Skip to content

พลิกปฐพี 974

ตอนที่ 974

ตอนพิเศษ 15

หนี้ชาติก่อน ที่อยู่ของเจียงหลี

คนบางคน แม้ว่าจะกลับชาติมาเกิด แต่คุณก็ยังจำการมีอยู่ของเขาได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นในกลุ่มคน หลังจากที่คิดคำนึงมากว่าพันรอบ

สถานการณ์เช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วหากเกิดขึ้น คนผู้นั้นไม่ใช่คนรัก แต่เป็นศัตรู

มู่ชิงเกอลืมตาทั้งสอง สีหน้าใคร่ครวญหลายส่วน

นางเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอคนที่เคยรู้จักที่นี่ เมื่อคิดดูให้ดี พวกเขายังมีวาสนาต่อกัน อีกทั้งยังมีเวรกรรมต่อกัน

มู่ชิงเกอคิดครู่หนึ่ง เงาร่างหายไปจากที่เดิม

ตอนที่ปรากฎตัวอีกครั้ง นางก็ยืนอยู่นอกบ้านแห่งหนึ่งแล้ว

บ้านหลังนี้ขนาดไม่เล็ก มองดูแล้วเป็นตระกูลสูงส่งอย่างยิ่ง ข้างในบ้าน แต่ละส่วนๆ ระหว่างลานบ้าน ตกแต่งไม่เป็นระเบียบแต่ดูแล้วงดงาม ขึ้นๆ ลงๆ ทอดยาวออกไป

เมื่อมองดู ก็รู้ว่าไม่ใช่บ้านคนทั่วไป

มู่ชิงเกอเงยหน้าช้าๆ มองเห็นแผ่นป้ายหน้าประตูป้ายนั้น ข้างบน เขียนอักษรตัวใหญ่สี่ตัวไว้ว่า ‘จวนหวนหลังอี้’ อักษรสี่ตัวนี้ หมายความว่าอะไร นางไม่ได้อยากรู้

ทันใดนั้น นางก็กลายร่างเป็นลำแสงหนึ่งสาย จากนั้นก็เข้าไปในจวนอย่างเงียบๆ

ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว ในจวนเริ่มจุดไฟทำให้เงียบสงัดขึ้นหลายส่วน เรือนที่นางจะไป ตั้งอยู่ในพื้นที่เปลี่ยวอย่างยิ่งในจวนแห่งนี้

ดูจากตำแหน่งแล้วก็มองออกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ข้างใน มีฐานะในจวนเช่นไร

เดินไปตามทางไม่หยุด เร็วอย่างยิ่งมู่ชิงเกอก็ยืนอยู่ข้างนอกจวนเล็กที่ห่างไกลแห่งนั้น

ในลานบ้านขนาดเล็ก มีแสงไฟรางๆ ส่องออกมา ขับไล่ความดำมืด และยังพาเอาความเปล่าเปลี่ยวออกไปเช่นกัน

นางไม่รีบเข้าไป แต่กลับยืนอยู่ข้างนอก ฟังเสียงกวัดแกว่งอาวุธข้างใน ตอนนี้มีคนกำลังฝึกยุทธ์อยู่ในลานบ้าน อีกทั้งการเคลื่อนไหวยังไม่มาก คล้ายไม่อยากดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ ในจวนแห่งนี้

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว คล้ายประหลาดใจเล็กน้อย

คนผู้นั้นที่นางคุ้นเคย แต่ไหนแต่ไรไม่รู้จักถ่อมตน เหตุใดเกิดใหม่ครั้งนี้กลับรู้จักอ่อนข้อและเก็บตัวแล้วเล่า

‘น่าสนใจ’

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากยกยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี หายตัวไปจากที่เดิม

ตอนที่นางปรากฎตัวอีกครั้งก็ปรากฎตัวนอกลานบ้านที่ครึกครื้น อย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่งข้างในแล้ว สาวใช้งามหนึ่งกลุ่มกำลังยกอาหารและสุราเดินไปยังลานบ้านที่ครึกครื้นแห่งนั้น

รอยยิ้มบนใบหน้าพวกนางชวนหลงใหล ท่าทางกระตือรือร้น ทำให้เรือนเล็กที่ห่างไกลหลังนั้นยิ่งดูเหมือนถูกลืม

ทันใดนั้น ร่างสาวใช้งดงามกลุ่มนั้นก็ชะงักหยุดอยู่กับที่

มู่ชิงเกอปรากฎตัวอยู่ข้างหน้าพวกนาง ปัญญาเทวะที่แข็งกล้าครอบคลุมลงมาอย่างรวดเร็ว ทุกๆ แห่งที่ผ่านไปก็แอบอ่านความทรงจำในสมองของพวกนางหนึ่งรอบ

วิธีการแอบอ่านความทรงจำธรรมดาเช่นนี้ สำหรับมู่ชิงเกอในตอนนี้แล้ว เป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างถึงที่สุด

สายลมเย็นหนึ่งหอบพัดผ่าน เงาร่างของมู่ชิงเกอก็หายไปแล้ว

ส่วนสาวใช้งามกลุ่มนั้นก็กลับคืนสู่สภาพเดิมราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน พูดคุยหัวเราะ เดินไปยังลานบ้านที่ครึกครื้นหลังนั้นต่อ

หลังจากที่นางจากไปแล้ว ในความดำมืดก็ค่อยๆ ปรากฎเงาร่างของมู่ชิงเกอ

นางไพล่มือไว้ข้างหลัง มองลานบ้านที่แสงไฟสว่างไสว เสียงหัวเราะดังไม่ขาดสาย ครึกครื้นอย่างถึงที่สุดหลังนั้น พึมพำเสียงตํ่ากับตัวเอง “ลูกอนุภรรยาของตระกูล แขนด้วนแต่กำเนิด บำเพ็ญตบะไม่ได้ เทียบกับพี่น้องลูกภรรยาหลวงผู้มีพรสวรรค์เหนือคนก็เปรียบดั่งโคลนใต้เท้าจริงๆ โดยเฉพาะ ยังมีมารดาที่ถูกจับชู้ได้คาเตียงผู้หนึ่งอีก”

ทันใดนั้น นางก็หัวเราะขึ้นมา “ชีวิตนี้ของเจ้า น่าสนใจจริงๆ”

มู่ชิงเกอเดินกลับไปยังเรือนหลังเล็กที่ห่างไกลแห่งนั้นอย่างช้าๆ ระหว่างทาง นางไม่กลัวว่าจะมีคนพบเห็นนางเลยแม้แต่น้อย ในความจริงแล้ว ด้วยตบะบำเพ็ญในตอนนี้ของนาง หากนางไม่ยินยอม ไม่ว่าใครก็ตามบนใบโลกนี้ล้วนไม่อาจสังเกตเห็นนางได้ทั้งสิ้น

หากบอกว่า โลกใบหลักเป็นโลกเพียงใบเดียวท่ามกลางโลกมากมายเหล่านี้ เช่นนั้น ด้วยฐานะในโลกใบหลักในตอนนี้ของนางก็คือเทพในหมู่เทพนั้นเอง

เดินไปถึงหน้าลานบ้านห่างไกล เสียงฝึกยุทธ์ข้างในยังคงดังต่อเนื่อง

ดูออกว่า ผู้ที่ฝึกยุทธ์มานะบากบั่นอย่างยิ่ง

มู่ชิงเกอเดินเข้าไปอย่างสบายอกสบายใจ ทะลุผ่านประตูเรือน ผ่านทางเดินเส้นเล็กที่คดเคี้ยว ลานบ้านนอกเรือนที่ผุพังสามหลัง ปรากฎอยู่ในสายตานางแล้ว

นางเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย คนที่กำลังฝึกกระบี่อยู่ในลาน บ้านกลับมองไม่เห็นนางอย่างสิ้นเชิง

มู่ชิงเกอเองก็ไม่ส่งเสียงรบกวน เพียงแค่เดินไปใต้ต้นไม้ในลานบ้าน ยกชายเสื้อของตนขึ้น นั่งลงบนม้านั่งหินใต้ต้นไม้อย่างงามสง่า มองคนฝึกยุทธ์ผู้นั้นด้วยสีหน้าเอ้อระเหย

นี่คือเด็กหนุ่มอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปี แขนซ้ายด้วน

ตามความทรงจำของสาวใช้งามเหล่านั้น คุณชายลูกอนุภรรยาผู้นี้ไร้แขนหนึ่งข้างมาตั้งแต่กำเนิด

ตอนนี้ เขากำลังใช้แขนขวาที่มีอยู่เพียงข้างเดียวกุมกระบี่หนักหนึ่งเล่ม กวัดแกว่งกระบวนท่ากระบี่

กระบวนท่ากระบี่เหล่านี้ดูหยาบเล็กน้อย เหมือนกับคิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง

มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งคู่มองดู สังเกตเห็นเงาที่เคยเห็นมาก่อนจำนวนหนึ่งท่ามกลางกระบวนท่าที่ไม่สละสลวยเหล่านั้น สามารถหลอมรวมวิชามวยในการทหารแบบปัจจุบันเข้าไปในกระบวนท่ากระบี่ สร้างสวรรค์กระบวนท่าด้วยตัวเอง หมาป่าหาญก็คือหมาป่าหาญ สมกับที่เป็นดาบอันแหลมคมอันดับสองในองค์กร

แรกเริ่มที่สัมผัสปราณของหมาป่าหาญได้ มู่ชิงเกอก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะคาดเดาไว้บ้างแล้ว แต่อย่างไรเสีย นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดา

คิดไม่ถึงว่า การคาดเดานี้จะมีวันที่ได้รับการพิสูจน์

ตอนนั้นหมาป่าหาญวางแผนให้นางถูกระเบิดตายเพราะความริษยาเกลียดชัง แต่ท้ายที่สุด นางก็ลากเขาเข้าไปในระเบิดด้วยเช่นกัน ไม่มีใครรอดพ้นไปได้

ทั้งสองถือเป็นศัตรูร่วมเป็นร่วมตาย ตอนที่มีชีวิตอยู่ ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน ตายก็ยังนับว่าตายด้วยกัน ดังนั้น นางจึงคุ้นเคยปราณของหมาป่าหาญเป็นอย่างดี

แม้ว่า เขาจะเปลี่ยนร่างกาย เปลี่ยนโฉมหน้าแล้ว แต่ปราณของเขาก็ยังคงหนีไม่พ้นปัญญาเทวะของมู่ชิงเกอ

นางเชื่อว่า ถ้าหากตอนนี้ตนปล่อยปราณที่รวบรวมอยู่ในตัวของตนออกไป หมาป่าหาญก็จะจำนางได้ตั้งแต่แวบแรกเช่นเดียวกัน

‘หรือจะเป็นเพราะว่าดินระเบิดรุนแรงในปริมาณมากเพียงนั้น ระเบิดออกพร้อมกัน ฉีกการเชื่อมต่อระหว่างอากาศ บวกกับข้าและหมาป่าหาญต่างก็เป็นผู้มีพลังวิเศษ กำลังวังชาต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นจึงสามารถทะลุมิติมาเกิดใหม่ในต่างภพได้งั้นหรือ หากเป็นเช่นนี้ ตอนนี้หมาป่าหาญกลับชาติมาเกิดเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว’ มู่ชิงเกอกล่าวเงียบๆ ในใจ

เวลาของโลกแต่ละใบต่างกันทำให้นางไม่มีทางตัดสินจุดนี้ได้

ในที่สุด หม่าป่าหาญที่กำลังฝึกกระบี่อยู่ในลานบ้าน ตอนนี้ ลมหายใจของเขาเริ่มหอบเล็กน้อยแล้ว สีผิวก็เริ่มแดงกํ่า กระทั่งบนยอดศีรษะยังมีไอร้อนจางๆ โผล่ขึ้นมา

เขาเดินเข้าไปใต้ต้นไม้ในลานบ้าน นั่งลงใต้ต้นไม้ต้นนั้นที่มู่ชิงเกอนั่งอยู่พอดี

แน่นอน ไม่ใช่เพราะเขาสังเกตเห็นมู่ชิงเกอ แต่กลับนั่งพักใต้ต้นไม้หลังจากฝึกยุทธ์เสร็จตามความเคยชิน

ข้างโต๊ะหินใต้ต้นไม้ มีม้านั่งหินเพียงสองตัว

บนโต๊ะหิน มีภาชนะดื่มชาเนื้อหยาบหนึ่งชุด ที่ต้มอยู่ข้างในก็ไม่ใช่ชาดีอะไร

หมาป่าหาญค่อยๆ เข้ามาใกล้ มู่ชิงเกอก็ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว

เขาเดินไปหน้าโต๊ะหิน วางกระบี่หนักลงบนโต๊ะหินอย่างระมัดระวัง จากนั้นตนก็รินชาให้ตัวเอง ดื่มลงไปช้าๆ

หลังจากออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง ไม่อาจดื่มหนักได้

ความรู้ในยุคปัจจุบัน พรั่งพรูออกมาท่ามกลางความไม่รู้ตัว

ในระยะใกล้ มู่ชิงเกอมองเห็นดวงตาทั้งคู่ของเขาชัดเจนได้อย่างง่ายดาย นางดูออกว่า ในดวงตาคู่นี้อ้างว้างลุ่มลึกอย่างถึงที่สุด

หมาป่าหาญคือความเคียดแค้นของนาง แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่สิ่งมีค่า

ความริษยาที่เขามีต่อนาง มาจากเกียรติยศ และกำลังสู้รบ ความรุ่งโรจน์ของนาง ปิดบังแสงสว่างของเขา และด้วยเหตุนี้จึงกระตุ้นด้านมืดในส่วนลึกจิตใจของเขา ปลุกความอาฆาตขึ้นมา

หมาป่าหาญในตอนนี้มู่ชิงเกอยังคงเห็นความทะเยอทะยานได้จากดวงตาคู่นั้นของเขา

เพียงแต่ ความทะเยอทะยานนี้ไม่เกี่ยวกับการสืบสายวงศ์ตระกูล และไม่ได้สนใจทรัพย์สินตำแหน่ง แต่เป็นการแสวงหาพลังอันป่าเถื่อน

ดวงตาที่ใสกระจ่างของมู่ชิงเกอ สายตากะพริบวาบเล็กน้อย ค่อยๆ คลายวิชาปราณที่เก็บไว้ในตัวลง

หมาป่าหาญที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะหินพลันเห็นว่าหน้าโต๊ะหินมีคนที่อยู่ในชุดแดงสีสดผู้หนึ่งปรากฎตัว ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างอย่างรวดเร็ว คว้ากระบี่หนักบนโต๊ะขึ้นตามจิตใต้สำนึก กวาดตามแนวขวางออกไปหามู่ชิงเกอ

โจมตีหนึ่งกระบวนท่า ไม่ว่าจะโจมตีโดนหรือไม่ เขาก็ถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว เว้นระยะห่างที่ค่อนข้างปลอดภัยเอาไว้

“เจ้าเป็นใคร” เขามองมู่ชิงเกอที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว อย่างตื่นตัว กล่าวถามเสียงเฉียบขาด

มู่ชิงเกอยังคงนั่งอยู่อย่างสบายใจ มุมปากยกยิ้มที่คลุมเครือไม่ชัดเจน “เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ”

ในใจหมาป่าหาญหวาดกลัว มองหน้าใบนั้นของมู่ชิงเกออย่างตั้งใจ

นั้นคือใบหน้าที่งามอย่างถึงที่สุด ทำให้คนมองตาค้าง ชั่วชีวิตไม่อาจลืมได้ แต่ว่า เขากลับไม่มีความทรงจำแม้แต่นิดเดียว ตอนที่เขามองดวงตาที่ใสกระจ่างคู่นั้น จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างไม่มีเหตุผล ขึ้นมาในเบื้องลึกของจิตใจ

เพราะดวงตาคู่นั้น ในความทรงจำของเขาจึงค่อยๆ ปรากฎ ใบหน้าในอดีตเมื่อนานมาแล้ว แทนที่ลงไปบนใบหน้าที่งามล่มเมืองใบนี้ ช้าๆ หลอมรวมกับดวงตาคู่นั้น…

“เป็นเจ้า” หมาป่าหาญกล่าวเสียงตกใจ หลังจากที่ตกใจ เขาก็สงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว แววตาเด็ดขาด เอ่ยคำสองคำออกมาจากช่องฟัน “เขี้ยวมังกร”

มู่ชิงเกอยิ้ม แต่ว่าในรอยยิ้มที่งดงามนั้น กลับทำให้หมาป่าหาญหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ

เขารู้จักเขี้ยวมังกรเป็นอย่างดี

คนที่เคยทำเรื่องไม่ดีกับนาง ไม่อาจมีจุดจบที่ดีได้ แม้แต่เขา ต่อให้จะเตรียมตัวมากเพียงใด ระวังมากเพียงใด ในที่สุดก็วางแผนทำร้ายนางได้ แต่สุดท้ายกลับพ่วงชีวิตตนเองไปด้วย

ความโหดเหี้ยมของเขี้ยวมังกร ไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับความโหดร้ายของศัตรู แต่ขึ้นอยู่กับความโหดเหี้ยมของตัวนางเองด้วย

บนโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่เขี้ยวมังกรไม่กล้าทำ

และไม่มีเรื่องไหน ที่เขี้ยวมังกรที่เขารู้จักทำไม่สำเร็จ

นางแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

แข็งแกร่งจนทำให้คนไม่มีทางหายใจภายใต้แสงสว่างของนาง ดังนั้น ภายใต้ความจนปัญญา เขาจึงอยากทำลายตำนานนี้ด้วยมือตัวเอง ทำให้ตนเองหลุดพ้น

หลังการระเบิด เขาเสียชีวิต เขาเองก็คิดว่าเขี้ยวมังกรไม่มีทางรอดภายใต้ระเบิดเช่นนั้นได้เหมือนกัน วินาทีนั้นที่ตาย จิตใจข้างในของเขาก็ผ่อนคลาย เพราะเขาคิดว่า นับแต่นี้ไป จะไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืดของเขี้ยวมังกรอีกต่อไป

แต่ว่า ภายหลังเขาเกิดใหม่

ตอนที่สติของเขากลับคืนมา กลายเป็นทารกแขนด้วนแต่กำเนิดคนหนึ่ง ความคิดแรกของเขาก็คือ เขี้ยวมังกรเล่า เขี้ยวมังกรจะเกิดใหม่ ด้วยวิธีนี้เหมือนกันหรืรอไม่

โชคดี สิบกว่าปีต่อมา เขี้ยวมังกรไม่เคยปรากฎตัวอีก คนที่ทำให้เขาหวาดกลัวเข้ากระดูกดำผู้นี้ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของเขา

ทว่า ในตอนนี้ คนที่เขาคิดว่าไม่มีทางพบเจอกันอีก คาดไม่ถึงว่าปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าเขา ยังคงใช้วิธีที่เปล่งประกายเช่นนี้..

ชุดสีแดงเลือดนั้น แยงตาประหนึ่งดวงอาทิตย์ แผดเผาลานตา ทำให้คนน้อยเนื้อตํ่าใจ

“ดีมาก ดูท่าแล้วนายจะยังจำฉันได้อยู่” มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืนช้าๆ เดินไปข้างหน้าหลายก้าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์

นางตั้งใจย่นระยะปลอดภัยภายในใจของหมาป่าหาญลง ทำให้เขาตื่นตระหนกยิ่งขึ้น

“ไม่คิดว่าเธอเองก็จะคืนชีพ” หมาป่าหาญกล่าวเสียงตํ่า บนร่างเขา มีคลื่นความรู้สึกที่ไม่สอดคล้องกับอายุชนิดหนึ่ง นี่เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง หมาป่าหาญที่ตายไปตอนนั้นอายุสามสิบปีแล้ว

เขาถอยไปข้างหลังอีกสองก้าวอย่างไม่ทิ้งร่องรอย เว้นระยะห่างออกไป

“นายกลัวฉันหรือ” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างใคร่ครวญ ก้าวไปข้างหน้าอีกสองก้าว ประชิดหมาป่าหาญต่อ เหมือนกับว่านางเพียงแค่กำลังเล่นเกมอยู่

หมาป่าหาญนิ่งเงียบ คราวนี้ เขาไม่ได้ถอยไปอีก “กลัวเหรอ ใช่แล้ว กลัวจนฆ่าเธอได้” นํ้าเสียงเขาภูมิใจเล็กน้อย ราวกับว่า ฆ่ามู่ชิงเกอได้หนึ่งครั้ง เป็นผลงานที่ควรค่าให้อ้อวดที่สุดในชีวิตชาติก่อนและชาตินี้ของเขา

มู่ชิงเกอไม่ได้ถูกยั่วโมโห “ถึงฉันจะตายแล้ว แต่นายก็ยังเอาความหวาดกลัวต่อฉัน กลับชาติมาเกิดด้วย”

สีหน้าหมาป่าหาญตึงขึ้นมา เพราะว่า สิ่งที่มู่ชิงเกอพูดคือ ความจริง “เธอจะเอายังไงกันแน่”

“ง่ายมาก” มู่ชิงเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างคลุมเครือยากจะเข้าใจ “ทวงหนี้”

“เธอแอบเฝ้าดูฉันมาโดยตลอดเหรอ” หมาป่าหาญพลันกล่าว มิเช่นนั้น เขาก็คิดเหตุผลที่มู่ชิงเกอปรากฎตัวกะทันทันไม่ออก อย่างไรเสีย เขาก็อยู่แต่ในบ้านเช่นนั้น นอกจากจะตั้งใจฝึกฝนแล้ว ก็คิดแต่จะ หลบหนีมู่ชิงเกอ

เพราะเขาไม่มั่นใจว่าเขี้ยวมังกรอยู่บนโลกใบนี้อยู่ในประเทศนี้หรือไม่

มู่ชิงเกอหัวเราะร่าขึ้นมา

หมาป่าหาญมองลักษณะท่าทางสง่างามผ่าเผยของนาง ในดวงตาปรากฎความริษยาเล็กน้อย เพราะว่าเขี้ยวมังกรผู้นี้ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็สามารถดึงดูดความสนใจทั้งหมดได้ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้าน มืดสลัว

ความเชื่อมั่นในตัวเองเช่นนั้นของนาง ความแข็งกล้าเกินตัว ในขณะที่ทำให้คนอิจฉา ยำเกรง ก็ทำให้เกิดความริษยาด้วยเช่นกัน

“ฉันเพียงแค่ผ่านทางมา ตอนที่เห็นนาย ก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน” หลังจากหัวเราะเสร็จแล้ว มู่ชิงเกอก็กล่าวกับหมาป่าหาญอย่างไม่หวาดหวั่น

ผ่านทางหรือ ไม่คาดคิดหรือ

หมาป่าหาญไม่มีทางสงสัยในคำพูดของเขี้ยวมังกร เพราะเขารู้ว่า เขี้ยวมังกรเกลียดการโกหก

ที่สำคัญที่สุดก็คือ บนร่างนางมีพลังชนิดนั้นที่ปรากฎออกมา…

เคร้ง!

จู่ๆ กระบี่หนักก็ตกลงมาจากมือหมาป่าหาญ เขามองมู่ชิงเกอแล้วกล่าว “ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ ในเมื่อเธอบอกว่ามาทวงหนี้กับฉัน เช่นนั้นจะฆ่าก็ฆ่าเสีย”

สายตามู่ชิงเกอกวาดผ่านตัวกระบี่หนักเล่มนั้น สุดท้ายก็ตกลงบนร่างเขา นางกล่าวอย่างหยอกล้อ “หมาป่าหาญที่ฉันรู้จัก ไม่ได้มีนิสัยยอมแพ้ง่ายๆ เด็ดขาด”

หมาป่าหาญกล่าวพึมพำ “ฉันในอดีต ย่อมไม่คิดว่าตัวเองด้อยไปกว่าเธอ แต่ว่าตอนนี้..”

เขามองแขนซ้ายที่ว่างเปล่าของตน

เป็นคนพิการแต่กำเนิดคนหนึ่ง เป็นคนไม่มีวันก้าวเข้ามาในเส้นทางการฝึกตนได้อย่างแท้จริงผู้หนึ่ง เขาจะเอาอะไรไปสู้กับเขี้ยวมังกร

พลังวิเศษที่ใช้เมื่อชาติก่อนหรือ

ชีวิตนี้กลับไม่มีอยู่อีกแล้ว

“นายวางใจ ฉันไม่ไม่เอาเปรียบจุดนี้หรอก” มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ กล่าว เพียงแต่รอยยิ้มนั้น ไม่มีความจริงใจ ตอนที่หมาป่าหาญส่งสายตา สงสัยไปให้นาง นางก็กล่าวต่อ “ฉันเห็นกระบวนท่ากระบี่ของนาย ยังรักษาทักษะต่อสู้ที่เคยเรียนมา ดูท่าแล้ว หลายปีมานี้ สิ่งเหล่านั้นนายไม่เคยทำให้สูญเปล่าเลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรามาใช้สิ่งที่เรียนมาด้วยกัน ตัดสินหนี้เก่าระหว่างนายกับฉันแล้วกัน”

หมาป่าหาญตกตะลึง ในแววตาคล้ายจุดประกายความหวัง เขากล่าวอย่างไม่แม้แต่จะคิด “ได้!”

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หมาป่าหาญกระแทกลงไปบนพื้นอย่างแรง ผิวหนังทั้งร่างต่างก็เต็มไปด้วยรอยฟกชํ้า ปากจมูกเปื้อนเลือด นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น

มู่ชิงเกอยังคงยืนอยู่อย่างปราศจากคราบฝุ่นดิน สง่าผ่าเผย ท่าทางสะโอดสะอง

“ฉันแพ้แล้ว” หมาป่าหาญกำหมัด บนมือเปื้อนเต็มไปด้วยฝุ่นดิน

เขาแพ้ด้วยไม้ตายที่แข็งกล้าที่สุดในตอนนี้ของตน แพ้อย่างที่ไม่มีแรงจะสู้กลับได้เลยแม้แต่น้อย

มู่ชิงเกอปัดฝุ่นบนเสื้อเล็กน้อย ก้มลงมองหมาป่าหาญแล้วกล่าว “นับแต่นี้เป็นต้นไป ความแค้นระหว่างนายกับฉันจบสิ้นลงแล้ว”

คำพูดของนางทำให้หมาป่าหาญตะลึงงันกล่าวอย่างประหลาดใจ “เธอไม่ฆ่าฉันเหรอ”

มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ กล่าวอย่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย “ทำไมต้องฆ่านายด้วยเล่า”

พูดจบ นางก็สะบัดแขนเสื้อหมุนตัว หายไปต่อหน้าหมาป่าหาญ

หมาป่าหาญมองภาพที่นางจากไปอย่างตกตะลึง ในแววตา ค่อยๆ รวมแสงที่ดุดัน เขาตะโกนด้วยความโกรธ “เขี้ยวมังกร! เธอยังคงเป็นเขี้ยวมังกรคนนั้นจริงๆ โหดเหี้ยมไร้ปรานี! เธอปล่อยให้ฉันอยู่ในเงามืดของเธอสองชาติไม่พอ ยังคิดจะปล่อยให้ฉันใช้ชีวิตต่อไปด้วยความหวาดกลัวเธอทุกชาติทุกภพ! เธอมันโหดเหี้ยมนัก!”

“ถูกนายมองออกแล้วสิ ถ้านายไม่ยินดีก็ฆ่าตัวตายเสีย ปัญหาที่ตามมาก็จะหมดไปฉันรับรองว่าจะไม่ตามไปหานายถึงชาติหน้าอีก” ในท้องฟ้ายามราตรี เสียงที่สบายอารมณ์เสียงหนึ่งลอยเข้ามา

‘พรูด!’

ประโยคนี้ทำให้หมาป่าหาญกระอักเลือดออกมา สลบลงไป

ภาพที่หมาป่าหาญสลบไป ถอยออกจากปัญญาเทวะของมู่ชิงเกอ ความแค้นระหว่างนางกับหมาป่าหาญจบสิ้นลงแล้วจริงๆ หลังจากนี้ไป คนผู้นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางอีก

หลังจากนี้ นางจะต้องหาที่อยู่ของเจียงหลีต่อ

วันเวลาผ่านไปเหมือนเดิม แต่คนกลับไม่เหมือนเดิม

ท่ามกลางการตามหา มู่ชิงเกอหามาไม่รู้กี่จักรวาลขนาดใหญ่ กี่ล้านโลกมนุษย์แล้ว ขอเพียงเป็นที่ที่มีปราณของจูเสีย นางก็จะตามหาด้วยตัวเองรอบหนึ่ง

ชั่วพริบตา ซือมู่ก็สิบขวบแล้ว

บนเรือต้าเซียน แผนที่จักรวาลขนาดใหญ่แผ่นนั้นก็ถูกมู่ชิงเกอเขียนอย่างละเอียดมากขึ้น

บนดาดฟ้าหัวเรือ มู่ชิงเกอยืนโต้ลม แสงดาวซ้ายขวาวาดผ่านอย่างรวดเร็ว ดวงดาวที่กะพริบอยู่ไกลๆ ล้วนแต่เป็นโลกแต่ละใบๆ

ซือมั่วปรากฎตัวข้างหลังนาง โอบนางเข้ามาในอ้อมอกเบาๆ มือใหญ่หนึ่งคู่ กุมท้องน้อยที่แบนราบของนางเบาๆ “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ พวกเราออกจากโลกใบหลักมาเจ็ดปีแล้ว ไปๆ มาๆ อยู่ในมิติ หาโลกนับไม่ถ้วน ตอนนี้เจ้าตั้งครรภ์พวกเรากลับกันชั่วคราวดีกว่า สำหรับเจียงหลี ข้าจะส่งคนค้นหาต่อ รอเจ้าคลอดแล้ว หากยังหาไม่เจอ ข้าค่อยมาเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่”

มู่ชิงเกอก้มหน้า มองท้องตัวเองแล้วฝืนยิ้ม “ลูกคนนี้ มาไม่ถูกเวลาจริงๆ”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…” ซือมั่วหมดคำพูดจะเถียง

เขาเคยสาบานไว้ว่า จะไม่ให้มู่ชิงเกอต้องทนรับความเจ็บปวด จากการคลอดลูกอีก

แต่ว่า กลับทนคำร้องขอของมู่ชิงเกอไม่ไหว ต้องการมีน้องสาวให้ซือมู่จึงยอมอ่อนข้อให้

“แผนเดิมของข้า ลูกคนนี้ควรจะมีหลังจากที่หาเจียงหลีเจอแล้ว” มู่ชิงเกอกล่าวเสียงตํ่า นางหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มกล่าว “แต่ว่า กว่าจะคลอดก็ยังเหลือเวลาอีกนาน ข้ายังหาต่อได้”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์” ซือมั่วยังคิดจะโน้มน้าวต่อ

ทันใดนั้น สายตามู่ชิงเกอก็จ้องนิ่ง ยกมือหยุดคำพูดของซือมั่ว

“ข้าสัมผัสถึงปราณของจูเสียได้อีกแล้ว” มู่ชิงเกอมองดวงดาวสีทองอ่อนดวงนั้นนอกปีแสงนับหมื่นข้างหน้า

ซือมั่วส่ายหน้ายิ้มกล่าว “นี่ไม่ใช่ครั้งแรก”

“ไม่ ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ความรู้สึกครั้งนี้รุนแรงอย่างยิ่ง อีกทั้ง… บนจูเสียยังมีปราณของเจียงหลีอยู่ด้วย” หลังจากที่มู่ชิงเกอตั้งใจสัมผัสแล้ว ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกายทันที

ซือมั่วเองก็ตาลุกวาวเนื่องด้วยคำพูดประโยคนี้ของนางเช่นกัน

หากครั้งนี้หาเจอจริงๆ เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถกลับไปยังโลกใบหลักได้โดยเร็ว เลี่ยงไม่ให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาต้องวิ่งวุ่นทนทรมานอีก

“นั้นคือโลกใด” มู่ชิงเกอชี้ดาวดวงนั้น

ซือมั่วยกมือครู่หนึ่ง แผนที่จักรวาลขนาดใหญ่ก็ปรากฎอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง

พวกเขาดูจากพิกัด เร็วอย่างยิ่งก็กำหนดจุดบนแผนที่ได้แล้ว

“โลกจิ่วฮวง!”ซือมั่วพูดชื่อดาวสีทองอ่อนดวงนั้นออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version