียให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่ทว่า ตอนนี้นางไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เรื่องที่ สำคัญที่สุดคือการไปพบฉินจิ่นห้าว

‘หากข้าได้พบกับองค์ชาย จะไม่ปล่อยให้พวกเจ้ารอดชีวิตเป็นแน่’ หลังจากที่สัญญากับตนเองแล้ว ป๋ายซีเยวี่ยก็เร่งฝีเท้าให้เดินไวขึ้นเรื่อยๆ

แต่ทว่า ในความเป็นจริงแล้วทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ ป๋ายซีเยวี่ยคิด นางไม่ได้พบกับฉินจิ่นห้าวง่ายๆ

ป๋ายซีเยวี่ยถูกนำตัวออกจากห้องคุมขัง แต่กลับถูกพาตัวเข้าไปในห้องมืดห้องหนึ่ง

ที่นี่ มีพื้นที่เล็กกว่าห้องคุมขัง

“ปล่อยข้าออกไป! พวกเจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้ารึ ระวังองค์ชายจะเด็ดหัวพวกเจ้า” ป๋ายซีเยวี่ยที่ยืนอยู่ภายในห้องมืดตะโกนขึ้นมา การสะกดการสื่อสารได้ถูกคลายออกและในที่สุดนางก็สามารถพูดได้แล้ว ภายในห้องแสงเดียวที่มีคือแสงจากหน้าต่างบานเล็กที่ มีขนาดเท่าศีรษะของเด็กทารก

แสงอันเย็นเยือกส่องผ่านหน้าต่าง สาดแสงสว่างเข้ามาภายในห้องมืดและพาดผ่านตัวป๋ายซีเยวี่ย

นางตะโกนเพราะนางรู้ว่านอกหน้าต่างบานเล็กบานนั้น จะต้องมีคนเป็นแน่

และนางก็คิดไม่ผิด

นอกหน้าต่าง มีคนยืนอยู่สองคน

คนหนึ่งสวมชุดสีแดง อีกคนสวมชุดดำ

มู่ชิงเกอใช้สายตาอันสว่างไสวมองผ่านหน้าต่างเล็กบานนั้น กระตุกยิ้มเบาๆ และถามอย่างขี้เล่นว่า “พระองค์ พากระหม่อมมาเพื่อดูอะไรหรือ?”

ฉินจิ่นห้าวหันไปมองนาง เป็นอีกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกับมู่ชิงเกอมากถึงเพียงนี้ ความเกลียดในใจของเขาดูเหมือนว่าจะลดลงมาก ถึงขั้นที่ว่ารู้สึกว่านางก็ไม่ได้น่ารังเกียจแต่อย่างใด

ไอสังหารที่แฝงอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ราวกับจะลดลงไปมากเช่นกัน

“ที่เรียกให้ชิงเกอมา แน่นอนเป็นเพราะว่าต้องการจะรู้ว่าเจ้าจะจัดการกับนางอย่างไร” นํ้าเสียงของฉินจิ่นห้าวราวกับว่าหญิงสาวที่ถูกขังอยู่ภายในนั้นไม่ใช่ผู้หญิงของเขาและเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้า

“พระองค์ทรงหักพระทัยได้ลงหรือพะย่ะค่ะ” มู่ชิงเกอยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม รอยยิ้มดั่งเช่นยาพิษนั้น ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนกไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อว่า “เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว แน่นอนว่าข้าทำได้”

ในรอยยิ้มอันสดใสของมู่ชิงเกอแฝงความเย็นเยียบ นํ้าเสียงอันเยือกเย็นออกจากริมฝีปากสีแดงกํ่า “พระองค์ทรงมีพระทัยที่กว้างขวางยิ่งนัก”

ฉินจิ่นห้าวตกใจทีหนึ่งและรู้สึกตัวในทันทีว่า เมื่อครู่นี้ตนเองแสดงท่าทีเสียการควบคุมออกไป

แต่ทว่าเขากลับไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร เพียงแต่เบี่ยงประเด็น “ในเมื่อเจ้าและข้าร่วมมือกันอย่างจริงใจแล้ว แน่นอนว่าข้าก็ต้องแสดงความจริงใจของตนเองออกมา”

ถ้าเช่นนั้นป๋ายซีเยวี่ยคือความจริงใจที่เขามอบให้อย่างนั้นรึ?

มู่ชิงเกอแอบหัวเราะเยาะอย่างเย็นเยียบในใจ ก่อนจะหันไปมองฉินจิ่นห้าวที่เลือดเย็นไร้ความปรานีอีกหน

ป๋ายซีเยวี่ยตั้งใจคัดสรรเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายกลับเลือกผู้ชายที่มีอุปนิสัยเช่นนี้ รสนิยมนั้นดีเยี่ยมจนนางเองมิอาจกล้าชมเชย

พยักหน้าเบาๆ จากนั้นมู่ชิงเกอจึงพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ถ้ากระหม่อมต้องการให้นางตายล่ะพะย่ะค่ะ?” นางจะไม่ยอมปล่อยคนที่ต้องการจะทำร้ายตระกูลมู่ไปง่ายๆ หรอกนะ

“นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมาก” ฉินจิ่นห้าวตอบอย่างมีความสุข โดยไม่แสดงความไม่ยินยอมหรือลังเลใจเลยแม้แต่น้อย

สายตาของชินมู่ชิงเกอแปรเปลี่ยนเป็นความขบขันและพูดกับเขาว่า “แต่นางยังคงใฝ่หาเพียงแค่ท่านมิใช่หรือพะย่ะค่ะ”

ฉินจิ่นห้าวพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ใต้หล้านี้ หญิงที่รักข้ามีมากมาย ข้าจะตอบรับทุกๆ คนได้อย่างไร? ในเมื่อนางจิตใจเลวทราม คิดจะทำร้ายตระภูลมู่ แน่นอนว่าข้าควรจะลงโทษหากแมู่ชิงเกอยินยอมที่จะไว้ชีวิตนาง นางก็มิอาจหนีรอดไปจากกฎหมายแคว้นฉินได้”

ท่าทางอันมีศีลธรรมเปี่ยมล้น ทำให้มู่ชิงเกอที่มองอยู่ รู้สึกรังเกียจ หลังจากที่เขาพูดจบ มู่ชิงเกอก็พลันยิ้มเบิกบานดั่งดอกไม้และพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นรุ่ยอ๋องก็ทรงลงมือจัดการด้วยองค์เองได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ่นห้าวประหลาดใจครู่หนึ่ง ราวกับว่าคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอก็จะหยิบยื่นคำร้องขอเช่นนี้

“ชิงเกอให้ข้าเป็นคนลงมืออย่างนั้นหรือ” ฉินจิ่นห้าวถามเพื่อความแน่ใจ

มู่ชิงเกอพยักหน้า ก่อนจะพูดอย่างปลงๆ ว่า “ในเมื่อน้องซีเยวี่ยรักและชื่นชมรุ่ยอ๋องมากถึงเพียงนี้แน่นอนว่า คงอยากจะตายด้วยนํ้ามือของรุ่ยอ๋องและอาจจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการส่งนางไปลู่สุคติ”

แววตาของฉินจิ่นห้าวแฝงความมืดมน ราวกับว่ากำลังคาดเดาความจริงใจจากคำพูดของนาง

ทันใดนั้น เขาก็พลันเผยรอยยิ้มและพูดว่า “ได้ หากชิงเกอต้องการ ข้าก็จะทำตามคำขอของเจ้า” พูดจบเขาก็หันหลังและเดินจากไป

มู่ชิงเกอมองเขาจากไปจนลับสายตา แล้วหันกลับไปมองหน้าต่างเล็กบานนั้น

เงาของหน้าต่างตกกระทบบนใบหน้าอันสวยงาม จนบดบังใบหน้าของนาง สิ่งเดียวที่ทำให้ลืมไม่ลง คือรอยยิ้มตรงมุมปากที่ดูยิ้มและไม่ยิ้มในเวลาเดียวกัน ‘น้องซีเยวี่ย การตายเช่นไรจะเจ็บปวดได้เทียบเท่ากับการตายด้วยนํ้ามือของคนที่เรารัก ข้าไม่ได้เป็นคนดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลังจากที่ลงนรกแล้ว ก็จำของขวัญที่ ข้ามอบให้กับเจ้าให้ขึ้นใจ”

‘การจะลงโทษ ไม่จำเป็นจะต้องลงโทษร่างกาย ทำลายความหวังของนาง ทรมานจิตใจ จะยิ่งทำให้นางลืมความเจ็บปวดนั้นไม่ลง’ มู่ชิงเกอพึมพำเบาๆ รอยยิ้ม ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อห้องมืดถูกเปิดออก

เมื่อประตูห้องมืดถูกเปิดออก แสงสว่างไม่รอช้าที่จะจู่โจมเข้าไป สาดส่องความสว่างไปทั่วพื้นที่กว่าครึ่งของห้องมืด

ป๋ายซีเยวี่ยเงยหน้าขึ้นมอง คนที่นางคิดถึงสุดหัวใจปรากฏกายขึ้นตรงประตู เงาร่างสีดำยังคงสูงโปร่งเช่นเดิม เค้าโครงของใบหน้าอันน่าเย้ายวนก็ยังคงเย็นชา และสูงส่ง จนทำให้นางอยากจะลืมก็ลืมไม่ลง

“ฝ่าบาท!” ทันทีที่ฉินจิ่นห้าวปรากฏตัวขึ้น ความทุกข์ใจและความเกลียดแค้นทั้งหมดภายในใจของป๋ายซีเยวี่ยก็อันตรธานหายไป เหลือเพียงความรักที่ทำให้นางโผเข้าสู่อ้อมกอดของคนที่นางคิดถึงอย่างสุดหัวใจโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด

แขนทั้งสองข้างของนางกอดรัดเอวของฉินจิ่นห้าวไว้แน่น ใบหน้าของนางแนบกับหน้าอกของเขา จนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิและจังหวะการเต้นของหัวใจของเขา นางหลับตาทั้งคู่ลงอย่างมีความสุข “องค์ชาย ในที่สุดพระองค์ก็มา ซีเยวี่ยรู้ว่าองค์ชายจะไม่ทอดทิ้งซีเยวี่ย”

ไม่มีการกล่าวโทษฉินจิ่นห้าวที่เปลี่ยนแปลงแผนการอย่างกะทันหันและไม่ได้กล่าวโทษที่เขาลงโทษตนเองโดยเอาตัวมาขังไว้ในคุก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!