Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 139

ตอนที่ 139 ระวังภัยแม้ในสถานการณ์สงบ เลื่อนตำแหน่งร่ำรวย

“ริมขอบแผ่นหยกวงนี้มีรอยเลือด หวังทง เป็นคราบเลือดที่เปื้อนตอนนั้นหรือ?”

ฮ่องเต้ว่านลี่ถือหยกวงนั้นราวกับของมีค่ามากมาย พลิกดูไปมา ยังเอาส่องกับแสงอาทิตย์ เห็นรอยเลือดนี่แล้วก็ถามอย่างตื่นเต้น

จีนสมัยโบราณให้คุณค่ากับหยก ในวังหยกมีค่าระดับสุดยอดอันใดเล่าจะไม่มี หยกวงของหวังทงสองชิ้นนี้เป็นของที่พวกถานเจียงค้นมาได้จากอกเสื้อของหวังตั๋วที่กำลังหลบหนี ให้เซวียจานเยี่ยที่ชำนาญเรื่องหยกดูแล้ว บอกว่าหยกสองวงนี้รวมกันมีค่าถึง 50 กว่าตำลึงเงินเลยทีเดียว

เอามาให้ฮ่องเต้ว่านลี่กับหลี่หู่โถว เดิมก็แค่มอบให้เป็นของกำนัลเล่นๆ คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะเห็นเป็นของมีค่าเช่นนี้ได้ หวังทงเขยิบเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ยิ้มเฝื่อนๆ กล่าวว่า

“ก็แค่ลายสีแดงของหินหยกเท่านั้น แม้ว่าจะเปื้อนเลือดมาก็คงเช็ดสะอาดไปแล้ว!”

พวกครูฝึกเคาะสัญญาณดังขึ้น การฝึกครึ่งหลังกำลังจะเริ่มขึ้น หลี่หู่โถวเก็บหยกเข้าในอกเสื้อ วิ่งไปอย่างกระฉับกระเฉง หวังทงกำลังจะเดินไป กลับถูกฮ่องเต้ว่านลี่ดึงไว้ ฮ่องเต้น้อยกระซิบขึ้นว่า

“สังหารหัวหน้าโจรได้ ก็ควรนับว่ามีความดีความชอบใหญ่ เราจะปูนบำเหน็จให้เจ้า ให้เจ้าเลื่อนตำแหน่ง!!”

แม้ว่าสีหน้าฮ่องเต้แต่ทำหน้าเคร่งขรึม แต่ใบหน้ายังคงเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่มิด การต่อสู้ที่หวังทงเล่าเมื่อครู่ และยังมอบของตัวแทนแห่งชัยชนะให้อีก ทำให้พระองค์รู้สึกดีใจอย่างมาก

“ขอบพระทัยฝ่าบาท…”

“ในลานฝึกไม่กล่าวเช่นนี้ หากให้คนอื่นเห็นก็จะไม่สนุกแล้ว รีบไปรวมตัวกันเถอะ ครูฝึกเร่งยิกๆ อยู่นั่น!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่โบกมืออย่างไม่ให้ความสนใจ

การฝึกช่วงบ่ายก็เป็นดังปกติ และยังมีพักเป็นระยะ หลี่หู่โถวกับฮ่องเต้ว่านลี่จะลากหวังทงหลบมุมทุกครั้งที่การฝึกจบลง ถามนั่นถามนี่อย่างกระตือรือร้นตลอดบ่ายไม่หยุด

****

การฝึกช่วงบ่ายยังคงแบ่งกลุ่มสู้กัน เด็กยืนเรียงหน้ากระดาน ในมือถือไม้พลองยาวที่อนุญาตให้ทำแค่ท่ามาตรฐาน ทั้งการยก ป้องกันและแทง การฝึกเช่นนี้ยากลำบากอย่างมาก หวังทงไปลำบากอยู่ข้างนอกมาหลายวัน ร่างกายก็เหนื่อยล้าแทบไม่ไหว ลานฝึกบ่ายนี้กลับฝึกหนักไม่เบา ไม่ปล่อยให้แอบขี้เกียจแม้แต่น้อย

คนที่ผ่านความเป็นความตายจึงได้เข้าใจถึงความหมายแท้จริงของคำกล่าวที่ว่า หลั่งเหงื่อมากหน่อยในยามปกติ เพื่อหลั่งโลหิตน้อยหน่อยในยามออกศึก….

แต่อาหารเย็นไม่อาจกินพร้อมกันกับพวกเด็กๆ เพราะที่บ้านมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ กลับไปถึงบ้าน ก็เห็นเสี่ยวไช่ขันทีติดตามโจวอี้รออยู่ที่นั่นแล้ว

“ใต้เท้าหวัง โจวกวกงให้ข้าน้อยนำความมาแจ้งท่าน คนในรายชื่อจับไว้หมดแล้ว หากไม่มีธุระอื่น ประตูวังจะปิดแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน!”

แค่คำพูดเพียงเท่านี้แล้วเสี่ยวไช่ก็รีบขอตัวกลับไป

หัวหน้าสำนักไตรสุริยันฟ้าดินก็คือหวังตั๋ว ถูกหวังทงสังหารด้วยตนเอง การสอบปากคำระหว่างทางก็รู้เช่นนี้ กำลังหลักของสำนักไตรสุริยันฟ้าดินอยู่ที่วัดฮุ่นหยวน สร้างสถานการณ์เพื่อหลอกเอาเงินทอง ค้าขายมนุษย์ กลับเป็นพวกในยุทธภพเป็นคนทำ รายชื่อและร่องรอยของคนพวกนี้ก็มีคนสารภาพออกมาอีกฉบับ

ตามหลักแล้วการที่สำนักไตรสุริยันฟ้าดินถูกทะลายรังลง ตนเองควรจะคลายความกังวลถึงจะถูก แต่หวังทงรู้ว่ายังมีสิ่งที่ตนยังล้วงไปไม่ถึงเป็นแน่ การร่วมกันออกปราบรังโจรของกองกำลังมังกร สำนักบูรพาและองครักษ์เสื้อแพรสามหน่วยงานในครั้งนี้ได้รับผลสำเร็จยิ่งใหญ่ รอเวลาปูนบำเหน็จความดีความชอบ ย่อมประกาศให้ใต้หล้ารับรู้กันอย่างแน่นอน

ถึงตอนนั้นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังกลับล้วงไปไม่ถึง แต่ตนเองกลับถูกเผยโฉมออกมา นี่ไม่นับว่าข่าวดีอะไร คิดไปพลางกำลังค่อยๆ กลืนข้าวอยู่นั่นเอง ด้านนอกก็มีคนตะโกนดังมา หลี่ว์วั่นไฉแห่งศาลซุ่นเทียนขอพบ

สิ่งที่กังวลนั้นต่างจากหวังทง หลี่ว์วั่นไฉเดินเข้ามาถึง ก็ประสานมือแสดงความยินดีด้วยสีหน้าเบิกบาน

“น้องหวัง ครั้งนี้สังหารหวังตั๋วได้ จัดเก็บตัวหัวหน้าได้ น้องหวังย่อมได้ความดีความชอบใหญ่ เกรงว่าการเลื่อนตำแหน่งคงอยู่ไม่ไกลแล้ว!”

“พี่หลี่ วาจานี้คนอื่นพูดก็แล้วไป แต่พอพี่พูดเช่นนี้ เกรงว่าจัดการหวังตั๋วลง แต่เบื้องหลังเป็นใครสำคัญกว่า หลบอยู่ในที่ๆ มองไม่เห็นก็ยิ่งยุ่งยากมากขึ้น!”

หลี่ว์วั่นไฉยิ้มนั่งลง ได้ยินหวังทงกล่าวจบก็เอ่ยขึ้นว่า

“วันนี้เจ้าหน้าที่และมือปราบศาลซุ่นเทียนส่งกำลังออกไปแล้ว ไปรอจับพรรคพวกโจรตามคำให้การของพวกมัน วางแหทอดรอรวบตัว น้องหวังก็ควรจะวางใจได้แล้วถึงจะถูก ไยต้องคิดมากถึงเพียงนี้?”

หวังทงวางตะเกียบในมือลง เช็ดปากก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ไม่ว่าสำนักไตรสุริยันฟ้าดินยังมีสมุนเหลืออีกเท่าไร วัดฮุ่นหยวนถูกทำงานลงก็เหมือนทะลายกำลังหลัก ย่อมไม่อาจจะกระพือลมเรียกคลื่นอันใดได้อีก แต่หากยังมีความสามารถกระพือลมเรียกคลื่นขึ้นมาได้อีกล่ะก็ เจ้าตัวพิสดารนี่เกรงว่าน่าจะก่อการกบฏนานแล้ว คงไม่เพียงแต่สร้างสถานการณ์เพื่อหลอกเอาเงินทอง ค้าขายมนุษย์อะไรเล็กๆ พวกนี้เล่นๆ กันในเมืองหลวงหรอก”

หลี่ว์วั่นไฉกางพัดจีบออกพัดเบาๆ ฟังการวิเคราะห์ของหวังทง หวังทงยังกล่าวต่ออีกว่า

“ผู้อยู่เบื้องหลังสำนักไตรสุริยันถูกบีบให้ส่งสำนักไตรสุริยันออกมาเพื่อรักษาตัวรอดไว้ก่อน เห็นชัดว่าเราได้สืบถึงแกนสำคัญของพวกมันแล้ว พวกมันยอมตัดไฟแต่ต้นลม จากนี้ไปก็ย่อมแอบซ่อนตัวอยู่ให้ลึกยิ่งขึ้น ปฏิบัติการก็ย่อมระมัดระวังรอบคอบยิ่งขึ้น เราก็ไม่ต้องเป็นกังวลถึงจะถูกต้องสิ”

หลี่ว์วั่นไฉยิ้มพยักหน้า หวังทงเคาะโต๊ะเบาๆ ถอนหายใจกล่าวว่า

“ไม่กังวลก็ส่วนไม่กังวล แต่ตัดรากไม่อาจไม่ถอนโคน ไม่รู้ว่าพวกมันจะก่อการกันอีกตอนไหน ใจก็รู้สึกไม่สงบ!”

“น้องหวังคิดมาไปแล้ว ตามความเห็นข้า คนผู้นั้นมีแผลลึกรอความตายแล้ว หากก่อเรื่องอีกจะมีพวกร่วมก่อการอะไรอีก เป็นไปได้ว่าอาจจะหายตัวไปไร้ร่องรอยไม่ปรากฏตัวอีกเลยก็ได้”

ได้ฟังคำของหลี่ว์วั่นไฉ หวังทงก็ส่ายหน้าหยิบตะเกียบขึ้นมากินต่อ เขากับหลี่ว์วั่นไฉสนิทสนมกันมาก ไม่ต้องวางตัวสุภาพจอมปลอมอะไรใส่กันอีก

กินไปสองสามคำ หวังทงก็พบว่าใบหน้าของหลี่ว์วั่นไฉมีแววยินดีปรีดา ราวกับว่าไม่ใช่เพราะเกิดจากการกำจัดสำนักไตรสุริยันอะไรนี่ หวังทงวันนี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างที่สุด จึงไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่สัพยอกเล่นไปว่า

“พี่หลี่ว์วันนี้ดูท่าทางมีความสุข มีเรื่องมงคลอะไรหรือ?”

หลี่ว์วั่นไฉกำลังรอคำนี้อยู่ พัดในมือหุบลง หัวเราะกล่าวว่า

“มีความยินดีบอกให้เจ้ารู้ว่า วันนี้กรมขุนนางมีหนังสือมา เลื่อนให้ข้าเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมและยังควบตำแหน่งเจ้าพนักงานสืบคดีอีกด้วย!”

ศาลซุ่นเทียนมีผู้ช่วยเจ้ากรมห้าคน ล้วนเป็นขุนนางระดับ 6 เจ้าพนักงานสืบคดีหลี่ว์วั่นไฉก็จะมีตำแหน่งขุนนางระดับ 6 การเลื่อนตำแหน่งเช่นนี้และยังให้ควบงานตำแหน่งเดิมที่มีอำนาจสั่งการแท้จริงไว้ด้วย เป็นเรื่องมหามงคลจริงๆ

หวังทงยิ้มประสานมือลุกขึ้น แสดงความยินดีว่า

“พี่หลี่ว์เห็นข้าเป็นคนนอกไปแล้ว เรื่องมหามงคลเช่นนี้ควรจะบอกตั้งนานแล้วถึงจะถูก คืนนี้ข้าจะได้จัดเลี้ยงฉลองให้ที่หอรุ่งเรือง!!”

หลี่ว์วั่นไฉเดิมคิดจะถ่อมตัวเล็กน้อย แต่ความยินดีไม่อาจเก็บไว้ได้ ได้แต่โบกพัดในมือไปมากล่าวว่า

“น้องหวังสิเห็นข้าเป็นคนอื่น นี่เป็นเพราะพระบัญชาให้สืบคดีโจรร้ายสำนักไตรสุริยัน เจ้าและข้าที่ร่วมสืบคดีกันในวันนั้นก็ล้วนกลายเป็นผู้มองการณ์ไกล ความดีความชอบระดับนี้ก็ย่อมได้รับผลตอบแทน เจ้ากรมหวงเซินและรองเจ้ากรมเฉินจื้อจงเมื่อก่อนยังขัดคอกับพวกเรา ตอนนี้รู้สึกว่าพี่หลี่ว์ของเจ้ามีกงกงในวังให้การสนับสนุน ก็ได้แต่เอาตำแหน่งมาอุดปากไว้เท่านั้น”

กล่าวถึงตรงนี้ หลี่ว์วั่นไฉก็ปรับสีหน้า ลุกขึ้นยืนท่าทีเป็นทางการ คารวะหวังทงหนึ่งครั้ง เอ่ยขึ้นจริงจังว่า

“น้องหวัง ข้าหลี่ว์วั่นไฉเติบโตมาจากบัณฑิตระดับจวี่เหริน สามารถเป็นเจ้าพนักงานสืบคดีระดับ 6 ก็ด้วยบรรพชนคุ้มครอง วันนี้ยังได้ก้าวหน้าไปอีกก้าว เจ้ากรมเจอข้ายังต้องเกรงใจ ไม่ต้องพูดถึงเงินทองไหลมาเทมา เรื่องพวกนี้เมื่อก่อนแม้คิดก็ยังไม่กล้าคิด สามารถมีวาสนาเงินทองอย่างวันนี้ได้ ล้วนอาศัยน้องหวังทั้งนั้น น้องหวัง วันหน้าหากมีเรื่องใดจะสั่งการ ขอเพียงเอ่ยปาก ข้าหลี่ว์วั่นไฉแม้ต้องแหลกเป็นผุยผงก็จะไม่ปฏิเสธแม้แต่น้อย!!”

เสียงดังกังวานจบลง และยังใช้ท่าทีขุนนางผู้น้อยต่อขุนนางผู้ใหญ่ ผลักเก้าอี้เตรียมจะคุกเข่า หวังทงรีบเข้าไปพยุงไว้ ยิ้มกล่าวว่า

“พี่หลี่ว์ เราครอบครัวเดียวกัน คำนับเช่นนี้ดูประหลาดอยู่ มิใช่ทำให้ข้าอายุสั้นหรอกหรือ!”

แรงหวังทงไม่น้อย ออกแรงพยุงไว้ หลี่ว์วั่นไฉไม่อาจคุกเข่าลงไปได้ หลี่ว์วั่นไฉดูแล้วกำยำผิวเข้ม แต่ก็เป็นบัณฑิต แรงจึงสู้ไม่ได้

หลี่ว์วั่นไฉขอบตาแดงก่ำ เสียงตอนพูดก็เริ่มแหบพร่า กล่าวโพล่งขึ้นว่า

“น้องหวัง เจ้าว่าเราครอบครัวเดียวกัน ข้าจะจำคำเจ้าไว้ วันหน้าต้องบุกน้ำลุยไฟ จะไม่รอช้าเลย!”

หลี่ว์วั่นไฉอยู่ในวงการราชการมานานปี วาจานี้จริงหรือไม่ไว้ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ท่าทีเช่นนี้ก็ดูจริงอยู่ ติดตามหวังทงจนได้มาซึ่งวาสนาเงินทอง ก็เพียงพอที่จะทำให้คนยอมติดสอยห้อยตามอย่างยินยอมทั้งกายและใจ หลี่ว์วั่นไฉตอนนี้แสดงท่าทีชัดเจนออกมา ก็หมายความว่าทุกคนลงเรือลำเดียวกัน และหลี่ว์วั่นไฉยกให้หวังทงเป็นหัวหน้า

หลี่ว์วั่นไฉอายุ 30 กว่า ปกติก็เป็นคนมีหน้ามีตา หวังทงแต่ไรทุกคนก็มองเป็นผู้ใหญ่ ความซาบซึ้งกินใจเมื่อครู่ก็รู้สึกเสียกิริยาไป สองฝ่ายต่างเก้กัง ในห้องเงียบลง

หวังทงได้แต่ก้มหน้าก้มตากินอาหารให้หมด หลี่ว์วั่นไฉก็ยกน้ำชาเย็นขึ้นดื่ม สะบัดพัดไปมา หวังทงกินหมด ก็เช็ดมือกล่าวว่า

“พี่หลี่ว์เมื่อครู่พี่บอกว่าพวกเจ้าหน้าที่และมือปราบไปรอจับพวกสำนักไตรสุริยันที่เหลือหรือ?”

หลี่ว์วั่นไฉพยักหน้า หวังทงเอ่ยต่อว่า

“สร้างสถานการณ์เพื่อหลอกเอาเงินทอง ค้าขายมนุษย์และยังสมคบคิดลัทธิมารก่อการเช่นนั้น หากถูกจับได้ก็ย่อมมีโทษหนัก ไม่รู้ว่านอกเมืองในเมืองจะมีกิจการร้านค้ามากมายเท่าไรที่พัวพันเกี่ยวข้องไปด้วย พี่หลี่ว์ มิสู้เราฉวยโอกาสนี้ นำเสนอป้ายสงบสุขให้ทั่วเมือง ซื้อป้ายไปติด จากวันนี้จ่ายเงิน ก็จัดการแค่ตัวหัวหน้า ไม่จัดการผู้เกี่ยวข้องอื่น หากไม่ซื้อป้ายไป ก็จัดการให้หมด พี่หลี่ว์รับผิดชอบงานตัดสินฟ้องร้องพวกนี้ ไม่ยากกระมัง?”

หลี่ว์วั่นไฉครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ยากก็ไม่ยาก ก็แค่โปรยหว่านเงินไปทั้งข้างบนข้างล่าง แต่เรื่องนี้เกรงว่าจะสะดุดตาเกินไป…”

“ในเมื่อข้างกายเรายังมีภัยแอบซ่อนอยู่ เช่นนั้นหากคิดจะไร้กังวล วิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องสร้างตนเองให้เข้มแข็ง เรายิ่งเข้มแข็ง อีกฝ่ายก็ยิ่งไม่กล้าแตะต้องพวกเรา การจัดระเบียบทั้งหมดเช่นนี้ ในเมืองหลวงทุกหย่อมหญ้ามีอะไรแม้เพียงสายลมแตะยอดหญ้าก็ปิดบังพวกเราไม่ได้ ไม่ว่างานขององครักษ์เสื้อแพรข้า หรืองานของศาลซุ่นเทียน ล้วนได้ประโยชน์มาก!”

*****

ในเวลา ณ บ้านเล็กหลังหนึ่งในเมืองหลวงที่ลับตาห่างไกลผู้คน

“ทุกคนห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ สงบใจรอ รอให้คลื่นลมสงบแล้วค่อยดำเนินตามแผน แม้ต้องรออีกปีสองปีก็ตาม หาไม่ทุกอย่างมิต้องสูญเปล่าหรอกหรือ!!”

น้ำเสียงสงบนิ่งสั่นเครือเล็กน้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!