บทที่ 836 นางรนหาที่เอง
ค่ายกลเบื้องล่างเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แล้ว หุ่นชุดเขียวเหล่านั้นอยากหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว ทำได้เพียงร่วงลงสู่ลาวาแล้วระเหยเป็นไอไปในชั่วพริบตา
ค่ายกลนี้เป็นผลงานของกู้ซีจิ่วด้วยครึ่งหนึ่ง อย่างเช่นพื้นดินที่ปริแยกนั้นก็เป็นเธอวางกับระเบิดไว้ให้ระเบิดออก…
พื้นดินนั้นทรุดตัวลงเรื่อยๆ ยามที่ฝูงชนพากันจากมาก็ไม่ได้พาอวิ๋นชิงหลัวขึ้นมาด้วย ยามนี้นางกรีดร้องอยู่ด้านล่างอย่างหมดท่า หลบหนีอย่างจนตรอก
กู่ฉานโม่ยังพะวงถึงฐานะสานุศิษย์สวรรค์ของนาง อดไม่ได้ที่จะมองไปทางตี้ฝูอี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ช่วยนางขึ้นมาดีหรือไม่? ดีร้ายอย่างไรนางก็เป็นสานุศิษย์สวรรค์จะตายไม่ได้…”
ตี้ฝูอีตอบอย่างไร้อารมณ์ “ไม่ต้องช่วย นี่เป็นนางรนหาที่เอง”
“แต่ว่านางเป็นสานุศิษย์สวรรค์… ”
“ฐานะสานุศิษย์สวรรค์ มิใช่ป้ายทองเว้นโทษตาย เมื่อทำชั่ว เมื่อก่อความผิดมหันต์ ต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามสมควร!” นํ้าเสียงตี้ฝูอีเฉยชาขึ้นเรื่อยๆ
“รับทราบ!” กู่ฉานโม่โล่งอก
ดีจริงๆ ที่แท้สานุศิษย์สวรรค์ก็ต้องเคารพกฏเกณฑ์ของโลกนี้เช่นกัน ไม่อาจทำตามใจได้ทุกอย่าง…
กู้ซีจิ่วที่ฟังอยู่ด้านข้างพยายามข่มใจไว้สุดท้ายก็ข่มไว้ไม่ไหว “ข้าได้ยินท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บอกว่าสานุศิษย์สวรรค์ไม่อาจตายได้ หากว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตำหนิลงมาจะทำอย่างไร?”
ตี้ฝูอีตอบเพียงประโยคเดียว “ข้าจะรับไว้เอง”
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครพูดอะไรอีก ฝูงชนมองดูอวิ๋นชิงหลัวที่หนีไม่พ้น สุดท้ายก็ร่วงสู่ลาวานั้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องหายลับไป ขณะที่กำลังร่วงลงสู่ลาวาดวงตาทั้งคู่ของนางพลันมองมาที่ตี้ฝูอี “ตี้ฝูอี ข้าจะกลับมาหาท่านให้…”
ถ้อยคำส่วนหลังนางยังไม่ได้พูดออกมาก็ร่วงสู่ลาวาแล้ว
ฝูงชนเงียบสงัด
ประโยคสุดท้ายของอวิ๋นชิงหลัวโหยหวนอย่างยิ่ง ราวกับคำสาปแช่งของวิญญาณร้าย ถึงแม้รอบข้างจะมีเสียงกรีดร้องสับสนวุ่นวายก็ยังคงกังวานชัดเจน
ฝูงชนมองดูตี้ฝูอีเงียบๆ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ไม่แสดงอารมณ์อื่นใด สีหน้าเฉยชาอยู่ตลอด
ใต้หล้านี้สตรีที่ชมชอบตี้ฝูอีมีมากมาย หลงละเมอถึงเขาสารพัดก็มีไม่น้อย แต่ที่ลุ่มหลงคลั่งไคล้เช่นอวิ๋นชิงหลัวนี้กลับไม่เคยมีมาก่อน
สายตาของฝูงชนวกมาที่ร่างกู้ซีจิ่ว ระยะนี้นางกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้านอกออกในพร้อมกัน แสดงความรักหวานแหววสารพัด ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่ริษยาแทบตายแล้ว
เนื่องจากละครฉากนี้มีเรื่องเกี่ยวพันมากเกินไป ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่ทราบว่าเธอกับตี้ฝูอีแค่เล่นละครกัน มีแค่ตัวต้นเรื่องทั้งสามเท่านั้นที่ทราบ แม้แต่กู่ฉานโม่ก็ถูกปิดหูปิดตาด้วย
ดังนั้นประโยคสุดท้ายนั้นที่อวิ๋นชิงหลัวตะโกนออกมา เมื่อฝูงชนมองตี้ฝูอีเสร็จ ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่กู้ซีจิ่ว อยากเห็นว่านางจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ผลคือพบว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ข้างกายหลงซือเย่ ทั้งสองใกล้ชิดกันยิ่ง กำลังหารืออะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น
“หุ่นเชิดชุดม่วงล่ะ?” กู้ซีจิ่วยังพะวงถึงมัน
“คงตกลงไปแล้วเหมือนกัน” สายตาของหลงซือเย่ก็เฉียบแหลมยิ่งนักเช่นกัน
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก “นึกไม่ถึงว่าเมื่อกี้เขายังไม่ตาย แถมยังกระโดดขึ้นมาบงการผีดิบอีก…ดาบนั้นของเขาเป็นดาบประหารเซียนไม่ใช่เหรอ? ทำไมถูกแทงหัวใจแล้วยังไม่ตายอีกล่ะ?”
อันที่จริงหลงซือเย่ก็กังขาเช่นกัน แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพราะอะไร จึงนิ่งไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “บางทีอาจเป็นเพราะเขาเป็นหุ่นเชิดล่ะมั้ง? หุ่นเชิด เดิมทีก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แค่ถูกคนควบคุมเท่านั้น หุ่นเชิดบางชนิดไม่เกรงกลัวการถูกฟัน ไม่รู้จักความเจ็บปวด…”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “แต่นั่นคือดาบประหารเซียนนะ บอกไว้ว่าเป็นการทำลายดวงวิญญาณโดยเฉพาะไม่ใช่เหรอ? หรือว่าดาบนั่นเป็นของปลอม?”
หลงซือเย่สั่นศีรษะ “ดาบเป็นของจริง สามารถประหตัตประหารดวงวิญญาณเซียนได้จริงๆ ดังนั้นหลังจากฉันแทงเข้าไปวิญญาณของเขาก็ถูกแทงตายแล้ว”