Skip to content

พลิกปฐพี 973

ตอนที่ 973

ตอนพิเศษ 14

พลัดพรากคนรัก ไม่สมปรารถนา

สี่วัน ผ่านไปไวเพียงชั่วลัดนิ้วมือ

วันที่ต้องแยกจาก มู่ชิงเกอไม่ได้บอกผู้ใด คนที่รู้และมาส่งเพียงผู้เดียว มีเพียงหลี่ซิวหยวนที่หลายวันมานี้พัวพันอยู่กับพวกมู่ชิงเกอสามคนครอบครัว

“ซือมู่น้อย นี่คือหุ่นยนต์แปลงร่างที่พ่อบุญธรรมซื้อให้หนู แล้วก็ นี่คือวิดีโอเกมรุ่นใหม่ล่าสุด…ส่วนนี่…”

หลี่ซิวหยวนนั่งยองอยู่ข้างหน้าซือมู่น้อย ยัดสิ่งของเข้าไปในอ้อมอกเขาไม่หยุด

มู่ชิงเกอมองเขาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กล่าวอย่างหยอกล้อ “นายเวอร์เกินไปจริงๆ ไม่ย้ายห้างมาให้เลยล่ะ” พูดจบ นางก็เหลือบตามองรถบรรทุกคันเล็กที่จอดอยู่ไม่ไกล

ไม่ต้องให้หลี่ซิวหยวนแนะนำ นางใช้ปัญญาเทวะกวาดมองก็รู้ว่าในตู้รถบรรทุก กองเต็มไปด้วยของเล่นต่างๆ หนังสือ รวมถึงอาหารรสเลิศต่างๆ นานาของเด็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้น ‘พ่อบุญธรรม’ คำเรียกนี้ ก็เป็นคำเรียกที่หลี่ซิวหยวนใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมมาหลังจากที่ซื้อตัวซือมู่น้อยในช่วงเวลาไม่กี่วันนี้

“ถ้าไม่กลัวว่าเธอจะเอาไปไม่หมด ฉันก็อยากซื้อห้างทั้งห้างมาจริงๆ” หลี่ซิวหยวนเงยหน้าขึ้น มองมู่ชิงเกอแล้วกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ราวกับว่า การทำแบบนี้ได้ เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การโอ้อวดเรื่องหนึ่ง

มู่ชิงเกอหัวเราะส่ายหน้าไม่ได้ทำลายความหวังดีของเพื่อนสนิท ยกมือโบกรถบรรทุกคันเล็กที่เต็มไปด้วยของต่างๆ คันนั้น ก็หายไปต่อหน้าต่อตา

ไปไหนแล้ว แน่นอนว่าหายไปในโลกใบเล็กที่มู่ชิงเกอประกอบขึ้นใหม่

แม้ว่า ตอนนี้โลกใบเล็กฝั่งนั้นจะยังอยู่ในขั้นแบบจำลอง ไม่สมบูรณ์เหมือนกับที่มีเหมิงเหมิงดูแล แต่ก็เพียงพอให้บรรจุของจำนวนหนึ่งได้

“เฮ้ย”

ฉากฉากนี้ทำให้หลี่ซิวหยวนตะลึงงัน เขาลุกขึ้นยืน มองบริเวณที่รถบรรทุกจอดอยู่ก่อนหน้านี้

ทัศนียภาพที่ว่างเปล่าทำให้เขากะพริบตาอย่างเหลือเชื่อ จากนั้น ก็โยนของในมือทิ้ง วิ่งเข้าไปลูบๆ คลำๆ เมื่อมั่นใจว่าหายไปแล้วจริงๆ จึงสูดลมหายใจเย็นเยียบ ละสายตามองมู่ชิงเกอ

“ก็แค่เรื่องจิ๊บจ๊อย” มู่ชิงเกอยกยิ้มกล่าว

หลี่ซิวหยวนกลอกตา “เรื่องจิ๊บจ๊อยแบบนี้ก็แบ่งให้ฉันบ้าง อย่าขึ้งกไปหน่อยเลย ขอบคุณ”

“ฉันอยากสอนทักษะการป้องกันตัวนายมากกว่า ไม่ให้นายถูกจับตัวเรียกค่าไถ่อีก” มู่ชิงเกอยิ้มกล่าว

ทว่าหลี่ซิวหยวนกลับแสยะปาก คัดค้านจากใจ “ช่างเถอะ ฉันไม่ใช่คนฝึกทหาร อย่างมากครั้งหน้าฉันก็แค่ระมัดระวังตัวหน่อยก็ได้แล้ว”

เห็นท่าทางไม่สนใจของเขา มุมปากมู่ชิงเกอที่อมยิ้มอยู่ก็ค่อยๆ เก็บลง

“อย่างมากก็แค่เสียทรัพย์สะเดาะเคราะห์อย่างไรเสีย สิ่งที่ฉันมีเยอะที่สุดก็คือเงิน” หลี่ซิวหยวนเดินกลับมา อุ้มซือมู่น้อยที่อมลูกกวาดอยู่ในปากขึ้นมา กล่าวอย่างเอาใจ “ไหน เด็กน้อย เรียกพ่อบุญธรรมหน่อย”

“พ่อบุญธรรม” ซือมู่น้อยเองก็รู้จักประจบประแจง ได้ประโยชน์จากหลี่ซิวหยวนมากมายเพียงนั้น ก็เรียกเสียงดังกังวานหนึ่งครา

“เด็กดี” ชั่วขณะหลี่ซิวหยวนก็เบิกบานใจ อดไม่ได้หอมแก้มที่ตุ้ยนุ้ยของซือมู่น้อยหนึ่งครา “ได้ยินหนูเรียกพ่อบุญธรรมแบบนี้ พ่อบุญธรรมก็เต็มใจจะยกทรัพย์สินทั้งบ้านให้หนูแล้ว”

“นายตามใจเด็กเกินไปแล้วจริงๆ โชคดีที่ลูกฉันอยู่กับนายไม่นาน” มู่ชิงเกอส่ายหน้ากล่าว

แต่หลี่ซิวหยวนกลับเลิกคิ้วอย่างพอใจ “เธอไม่เข้าใจความสุขที่ได้ตามใจลูก ฉันจะไม่โทษเธอ”

มู่ชิงเกอหมดคำพูด

ตอนที่นางยังเด็กก็ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหาร แม้ว่าจะอยู่ต่างภพ ก็ยังใช้ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นพวกเจ้าสำราญ แต่ความพยายามของนางกลับไม่แพ้ใคร ดังนั้น ลูกของนาง จึงไม่มีทางทำตัวกำเริบเสิบสานเพียงเพราะบารมีบรรพบุรุษและความสำเร็จของพ่อแม่

“เด็กน้อย หนูเห็นด้วยหรือเปล่า” หยอกล้อมู่ชิงเกอแล้ว หลี่ซิวหยวนก็เริ่มเย้าแหย่ซือมู่น้อย

ซือมู่น้อยกลอกตาไปมา หัวเราะ ‘คิกๆๆ’ ออกมา “พ่อบุญธรรม พูดอะไร หนูไม่เข้าใจ หนูรู้เพียงแค่ว่าคุณแม่ดีที่สุด หนูเชื่อฟังคำพูดของคุณแม่”

“เจ้าเด็กคนนี้นี่” หลี่ซิวหยวนท้อใจ

“หนูจะลง” ซือมู่น้อยดิ้นอยู่ในอ้อมอกเขา

หลี่ซิวหยวนไม่ได้บังคับเขา แต่ปล่อยเขาลงบนพื้นตามความต้องการของเขา

เมื่อหลุดออกจากอ้อมกอดของหลี่ซิวหยวน ซือมู่น้อยก็วิ่งไปยังของเล่นสุดที่รักกองนั้นอย่างร่าเริงแม้เขาจะไม่รู้ว่าของเล่นส่วนใหญ่เหล่านี้คืออะไร แต่ก็ไม่อาจเก็บสัญชาตญาณที่ชอบของเล่นของเด็กน้อยไว้ได้

“ลูกมานี่หน่อย” ซือมั่วที่ยืนอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็กวักมือเรียกซือมู่น้อย

ซือมู่น้อยหันหน้าไปมองเขา คิดจะขัดขืนตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกสายตาที่ยิ้มจนเย็นเยียบ เต็มไปด้วยความเผด็จการคู่นั้นของบิดา ตนทำให้สั่นสะท้าน

เด็กน้อยขนหัวลุกวิ่งไปหาบิดาตนด้วยความกระตือรือร้น

ซือมั่วมองมู่ชิงเกอ ความนัยในนั้น ส่งสายตากันก็เข้าใจ หลังจากที่ซือมู่น้อยวิ่งเข้ามาแล้ว เขาก็ก้มตัวอุ้มลูกไว้ในอ้อมอก เดินออกไปไกล เหลือเวลาให้มู่ชิงเกอได้บอกลาหลี่ซิวหยวน

สองพ่อลูกเดินออกไปไกลแล้ว รอยยิ้มที่เปล่งประกายบนใบหน้าหลี่ซิวหยวนก็หุบลง

เขามองมู่ชิงเกอ กล่าวด้วยความรู้สึกซับซ้อน “ไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึง แต่ในที่สุดก็ยังมาถึงแล้ว”

“นายดูไม่เหมือนคนอ่อนไหวสักเท่าไหร่” มู่ชิงเกอยิ้มกล่าว

หลี่ซิวหยวนเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา “นั่นเป็นเพราะว่า คำบอกลาก่อนหน้านี้ รู้ว่าเธอจะต้องกลับมา แต่ครั้งนี้ ฉันรู้ดีว่า เธอจะไม่กลับมา อีก ไม่สิ เธออาจจะผ่านทางมาที่นี่อีกหรือเปล่าก็อาจจะกลับมาเยี่ยมเยียน แต่ว่า ถึงตอนนั้น ฉันอาจจะไม่อยู่แล้ว”

“หลี่ซิวหยวน” มู่ชิงเกอเรียกชื่อของเขาออกมา

หลี่ซิวหยวนยิ้มอย่างปล่อยวาง “ฉันเข้าใจ เธอมีชีวิตของเธอ วงโคจรชีวิตของเธอต่างจากพวกเราแล้ว”

“มู่เกอบนโลกนี้ ตายไปเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว” มู่ชิงเกอกล่าวเสียงตํ่า เมื่อนางจากไปแล้ว นางไม่อยากให้เพื่อนสนิทจมดิ่งอยู่ในความรู้สึกพรากจากแบบนี้

“ใช่แล้ว มู่เกอพลีชีพแล้ว ตอนนี้พวกเรายังยืนบอกลากันตรงนี้ได้ถือเป็นกำไร กว่าหนึ่งปีก่อนหน้านี้ เธอไม่มีโอกาสบอกลาฉันสักคำด้วยซํ้า” ขณะที่หลี่ซิวหยวนพูด ความรู้สึกในดวงตาก็ลึกซึ้ง

ความรู้สึกชนิดนั้น ก่อนหน้านี้มู่ชิงเกอไม่เข้าใจ

แต่ว่า หลังจากที่ผ่านความเป็นความตายความรักใคร่ผูกพันกับซือมั่วมา นางก็เข้าใจความหมายแฝงที่พยายามซ่อนอยู่ในแววตานั้นแล้ว

‘เขาคิดกับฉัน…’ มู่ชิงเกอใจเต้น

นางคิดไม่ถึงว่า ในความรู้สึกที่หลี่ซิวหยวนมีต่อนาง จะยังซ่อนความรักแบบชายหญิงเอาไว้

ต้องโทษเขาที่ซ่อนดีเกินไป หรือโทษนางที่ใสซื่อเกินไป

มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ ไม่ได้ฉีกกระดาษชั้นนี้ขาด ไม่ว่าจะเป็นมู่เกอที่จากไปแล้ว หรือว่ามู่ชิงเกอในตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ซิวหยวนก็เป็นได้แค่เพียงมิตรภาพระหว่างเพื่อน

ความรักแบบชายหญิงในทุกภพทุกชาติของนาง มอบให้ซือมั่วทั้งหมดที่มีแล้ว

“อย่างน้อย ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ดี” มู่ชิงเกออยากจบหัวข้อสนทนาที่ทำร้ายความรู้สึกนี้ “ความสามารถของฉันนายก็เห็นแล้ว น้อยนักที่จะมีใครทำร้ายฉันได้”

“ความสามารถยิ่งแข็งแกร่ง คนที่เรียกได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ก็ยิ่งเก่งกาจไม่ใช่เหรอ” หลี่ซิวหยวนกลับไม่ถูกนางหลอกลวง

มู่ชิงเกอตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าเถียงไม่ออก

สีหน้าหลี่ซิวหยวนจริงจังขึ้นหลายส่วน เขาเดินเข้าไปใกล้มู่ชิงเกอหลายก้าว กล่าวเสียงตํ่า “รับปากฉัน ไม่ว่าจะเจออันตรายใดๆ ต้องปกป้องตัวเองให้ดีก่อนเสมอ”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย ความรู้สึกซับซ้อน พยักหน้าช้าๆ ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองของหลี่ซิวหยวน

“ของชิ้นนี้ นายพกติดตัวไว้” มู่ชิงเกอหยิบสร้อยคอหนึ่งเส้นออกมา ยื่นไปตรงหน้าหลี่ซิวหยวน

หลี่ซิวหยวนยื่นมืออกมารับ กล่าวด้วยความสงสัย “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงให้สร้อยฉันล่ะ”

ลักษณะสร้อยคอเรียบง่ายอย่างยิ่ง เหมาะสำหรับผู้ชายสวมใส่ ส่วนวัสดุ กลับดูไม่ออก แต่ไม่เหมือนมีมูลค่าตํ่า

“ในสร้อยคอเส้นนี้ ผนึกค่ายกลไว้จำนวนหนึ่ง ตอนที่นายเจออันตรายถึงแก่ชีวิต สามารถปกป้องชีวิตนายได้สามครั้ง” มู่ชิงเกออธิบาย

สำหรับสภาพร่างกายที่ถูกลักพาตัวง่ายแบบนี้ของหลี่ซิวหยวน นางทำได้มากสุดเพียงเท่านี้

แน่นอน นางสามารถทำให้ค่ายกลใช้ได้ไม่จำกัด แต่ว่านางกลับไม่ อยากให้เพื่อนสนิทพึ่งพาสร้อยคอมากเกินไป วงโคจรชีวิตของคนทุกคน ต่างก็ต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองไปแย่งชิงมา คนอื่นไม่อาจก้าวก่ายเกินไปได้

โอกาสสามครั้งที่นางให้ไว้ ในความจริงแล้วกลับเป็นการรบกวนพื้นดวงโดยกำเนิดของหลี่ซิวหยวน

ตระหนักวิถีใหญ่ รู้ถึงกฎเกณฑ์ของเหตุผลการเวียนว่ายตายเกิด มู่ชิงเกอไม่อาจปล่อยให้ชาติหน้าของหลี่ซิวหยวนต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเนื่องจากการเปลี่ยนดวงชะตาในชาตินี้

ติดหนี้ อย่างไรเสียก็ต้องชดใช้

“ร้ายกาจแบบนี้เลย” หลี่ซิวหยวนสังเกตสร้อยคอด้วยความระมัดระวัง กล่าวอย่างตื่นเต้น “เธอทำเองกับมือเหรอ” ที่เขาสนใจกลับไม่ใช่โอกาส รักษาชีวิตสามครั้งอะไรนั่น แต่กลับสนใจเรื่องนี้แทน

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ “ซือมั่วทำน่ะ ฝีมือในการทำค่ายกลของเขาเก่งกว่าฉัน” นางตัดสินใจเด็ดขาดเช่นเคย หลังจากที่สังเกตเห็นความคิดของหลี่ซิวหยวน ต่อให้ยากจะพบหน้า นางก็ไม่ยอมทิ้งความเพ้อฝันที่ทำให้คนเข้าใจผิด หรือทำให้คนกอดเก็บความหวังไว้เลยแม้แต่น้อย

‘‘เธอตอบเอาใจฉันหน่อยไม่ได้หรือไง” ในดวงตาหลี่ซิวหยวนมีความอาลัยและผิดหวัง แต่ท่าทางแค้นเคืองใจชนิดนั้น กลับทำให้มู่ชิงเกอสบายใจ

มีเพียงการปล่อยวาง วางลงแล้ว จึงจะมองเห็นความสุขแท้จริงที่เป็นของตัวเองได้

‘‘นายก็รู้ว่าฉันไม่เอาใจใคร” มู่ชิงเกอยิ้มกล่าว

ทันใดนั้น นางก็คิดว่า ตอนที่นางเตรียมจะลงมือเตรียมของขวัญชิ้นนี้ให้หลี่ซิวหยวน ซือมั่วกลับขอให้เขาลงมือทำเอง ใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้สังเกตเห็นความคิดของหลี่ซิวหยวนหรือเปล่า

‘ชายใจแคบผู้นี้นี่ ไม่ทิ้งโอกาสให้แม้แต่นิดเดียวจริงๆ’ มู่ชิงเกอแอบบ่นในใจ

“ถึงเธอจะไม่ได้ทำเองกับมือ แต่ฉันก็จะเชื่อฟังเธอ ใส่มันชั่วชีวิตนี้จะไม่มีวันถอดออก” ขณะที่หลี่ซิวหยวนกล่าวก็สวมสร้อยคอลงบนลำคอตนเอง

“ถ้าใช้โอกาสสามครั้งไม่หมด นายก็ส่งต่อให้ลูกหลานของนายได้” มู่ชิงเกอกล่าวเตือน

อย่างไรเสียข้างในก็กำหนดโอกาสไว้สามครั้ง ไม่ใช้ก็เสียดาย

“เธอยังคงมองการณ์ไกลจริงๆ แม้แต่สวัสดิการของลูกหลานฉันก็คิดไว้แล้ว” หลี่ซิวหยวนกล่าวหยอกล้อ

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วยิ้ม “แต่ไหนแต่ไรฉันก็คิดการณ์ไกลอยู่แล้ว”

“แหม” หลี่ซิวหยวนแค่นเสียงใส่นาง

“ฉันควรไปได้แล้ว” มู่ชิงเกอเก็บรอยยิ้ม กล่าวกับหลี่ซิวหยวน

คำพูดที่ควรพูด ก็พูดหมดแล้ว

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่ซิวหยวนค่อยๆ หายไป ซ่อนความรู้สึกอาลัยไว้ในเบื้องลึกจิตใจ เขาพยักหน้ากล่าว “ไปเถอะ ส่งพวกเธอสามคนครอบครัวไปแล้ว ฉันเองก็ควรกลับไปบริษัทเหมือนกัน อาทิตย์นี้ งานที่ค้างอยู่ กลัวว่าจะกองเป็นภูเขาแล้ว ถ้ายังไม่ไปดูอีก ไม่แน่ว่าบริษัทล้มละลายไปแล้วฉันก็ยังไม่รู้เลย”

เขาแสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายใจ ทำให้มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ พยักหน้า

“รักษาตัวด้วย” มู่ชิงเกอกล่าวเสียงตํ่า

“เธอก็เหมือนกัน” หลี่ซิวหยวนเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง

มู่ชิงเกอพยักหน้า ถอยไปข้างหลัง

อีกฝั่งหนึ่ง ซือมั่วสัมผัสได้ว่าพูดคุยกันจบแล้ว ก็อุ้มซือมู่น้อยกลับมาอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอ

ทันใดนั้น หว่างคิ้วมู่ชิงเกอก็ยิงแสงทองหนึ่งสายออกมา เรือต้าเซียนที่มีขนาดเท่าเมล็ดพุทรา ก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าหลี่ซิวหยวนฉับพลัน

เขาตาค้างปากอ้ามองฉากที่เหลือเชื่อนี้ มองเรือต้าเซียนที่โดนลมพัดก็พองตัว ชั่วพริบตาก็มีขนาดใหญ่เท่าบ้าน

“หลี่ซิวหยวน นายรักษาตัวด้วย” ไม่รู้ว่าเมื่อไร มู่ชิงเกอที่ขึ้นเรือต้าเซียนแล้ว ยืนมือไพล่หลังอยู่บนหัวเรือ ก้มลงมองหลี่ซิวหยวนบนพื้นดิน

หลี่ซิวหยวนเงยหน้าขึ้น มองเรือต้าเซียนที่ลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับเกาะเล็กๆ บนท้องฟ้า มองเห็นชุดแดงแสบตาชุดนั้นบนหัวเรือ ยกมือโบกอยู่ช้าๆ

ท่ามกลางสายตาส่งลาของเขา เรือต้าเซียนกลายเป็นแสงสีทองหนึ่งสาย ยิงขึ้นไปบนขอบฟ้า…

ท้ายที่สุด ก็กลายเป็นแสงเล็กๆ หนึ่งจุด สลายหายไป

“เกิด แก่ เจ็บ ตาย พบคนชัง พรากคนรัก ทุกข์จากขันธ์ห้า ไม่สมปรารถนา ทุกข์แปดประการในพุทธศาสนานี้…มู่เกอ หลายวันมานี้ฉันได้ลิ้มรสชาติทั้งหมดนี้จากเธอ” หลี่ซิวหยวนยืนอยู่ที่เดิม เงยหน้ามองท้องฟ้าแจ่มใส พึมพำเสียงตํ่า

เขาคิดว่ามู่เกอตายแล้ว เธอตายแล้วจริงๆ แต่กลับมามีชีวิตอีกครั้งในฐานะของมู่ชิงเกอ

เธอบอกว่า เธอใช้ชีวิตมาร้อยปีแล้ว เพียงเพราะว่าโลกทั้งหมดไม่เหมือนกัน จึงยังอ่อนวัยอยู่ และอายุขัยก็ยาวนาน ส่วนร้อยปีสำหรับเขา คงจะเป็นดินเหลืองหนึ่งกำ เป็นน้ำบาดาลใต้ดินไปนานแล้ว

ความรักในใจยังไม่ทันได้พูดออกไป กลับกลายเป็นภรรยาของผู้อื่น เป็นมารดาของผู้อื่นเสียแล้ว ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงเก็บความรู้สึกที่พูดไม่ได้ส่วนนั้นให้ลึกลงไปกว่าเดิม ไม่ยอมทำลายความสุขในตอนนี้เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของตน

ไม่อาจอยู่เคียงข้างทำได้แค่เพียงอวยพร เฝ้ารออยู่เงียบๆ

การจากลาในวันนี้ เป็นการจากลาทั้งชีวิต ความเพ้อฝันทั้งหมดก็ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ ไม่ว่าจะเป็นมู่เกอก็ดี มู่ชิงเกอก็ดี ต่างก็กลายเป็นภาพที่งดงามที่สุดภาพนั้นในใจของหลี่ซิวหยวน

วิชาดาราศาสตร์กล่าวไว้ว่า ดวงดาวที่พวกเรามองเห็นผ่านกล้องโทรทรรศน์ในปัจจุบันนี้ เป็นดวงดาวเมื่อหมื่นปีก่อน หรือกระทั้งพันล้านปีก่อน เพราะว่า พวกมันอยู่ไกลเกินไป ภาพของพวกมันทะลุมิติผ่านระยะทางนับไม่ถ้วน กว่าจะมาถึงตรงนี้และถูกพวกเราสังเกตเห็นได้

บางที ฉากแวววับจับตาที่พวกเรามองเห็น ในความเป็นจริงแล้ว ดาวดวงนั้นหายสาบสูญไปในจักรวาล เผาไหม้จนเกลี้ยงไปนานแล้ว

อาจจะเป็นเช่นนี้ จึงทำให้เวลาบนโลกทุกๆ ใบ ล้วนเกิดความแตกต่าง

เหมือนกับมู่ชิงเกอที่ใช้เวลาผ่านไปร้อยปีในโลกอื่น แต่ดาวโลกกลับผ่านไปสั้นๆ เพียงแค่ปีเดียว

ตอนที่มู่ชิงเกอติดตามร่องรอยผ่านจูเสียมาถึงโลกอีกใบหนึ่ง นางเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ได้ออกจากดาวโลกมาเป็นเวลาเท่าไรแล้ว

สิ่งที่นางมั่นใจได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือไม่ว่าเวลาเหล่านี้จะต่างกันเท่าไร หลังจากไปถึงโลกใบหลักแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับมาสู่ช่วงเวลาคงที่ ตามกฎเกณฑ์ของโลกใบหลัก

“นี่ที่มีปราณของจูเสียเหลืออยู่ ข้าจะลงไปดูสักหน่อย” บนเรือต้าเซียน มู่ชิงเกอมองทางเข้าโลกใบหนึ่งข้างหน้า กล่าวกับซือมั่ว

ซือมั่วหันหลังกลับ มองห้องใต้ท้องเรือ

ข้างใน ซือมู่น้อยกำลังบรรลุด่านเคราะห์เลื่อนขั้นเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ที่เขาเกิดมา

“เจ้าอยู่ที่นี่ ดูแลลูกให้ดี ข้าไปคนเดียวก็พอ” มู่ชิงเกอเอ่ยการตัดสินใจของตน

ซือมั่วเก็บสายตากลับมา จับมือของมู่ชิงเกอ “ถึงจะพูดว่า ด้วยตบะบำเพ็ญของเจ้า ไม่ต้องพูดถึงจักรวาลขนาดใหญ่เหล่านี้ ต่อให้จะเป็นโลกใบหลักก็ยากจะเจอคู่ต่อสู้ แต่ข้าก็ยังไม่วางใจ เรือต้าเชียนลำนี้มีความสามารถในการป้องกันของตัวมันเอง เชื่อมกับจิตใจของเจ้า ทิ้งซือมู่ไว้ก็ไม่เป็นไร”

มู่ชิงเกอกล่าวอย่างหมดคำพูด “มีพ่อแบบเจ้าที่ไหนกัน กำลังสู้รบของข้าเจ้าไม่เชื่อมั่น จะปล่อยลูกไว้คนเดียวไม่สนใจให้ได้? ในเรือต้าเซียน ไม่มีใครมาทำร้ายเขาได้ก็จริง แต่หากตอนที่เขาบรรลุเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”

ซือมั่วขมวดคิ้ว แววตาลังเลเล็กน้อย

“เอาเถอะ ไม่ต้องคิดแล้ว เอาแบบนี้แหละ เจ้าวางใจ ข้าจะระวังตัว” มู่ชิงเกอพูดจบก็หยิบยาลูกกลอนที่ปรุงไว้นานแล้วออกมาหนึ่งเม็ด ส่งให้ซือมั่ว “ยาลูกกลอนในนี้ ช่วยลูกเลื่อนขั้นได้ช่วงเวลาคับขัน ก็เอาให้เขากินหนึ่งเม็ด แต่ถ้าหากเขาสามารถผ่านไปได้ด้วยตัวเองจะเป็นเรื่องดีที่สุด”

ซือมั่วรับยาลูกกลอนมา ถามอย่างอาลัย “เจ้าจะไปนานไหม”

มู่ชิงเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง “สิ่งสำคัญคือต้องกำหนดตำแหน่งของจูเสีย หากจูเสียอยู่ที่นี่ เจียงหลีก็จะต้องอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน หาเจียงหลีเจอแล้ว เกรงว่าใช้เวลาประมาณหนึ่ง”

ซือมั่วพยักหน้าน้อยๆ “เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปก่อน รอซือมู่ออกจากด่าน ข้าจะพาเขาไปหาเจ้าด้วยกัน”

มู่ชิงเกอพยักหน้า เห็นท่าทีไม่เต็มใจของซือมั่ว นางก็กล่าวปลอบ “บางทีลูกอาจจะยังไม่ทันออกจากด่านข้าก็พาเจียงหลีกลับมาแล้ว”

“เป็นเช่นนั้นก็ดียิ่งนัก” ซือมั่วยิ้มกล่าว

มู่ชิงเกอยกยิ้ม โน้มตัวไปข้างหน้า หอมแก้มซือมั่วเบาๆ ยืดตัวขึ้นมา กระโดดลงจากเรือต้าเซียน ลงไปยังทางเข้าจักรวาลขนาดใหญ่

ตอนที่นางหลอมรวมเข้าไปในมหาสมุทรดวงดาว รอบกายก็ถูกแสงเจ็ดสีห้อมล้อม แรงดึงดูดหนึ่งกลุ่ม ดูดนางเข้าไปในทางเข้า เข้าไปยังโลกใหม่อีกใบ

ตอนที่ตกลงจากชั้นเมฆ ปัญญาเทวะของมู่ชิงเกอก็กวาดผ่านบริเวณโดยรอบพื้นดินอย่างรวดเร็ว เลือกตกลงในป่าเล็กๆ ใกล้คูเมืองแห่งหนึ่ง

นางตามปราณของจูเสียมา ตอนนี้นางยืนอยู่ในป่าเล็กๆ ใช้ ปัญญาเทวะอันแข็งแกร่งรับรู้ที่อยู่ของจูเสีย ในขณะเดียวกันก็ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ของจักรวาลขนาดใหญ่ใบนี้ไปด้วย…

จักรวาลขนาดใหญ่ใบนี้ไม่เล็ก แต่สำหรับปัญญาเทวะของมู่ชิงเกอแล้วคิดจะครอบคลุมทั้งหมด กลับไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องใช้เวลา และกำลังวังชามากหน่อยก็เท่านั้นเอง

โลกใบนี้ไม่ต่างจากยุคโบราณในความทรงจำของนางมากนัก จากการแต่งตัว ก็ทำให้นางมีความรู้สึกย้อนนึกถึงหลินชวนชนิดหนึ่ง

ดีเหมือนกัน อย่างน้อยมู่ชิงเกอก็ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำให้คนอื่นสนใจอีก

ทันใดนั้น นางก็ขมวดคิ้ว เก็บปัญญาเทวะกลับมา หลังจากลืมตาขึ้น นางก็สงสัยเล็กน้อย ปราณของจูเสีย ตอนที่สัมผัสได้จากข้างนอก ชัดเจนอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อมาสัมผัสจากที่นี่กลับกลายเป็นเลือนราง ขึ้นมา

“ตามหลักเหตุผล ยิ่งใกล้ ก็ควรจะรับรู้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นมิใช่หรือ” มู่ชิงเกอพูดกับตัวเอง

ไม่ตายใจ มู่ชิงเกอเก็บอารมณ์หลับตาทั้งคู่อีกครั้ง ปล่อยปัญญาเทวะที่ตนเก็บกลับมาออกไปอีก คราวนี้ สิ่งที่นางต้องการค้นหาอย่างละเอียดก็คือระยะทางร้อยลี้จากบริเวณรอบนอก

อย่างไรเสีย นางตกลงมาที่นี่ ก็เพราะว่ารับรู้ได้ถึงปราณของจูเสีย

เช่นนั้นก็ชัดเจนว่า จูเสียอยู่แถวๆ นี้ บางทีจูเสียอาจจะเคยปรากฎตัวอยู่ที่นี่

เวลา ผ่านไปอย่างช้าๆ

จากฟ้าสาง จนตะวันตกดิน กระทั้งราตรีปรากฎขึ้นมา

มู่ชิงเกอยืนอยู่ในป่า ข้างกายมีสัตว์ป่าตัวเล็กวิ่งผ่านเป็นบางครั้งคราว แต่กลับไม่มีเงาคนปรากฎตัวแม้แต่คนเดียว

ทันใดนั้นนางลืมตาอย่างรวดเร็ว แสงสว่างสองสายยิงออกไปจากดวงตา นางบังเอิญพบปราณที่คุ้นเคยระหว่างทำการรับรู้อย่างละเอียดในครั้งนี้

ชั่วพริบตา สีหน้าของมู่ชิงเกอใคร่ครวญ พึมพำเสียงตํ่าหนึ่งประโยค “นึกไม่ถึงว่า จะเจอคนที่เคยรู้จักที่นี่จริงๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version