บทที่ 1236 ข้ารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ข้าอยากซื้อเลย
กู้ซีจิ่วไม่ยอมให้เขาดู “ไม่ได้ทำร้าย เพียงซัดกระบี่สั้นเล่มนั้นแตกหักไปแล้ว”
สุ้มเสียงเธอสบายๆ ยิ่งนัก ตี้ฝูอีถอนหายใจอย่างโล่งอก “กระบี่สั้นเล่มนั้นไม่นับว่าเป็นของดีอะไร กลับไปข้าจะตีให้เจ้าด้วยตัวเองเล่มหนึ่ง ดีกว่ากระบี่เล่มนั้นร้อยเท่าแน่นอน!”
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร
อันที่จริงบางครั้งกระบี่จะดีหรือจะแย่ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือความหมายของมันต่างหาก
กู้ซีจิ่วปราดเปรื่องเสมอมา เธอพอจะฝืนเข้าใจได้ว่าในสภานการณ์เช่นนั้น ตี้ฝูอีร้อนรนไปชั่วขณะ เธอจึงไม่คิดจะสงสัยอะไรเขามากมาย ถึงแม้เขากับเธอยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ก็ยากเย็นนัก เขาชอบตนมากแค่ไหน กู้ซีจิ่วยังคงกระจ่างแจ้งยิ่งนัก เพียงแต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ ทว่าหัวใจกลับมีถุงความขมขื่นใบหนึ่งโป่งพองขึ้นมา…
เพียงแต่เมื่อเทียบกับถุงความขมขื่นใบนี้แล้ว เธอใส่ใจอีกเรื่องหนึ่งมากกว่า
“ท่านเคยเป็นพี่เขยขององค์หญิงผู้นั้นหรือ?”
มือของตี้ฝูอีชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็มองเธอ “เจ้าใส่ใจเรื่องนี้หรือ?”
นี่ไม่ใช่คำพูดเหลวไหลสินะ!
กู้ซีจิ่วกล่าวอย่างตรงไปตรงมานัก “หากว่ามีคนผู้หนึ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้ ไม่รู้จักมักจี่กับท่าน แต่กลับเรียกข้าว่าพี่สะใภ้ ท่านจะใส่ใจไหมล่ะ?”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกเลย
เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องนี้…ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ข้าไม่ได้กลายเป็นพี่เขยของนางอย่างเป็นทางการ ข้ากับพี่สาวนางไม่ได้แต่งกัน…นั่นเป็นเพียงอุบัติเหตุอย่างหนึ่งเมื่อหลายพันปีก่อน”
“อุบัติเหตุ?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว
เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีมีความลำบากใจ ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ซีจิ่ว เรื่องนั้นข้าเคยรับปากผู้อื่นไว้ว่าจะไม่เอ่ยถึงอีก อีกทั้งพี่สาวของนางก็เสียไปหลายพันปีแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องหึงหวงเรื่องนางหรอก”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เธอไม่พูดไม่จา ตี้ฝูอีทาบมือบนมือเธอ “เอาล่ะ เด็กน้อย งานชุมนุมบุปผาของชาวเงือกที่นี่หนึ่งปีถึงจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง ที่นี่มีของดีมากมาย ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราจะได้มาเที่ยวสักรอบ จะพลาดไม่ได้นะ!”
ไม่พูดพรํ่าทำเพลงอันใดดึงเธอให้ลุกขึ้น “เดิมทีครานี้ข้าคิดจะพาเจ้ามาซื้อของบางอย่าง”
กู้ซีจิ่วค่อนข้างหมดความสนใจแล้ว “ข้ารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ข้าอยากซื้อเลย”
ตี้ฝูอีมองเธออย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม “ของที่ข้าจะซื้อคือข้าวของบางส่วนในงานวิวาห์ แบบนี้ยังไม่อยากซื้ออยู่หรือเปล่า?”
กู้ซีจิ่วใจเต้นทันที
งานวิวาห์?
เร็วขนาดนี้เชียว?!
เธอเอ่ยประโยคหนึ่งออกไปตามสัญชาตญาณ “ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะแต่งให้ท่าน…”
พวกเขาถึงขั้นที่ยังไม่ได้หมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ!
ตี้ฝูอีพลันออกแรงดึงเธอเข้าสู่อ้อมอก ไม่พูดไม่จาอะไรจูบลงไปทันที!
จูบจนหัวใจเธอเต้นกระหนํ่า ยามที่สมองวิงเวียนมึนงง เขาจึงเอ่ยออกมาเนิบๆ ประโยคหนึ่ง “ลองพูดว่าเจ้าจะไม่แต่งให้ข้าดูอีกทีสิ?!”
กลิ่นอายของเขาโอบคลุมเธอไว้ จุมพิตเร่าร้อนเมื่อครูทำให้สมองเธอลัดวงจรไปชั่วขณะ ดังนั้นเธอจึงเอ่ยออกมาอย่างไม่กลัวตายอีกครั้ง “ก็ข้าไม่อยากแต่งให้ท่านนี่…”
ประโยคที่กล่าวออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำนี้กล่าวยังไม่จบ ตี้ฝูอีก็วางเธอลงทันที เธอตกใจไปครู่หนึ่ง นึกว่าจะล้มลงบนพื้นหินอ่อนที่เย็นเฉียบเสียแล้ว คาดไม่ถึงว่ายามที่เอนกายลงไปกลับพบว่าใต่ร่างมีเบาะอ่อนนุ่มปานก้อนเมฆอยู่
ตี้ฝูอีทับลงบนร่างเธอ มือข้างหนึ่งกุมมือทั้งสองของเธอไว้ กดไว้เหนือศีรษะเธอ ส่วนมืออีกข้างก็แกะสาบเสื้อออก รอยยิ้มตรงมุมปากค่อนข้างชั่วร้าย “เด็กน้อย เจ้ากำลังท้าทายขีดจำกัดของข้า…”
เขางับมุมปากของเธอเบาๆ พ่นลมหายใจร้อนผ่าว แววตาอันตราย “เด็กน้อย เจ้าอยากให้ข้าครอบครองเจ้าที่นี่งั้นหรือ?”
พละกำลังของชายหญิงเดิมทีก็ต่างกันอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับกู้ซีจิ่วที่พลังวิญญาณก็สู้เขาไม่ได้ เมื่อเขาควบคุมเธอไว้ใต้ร่างได้เบ็ดเสร็จแล้ว เธอก็ผลักเขาออกไปไม่ได้ เว้นแต่ว่าเธอจะใช้วิธีลอบโจมตีเขา