บทที่ 296
ตำแหน่งฮูหยินเอกของเจ้าข้าไม่ต้องการ!
เมื่อร่ำรวยมีวาสนา สตรีที่ชมชอบเขาก็เพิ่มมากขึ้น เหลิ่งเซียงอวี้ บุตรสาวขุนนางเล็กๆ ในเมืองหลวงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เหลิ่งเซียงอวี้นับว่าเป็นองค์หญิงน้อยของครอบครัว สวยสง่าเรียบร้อย คนละขั้วกับหลัวซิงหลาน
เหลิ่งเซียงอวี้ถูกโจรดักปลันระหว่างเดินหางไปไหว้พระที่วัด หลัวซิงหลานบังเอิญช่วยนางไว้ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจึงพานางมารักษาที่บ้านตน ทำให้นางมีโอกาสรู้จักกับกู้เซี่ยเทียน…
กู้เซี่ยเทียนต้านทานความอ่อนหวานของเหลิ่งเซียงอวี๋ไม่ไหว ในที่สุดก็ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับหลัวซิงหลานว่าจะมีภรรยาเพียงคนเดียว ซุกเหลิ่งเซียงอวี้ไว้นอกบ้าน เลี้ยงดูไว้อย่างลับๆ
ยามนั้นหลัวซิงหลานมีบุตรชายหนึ่งคน นามกู้เทียนนั่ว พอกู้เทียนนั่วอายุได้ห้าขวบ เหลิ่งเซียงอวี้ก็ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง เหลิ่งเซียงอวี้จงใจทำให้ข่าวคราวรั่วไหลไปถึงหูหลัวซิงหลาน
เมื่อเรื่องแดงขึ้น กู้เซี่ยเทียนจึงยอมรับออกไปตรงๆ และต้องการให้ความชอบธรรมแก่บุตรชายคนเล็ก จึงรับเหลิ่งเซียงอวี้เข้าบ้านโดยไม่คำนึงถึงหลัวซิงหลานที่พยายามต่อต้านอย่างสุดชีวิต
ยามนั้นกู้เซี่ยเทียนได้เป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว บุญหนักศักดิ์ใหญ่ ในใจของเขา การให้สตรีชาวยุทธ์ผู้หนึ่งครองตำแหน่งฮูหยินเอกก็นับว่าให้เกียรตินางมากแล้ว เพื่อมอบบทเรียนให้หลัวซิงหลานที่ก่อการ ทะเลาะวิวาทกับเขาใหญ่โต ให้นางรู้สถานการณ์บ้าง เขาเลยจงใจหมางเมินนาง พำนักที่เรือนของเหลิ่งเซียงอวี้ทุกคืน ไม่เหลียวแลหลัวซิงหลาน ไม่ก้าวเข้าเรือนนางเลยสักครั้งตลอดระยะเวลาสามปี แม้แต่กู้เทียนนั่วผู้เป็นบุตรชายก็เย็นชาใส่ไม่น้อย
เหลิ่งเซียงอวี้เสแสร้งเก่งยิ่ง ไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบหลัวซิงหลาน แทบจะสามเวลาหลังอาหาร พูดคุยอย่างนุ่มนวลละมุนละไม
หลัวซิงหลานนั้นอารมณ์ร้อน นางตกอยู่ภายใต้ความขุ่นเคือง จึงปิดประตูไม่พบปะเหลิ่งเซียงอวี้บ้าง เยาะเย้ยถากถางบ้าง ไม่เคยไว้หน้านางเลย
ยามนั้นเหลิ่งเซียงอวี้ให้กำเนิดบุตรชายหญิงอย่างละหนึ่ง บุตรชายหญิงล้วนเป็นอัจฉริยะพลังวิญญาณ
หลังจากทดสอบผลพบว่ากู้เทียนฉิงเป็นอัจฉริยะด้านพลังวิญญาณ เหลิ่งเซียงอวี้ก็ภาคภูมิใจยิ่ง จงใจไปหาหลัวซิงหลานที่นั่นเพื่อโอ้อวด
แน่นอนว่านางโอ้อวดอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล แต่วาจาแฝงเจตนาเย้ยหยันเหน็บแนมเอาไว้ในที่สุดก็ยั่วยุให้หลัวซิงหลานระเบิดโทสะสำเร็จ ยื่นมือออกไปคิดจะตบตีนางด้วยมือตน หากมิใช่ผู้คุ้มกัน มากมายพยามขัดขวางไว้สุดชีวิต คาดว่าครั้งนั้นเหลิ่งเซียงอวี้คงน่วมไปแล้ว
เหลิ่งเซียงอวี้วางหูตาไว้ทั่วจวนแม่ทัพ ทุกฉากทุกเหตุการณ์นี้ย่อมไปถึงหูกู้เซี่ยเทียน กู้เซี่ยเทียนรีบร้อนไปยังที่เกิดเหตุ เงื้อมือตบหลัวซิงหลานฉาดหนึ่ง ฝ่ามือนี้โหดเหี้ยมยิ่ง ตบหลัวซิงหลานล้มกลิ้งไปหลายตลบ โลหิตไหลออกจากมุมปาก
หลังจากกู้เซี่ยเทียนตบไปแล้วก็สำนึกเสียใจอยู่บ้าง แต่อยู่ต่อหน้าบรรดาบ่าวไพร่ข้ารับใช้ เขาไม่อยากเข้าไปช่วยพยุงนางให้เสียหน้า…
เขาไม่มีวันลืมสายตาที่หลัวชิงหลานมองเขาในขณะที่ลุกขึ้นมาเองอย่างสั่นเทา เหน็บหนาวดุจหิมะเย็นชาปานนํ้าแข็ง
เขาไม่เคยเห็นแววตาเช่นนี้บนใบหน้านางเลย สายตาเช่นนี้ของนางทำให้เขารู้สึกว้าวุ่นอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไร ทำได้เพียงตวาดใส่นางอย่างแข็งนอกอ่อนใน “นี่เป็นเจ้ารนหาที่เอง! นับจากนี้ไม่อนุญาตให้เจ้าหึงหวงริษยาอีก หนนี้แค่มอบบทเรียนให้เจ้า ถ้าครั้งหน้ายังเอาแต่ใจก่อเรื่องวุ่นวายอีก ข้าจะถอดถอนตำแหน่งฮูหยินเอกของเจ้าเสีย!”
หลังจากเขากล่าววาจาข่มขู่เต็มที่เช่นนี้ออกไป ยังนึกว่าในที่สุดก็สยบนางได้แล้ว ขณะที่คิดจะพาเหลิ่งเซียงอวี้จากไป นึกไม่ถึงว่าหลัวซิงหลานที่อยู่ด้านหลังจะเอ่ยอย่างเยือกเย็น “แม่ทัพกู้ พวกเราแยกทางกันเถิด ตำแหน่งฮูหยินเอกของเจ้าข้าไม่ต้องการ!”
ในยุคสมัยนี้ ส่วนมากเป็นฝ่ายชายที่หย่าฝ่ายหญิง การแยกทาง นับเป็นการหย่าร้างที่เสมอภาค แทบถือได้ว่าเป็นฝ่ายหญิงที่หย่าฝ่ายชาย…
กู้เซี่ยเทียนกลับนึกว่านางแค่พูดออกมาด้วยความโกรธ รู้สึกว่านางหยามเกียรติแม่ทัพใหญ่ผู้น่าเกรงขามเช่นเขา เขาไม่ใส่ใจหลัวซิงหลาน เพียงสั่งการสาวใช้ที่อยู่รอบๆ อย่างเย็นชาว่า “ฮูหยินเป็นโรคทางใจแล้ว! ส่งนางกลับเรือน!”
จากนั้นพาเหลิ่งเซียงอวี้สาวเท้าจากไป