ตอนที่ 98-4
หนุ่มน้อยผู้งดงามผู้นี้เป็นใครกัน
มู่ชิงเกอตาเป็นประกายทีหนึ่ง แต่กลับถามอย่างเย็นชาว่า ‘เจ้าโผล่ออกมาอีกแล้วนะ’
‘ก็ข้าได้กลิ่นอาวุธกึ่งเทพนี่นา จึงรีบมารายงานให้เจ้านายทราบ’ เหมิงเหมิงพูดอย่างเสียใจกับคำพูดของมู่ชิงเกอ ภายในช่องว่างที่ยังไม่มีชื่อเรียกแห่งนั้น เหมิงเหมิงที่ตัวเท่านิ้วหัวแม่มือบิดตัวไปมา พลางจู๋ปากเล็กๆ สีแดงกํ่าของตนเอง
‘อาวุธกึ่งเทพคืออะไร’ มู่ชิงเกอคร้านจะสนใจท่าทางแกล้งน่ารักของนาง จึงถามสิ่งที่สงสัยออกมาตรงๆ และในขณะที่นางถามเหมิงเหมิง ฟ่งเหนียงเองก็รีบเอ่ย ว่า “คุณชาย นี่เป็นสมบัติที่ลํ้าค่ามากที่สุดเท่าที่ข้ามี มันคมกริบอย่างหาที่สุดไม่ได้ สามารถทำลายล้างการป้องกันของพลังทุกสาย รวมทั้งสายม่วง ตอนนี้ข้าจะเอามันเป็นของแลกเปลี่ยน ขอเพียงแค่หลังจากที่คุณชายเข้าไปภายในผืนป่าลั่วรื่อแล้ว ช่วยหาร่องรอยของสามีข้า แม้จะหาเขาไม่พบ อย่างน้อยแค่ขอเพียงเบาะแสอันน้อยนิดก็ยังดี หากสุดท้ายไม่ได้ข่าวคราวอันใด กริชนี้ข้าก็ไม่เอาคืน ถือว่ามันเป็นค่าตอบแทนให้กับคุณชาย”
‘เจ้านายที่นางพูดล้วนเป็นความจริง อาวุธกึ่งเทพเป็นอาวุธระดับเทพที่ยังหลอมไม่เสร็จสมบูรณ์นอกจากไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้แล้ว คุณสมบัติอื่นๆ แทบจะไม่ต่างกับอาวุธระดับเทพ และกริชเล่มนี้ยังมีคุณสมบัติอื่นที่แม้แต่นางยังไม่รู้นั่นก็คือสามารถผ่าผนึกต้องห้ามได้ อาวุธชิ้นนี้เป็นของดี! หากวันใดเจ้านายกระตุ้นสายเลือดการหลอมและสร้างอาวุธได้แล้ว ค่อยเอากลับไปหลอมใหม่ มันจะยิ่งร้ายกาจมากกว่าเดิม’ เหมิงเหมิงพูดอย่างตื่นเต้น
คำพูดของทั้งสองทำให้สายตาของมู่ชิงเกอเป็นประกายดั่งเพชรเม็ดงาม
“เจ้าอยู่ในสายใด” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างกะทันหัน ฟ่งเหนียงสะดุ้งทีหนึ่งและมองมู่ชิงเกออย่างตื่นตระหนก ราวกับว่านางไม่กระจ่างว่าตนเองได้เก็บซ่อนพลังเวทไว้ เป็นอย่างดีแล้ว และไม่เคยมีใครสามารถสัมผัสมันได้ เหตุใดมู่ชิงเกอถึงได้ถามนางเช่นนี้ แต่นางไม่ได้คิดจะปิดบังตั้งแต่แรก จึงตอบถามความเป็นจริงว่า “สายครามขั้นกลาง”
สายครามขั้นกลางเชียวหรือ!
เมื่อมั่วหยางได้ยินดังนั้นจึงระมัดระวังมากขึ้น เพราะตอนนี้เขาก็เพียงแค่สายครามขั้นกลางเท่านั้น
ทว่ามู่ชิงเกอยังคงนิ่งสงบ ราวกับว่านางรู้อยู่แล้ว ฟ่งเหนียงอยากจะหาเบาะแสบางอย่างจากใบหน้าอันงดงามของนาง แต่กลับไม่เป็นผล เมื่อไม่สามารถทำ อะไรได้นางเพียงกล่าวว่า “คุณชายรู้ได้อย่างไรว่าข้ามีพลัง ข้าอยู่ในเมืองลั่วรื่อมา 10 ปี ไม่เคยมีผู้ใดรู้ความสามารถของข้า”
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “ไม่ใช่ว่าไม่มีใครรู้ แต่คนที่รู้ล้วนตายทั้งหมด ฟ่งเหนียง หากเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาจริงๆ เหตุใดจึงสามารถยืนอยู่ในเมืองลั่วรื่อที่ซึ่งเต็มไปด้วย อันตรายเช่นนี้ได้? นอกเสียจากว่า ก่อนหน้านี้เจ้าได้สังหารคนไปจำนวนไม่น้อย จึงสามารถหยุดความคิดที่คิดอยากจะปองร้ายเหล่านั้นลงได้อีกประการหนึ่ง การ ที่เจ้ามีสมบัติเช่นนี้จะเป็นเพียงคนธรรมดาได้อย่างไร?”
ฟ่งเหนียงหน้าซีด เหงื่อตกในทันใด
นางพูดอย่างยอมแพ้ว่า “คุณชายเก่งกาจมากจริงๆ มองข้าแวบเดียว ก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวข้า”
มู่ชิงเกอส่ายหน้าพลางยิ้ม “ไม่ ข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่”
ฟ่งเหนียงเม้มปาก ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ไปมากกว่านี้ มู่ชิงเกอเพียงยกมือขึ้นกริชก็ถูกดูดไปอยู่ในฝ่ามือของนางและนางก็กล่าวว่า “ช่างเถิด เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ข้าไม่อยากจะรู้จัก และข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าที่มีความสามารถมากเพียงนี้ แต่กลับไม่ออกตามหาด้วยตนเอง วันนี้เห็นแก่กริชเล่มนี้ ข้าจะช่วยเจ้า แต่ข้าไม่รับปากว่าจะได้เบาะแสของมู่ยี่”
เมื่อฟ่งเหนียงเห็นว่ามู่ชิงเกอตอบตกลง ตาก็เปล่งประกายวับฉายแววความดีใจทันที “ขอบคุณคุณชาย!” เม้มปากทีหนึ่ง นางพูดราวกับกำลังอธิบายว่า “ไม่ใช่ว่า
ไม่อยากทำ แต่พลังของคนเพียงคนเดียวมันมีขีดจำกัด”
เมื่อบรรลุตามเป้าหมาย ฟ่งเหนียงก็ออกไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนจากไป นางยังอนุญาตให้โย่วเหอสามารถใช้ห้องครัวได้อย่างใจกว้าง เพื่อเตรียมอาหารให้กับมู่ชิงเกอ
หลังจากที่นางออกไป มั่วหยางจึงกล่าวเตือนว่า “คุณชาย ให้ข้าสืบความเป็นมาของหญิงสาวคนนี้หรือไม่”
“ไม่จำเป็น เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเท่านั้น” มู่ชิงเกอหมุนกริชในมือ พลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ
คืนแรกที่พักในเมืองลั่วรื่อ ถือว่าไม่เลว อย่างน้อยมู่ชิงเกอก็หลับสบาย หลังจากที่ตื่นมา ก็มีกลิ่นของต้นไม้จากผืนป่าลอยมาแตะจมูก
“เฮ้อ ทนผู้หญิงพวกนี้ไม่ไหวจริงๆ ทำเหมือนไม่เคยเจอผู้ชาย!” เสียงอันแฝงความไม่พอใจของฮวาเยวี่ยดังขึ้นจากนอกห้อง
ขณะที่นอนอยู่บนเตียง มู่ชิงเกอที่ลืมตาขึ้นขมวดคิ้วเบาๆ
เสียงของโย่วเหอก็ดังขึ้นเช่นกัน “ชู่ว เบาๆ หน่อย เดี๋ยวคุณชายตื่น”
ส่วนลึกของสายตามู่ชิงเกอมีความอบอุ่นเกิดขึ้น
นางราวกับเห็นภาพที่ฮวาเยวี่ยเอามือปิดปากและโย่วเหอกำลังส่ายหน้าอย่างเหลืออด
ที่ใหม่ แต่ยังมีคนคุ้นเคยอยู่เคียงข้าง ดีจริงๆ
มู่ชิงเกอผุดรอยยิ้มจางๆ ดึงผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง
เมื่อมีคนปรากฏตัวขึ้นตรงหลังม่าน ทำให้ฮวาเยวี่ยและโย่วเหอต่างก็รีบเดินเข้ามา ดึงหน้าม่านออก เผยให้เห็นท่าทางเกียจคร้านของมู่ชิงเกอที่เพิ่งตื่นนอน
“คุณชาย ฮวาเยวี่ยรบกวนท่านหรือเปล่า?” ใบหน้าของฮวาเยวี่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้า” มู่ชิงเกอพูดอย่างนิ่งเฉยและถามว่า “ผู้หญิงที่เจ้าพูดถึง มันเรื่องอันใดกัน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้โย่วเหอก็หัวเราะ ‘พรืด’ ฮวาเยวี่ยกลับทำปากจู๋ด้วยความทุกข์ใจ
“ให้ข้าพูดแล้วกัน ก็เพราะความน่าดึงดูดของคุณชาย ทำให้หญิงสาวทั้งเมืองลั่วรื่อต่างก็อยากเป็นนายหญิงของพวกข้า” โย่วเหอพูดพร้อมรอยยิ้ม
มู่ชิงเกอหรี่ตา พลางเอามือเท้าคาง
“คุณชาย ท่านไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงพวกนั้นมารอที่โรงเตี้ยมมู่ยี่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ราวกับกลัวท่านติดปีกและโบยบินหนีไป” ฮวาเยวี่ยพูดอย่างไม่ชอบใจ
มู่ชิงเกอกระตุกยิ้ม ยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาดึงทั้งสองนางเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด พลันยิ้มอย่างร้ายกาจ “แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่บอกไปล่ะ ว่าข้าไม่ขาดแคลนสาวใช้อุ่นเตียง”
หลังจากที่ถูกนางหัวเราะเยาะ ใบหน้าของโย่วเหอและ ฮวาเยวี่ยก็แดงกํ่าขึ้นมาในทันที
“ข้าน้อยไม่กล้าพูดหรอก หากพูดจริงๆ กลัวว่าจะไม่มีชีวิตออกจากเมืองลั่วรื่อ” โย,วเหอพูดอย่างขบขัน
ฮวาเยวี่ยกลับยื่นมือออกไปกอดแขนของมู่ชิงเกอเอาไว้ พลันบิดเอวไปมาและพูดว่า “กลัวอะไร มีคุณชายอยู่ทั้งคน ยังจะมีใครริบังอาจรังแกเราอีก”
“ฮวาเยวี่ยช่างเข้าใจหัวอกของข้าจริงๆ” มู่ชิงเกอยื่นมือออกไปแตะปลายจมูกของฮวาเยวี่ย พลันกวาดสายตาไปมองโย่วเหอ “โย่วเหอสำนึกผิดหริอยัง?”
โย่วเหอโน้มตัวลงอย่างจำยอมและพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “โย่วเหอผิดไปแล้ว”
“ดีมาก” มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง และปล่อยตัวทั้งสอง พลันลุกขึ้นยืน “ล้างหน้าให้ข้าได้แล้ว”
หลังจากที่ทั้งสองลงมือ ไม่นานมู่ชิงเกอก็ได้เดินออกจากห้องอย่างสดชื่น
เพิ่งจะเดินออกไป ทั้งสามก็พบกับเจ้าของโรงเตี้ยมฟ่งเหนียงระหว่างทางเดิน นางยังคงอยู่ในชุดขาวบริสุทธิ์ ใบหน้างดงามเฉิดฉัน
เมื่อเห็นทั้งสามคน นางก็ค่อยๆ เดินเข้ามาและโน้มตัวลง “คุณชาย ข้าได้เตรียมสำรับไว้ให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ อีกอย่างเหล่าหญิงสาวที่อยู่หน้า ประตูก็กลับไปหมดแล้ว ไม่มารบกวนท่านอีกเป็นแน่”
มู่ชิงเกอหรี่ตาลง พูดอย่างแฝงความนัยว่า “เจ้าช่างใจดี”
ฟ่งเหนียงก้มหน้าลง ผุดรอยยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก และไม่ได้พูดอะไรต่อ
มั่วหยางที่เดินมาจากด้านหลังตัวฟ่งเหนียง มองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะมารายงานต่อหน้ามู่ชิงเกอว่า “คุณชาย เสบียงที่จำเป็นทุกอย่างข้าน้อยได้เตรียมพร้อม หมดแล้ว พร้อมออกเดินทางได้ตลอดเวลา”
มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างไม่แสดงอาการอันใด กวาดสายตาผ่านฟ่งเหนียงและออกคำสั่งว่า “หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทางกันเลย”
หลังมื้ออาหาร เพราะความช่วยเหลือจากฟ่งเหนียง ทำให้มู่ชิงเกอและทุกคนหลบหลีกจากความคึกคักของเมืองลั่วรื่อได้อย่างง่ายดาย และเข้าสู่ผืนป่าลั่วรื่ออย่าง ไม่ทิ้งร่องรอย พวกเขาไม่ได้เดินทางโดยใช้ทางปลอดภัยที่ทั้งสองแคว้นสร้างขึ้น ทว่ากลับเลือกทางที่นักผจญภัยทั้งหลายใช้กัน
ระหว่างทาง ฮวาเยวี่ยถามถึงความรู้สึกที่มู่ชิงเกอมีต่อเมืองลั่วรื่อ
ท่าทางของฟ่งเหนียงผุดขึ้นในความคิดของนาง นางรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ได้ทำให้นางเกิดความสนใจเข้าแล้ว
เพราะรับปากกับอีกฝ่ายว่าจะช่วยตามหาเบาะแสของสามีของนาง หลังจากที่เข้าสู่ผืนป่าลั่วรื่อ มู่ชิงเกอกระจายองครักษ์เขี้ยวมังกรออกไป พลางเดินทางพลางตามหาเบาะแสของมู่ยี่ ช่างน่าเสียดายที่สิบวันมานี้ไม่ได้เบาะแสอะไรเลย
ผลลัพธ์เช่นนี้มู่ชิงเกอคาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้ว
หากหาตัวมู่ยี่ได้ง่ายถึงเพียงนี้ เหตุใดฟ่งเหนียงยังต้องรออยู่ในเมืองลั่วรื่อเป็นเวลาถึง 10 ปีเล่า?
ในวันนี้พวกเขาได้ถึงบริเวณตอนกลางของผืนป่าลั่วรื่อ เดินทางต่ออีกไม่นานก็จะเข้าสู่อาณาเขตแคว้นลี่
มองไปสุดสายตา เห็นชายแดนที่แบ่งเขตระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นลี่
หลายวันที่ผ่านมานี้ทั้งมู่ชิงเกอ ฮวาเยวี่ยและโย่วเหอได้สละรถม้าและเดินทางโดยการเดินเท้า อาชาเพลิงและรถม้าถูกมั่วหยางและองครักษ์เขี้ยวมังกรอีกสิบนายพาออกไปก่อน และสองวันก่อนหน้านี้ได้เข้าสู่เส้นทางที่ถูกสร้างขึ้น ในตอนนี้ได้เข้าสู่แคว้นลี่และรอพวกเขาอยู่ที่นั่น
องครักษ์เขี้ยวมังกรที่เหลือ ก็ตามมู่ชิงเกอออกไปผจญภัยภายในผืนป่าลั่วรื่อ
“คุณชาย หนทางข้างหน้าเราจะเข้าสู่อาณาเขตแคว้นลี่แล้ว” องครักษ์เขี้ยวมังกรยื่นถุงนํ้าและพูดกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยื่นมือออกไปรับถุงนํ้า พลางพยักหน้าเบาๆ
ผืนป่าลั่วรื่อไม่ได้เหมือนกับที่นางจินตนาการไว้ และอาจเป็นเพราะมีประสบการณ์จากการผจญภัยในเทือกเขาฉิน สำหรับนางและสำหรับองครักษ์เขี้ยวมังกรแล้ว ผืนป่าลั่วรื่อธรรมดาเกินไป
ระหว่างทาง เผชิญหน้ากับสัตว์ป่านานาชนิด สัตว์วิญญาณกลับน้อยมาก
แม้จะพบกับสัตว์ที่มีพลัง แต่ก็เป็นเพียงขั้นตํ่าอย่าง สายแดง สายส้ม และที่เก่งกาจที่สุดเห็นจะเป็นเพียงสายเหลืองขั้นกลางอย่างเสือเขาเดียว ในตอนนี้แก่นสมองของมันก็ได้วางนิ่งอยู่ในช่องว่างของมู่ชิงเกอแต่โดยดี
มู่ชิงเกอที่ผิดหวังเพราะผืนป่าลั่วรื่อและในขณะที่กำลังจะสั่งให้ทุกคนเร่งออกเดินทาง ก็ได้ยินเสียงร้องขอให้ช่วยอย่างกะหันทัน
องครักษ์เขี้ยวมังกรรีบเตรียมพร้อมในทันที มู่ชิงเกอเองก็วางถุงนํ้าในมือลง ค่อยๆ ยืนขึ้นจากก้อนหินใหญ่ที่นั่งอยู่