Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 165

ตอนที่ 165 ประมาณกำลังตน ความนิ่งสยบเคลื่อนไหว

บิดามารดาจากไป บุตรธิดาก็ย่อมต้องไว้ทุกข์ที่บ้าน ที่รับราชการอยู่ก็มีธรรมเนียม ‘การไว้ทุกข์’ ต้องพักอาศัยที่บ้านเกิด 27 เดือนจึงจะกลับมารับราชการต่อได้ เรียกว่า ‘กลับคืนตำแหน่ง’

แต่ไม่ว่าตำแหน่งไหนก็ไม่อาจว่างได้ถึงสองปี พอว่างก็ย่อมเปลี่ยนคนมาแทน เรื่องใต้หล้าใดๆ ล้วนยอมให้กันได้ เว้นแต่ตำแหน่งขุนนางเท่านั้นที่ไม่อาจยอมให้กันได้ พอขึ้นไปได้ก็ไม่อยากลงจากตำแหน่ง นอกจากเหตุการณ์พิเศษจริงๆ มิเช่นนั้นขุนนางปกติก็ยากที่จะกลับคืนตำแหน่งเดิม มักจะต้องย้ายไปตำแหน่งอื่น

ตำแหน่งอื่นๆ ยังพอว่า หากตำแหน่งมหาอำมาตย์ที่เป็นงานอันดับหนึ่งสูงสุดในใต้หล้านี้ นำเสนอความเห็นลงในฎีกาก่อนทูลเกล้าถวายฮ่องเต้ ก็คือมหาอำมาตย์ เป็นขุนนางสายบุ๋นอันดับหนึ่งในการช่วยราชกิจปกครองราชวงศ์หมิง ตำแหน่งนี้หากว่างลงจะทำเช่นไร?

ประเทศไม่อาจขาดผู้ปกครองแม้สักวัน เช่นกัน ประเทศย่อมไม่อาจขาดมหาอำมาตย์แม้สักวัน จางจวีเจิ้งหากต้องไว้ทุกข์ ตำแหน่งนี้ย่อมต้องมีคนเข้าแทนที่ แม้นกล่าวว่าขุนนางรัชสมัยจักรพรรดิองค์ใดก็องค์นั้น แต่หากมหาอำมาตย์เปลี่ยน ทุกอย่างย่อมไม่เหมือนเดิม

จะไม่ขอกล่าวถึงเรื่องการจัดการตรวจสอบที่ดินทำนาและการเตรียมดำเนินนโยบายจัดเก็บภาษีที่นาและเรียกแรงงานคนของจางจวีเจิ้งจะเป็นเช่นไรกัน?

จางจวีเจิ้งดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ครองราชย์ บรรดาขุนนางต่างฟังคำสั่งของจางจวีเจิ้ง คนสนิทและลูกศิษย์ของเขาไม่รู้ว่ามีมากมายเท่าไร มหาอำมาตย์คนใหม่จะรับคนเหล่านี้ไว้ได้ไหม จะหาตำแหน่งใดเปลี่ยนมาให้ลูกศิษย์ของตนหรือไม่?

ในปลายรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งและต้นรัชสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง มหาขันทีเฝิงเป่าแห่งสำนักส่วนพระองค์เป็นเพียงแต่ขันทีในห้องทรงงานสังกัดสำนักส่วนพระองค์เท่านั้น ตอนนั้นมหาอำมาตย์กาวก่งกดเขาไว้

และเป็นเพราะได้ร่วมมือกับจางจวีเจิ้ง จึงได้มีอำนาจมากในสำนักส่วนพระงอค์และสำนักอาชาหลวง เป็นผู้มีสถานะอันดับหนึ่งในวังฝ่ายในเวลานี้

หากไม่ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับจางจวีเจิ้ง ในวังที่ต่างก็จับจ้องตำแหน่งนี้ เฝิงเป่าหรือจะสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคงราวกับภูผาไท่ซานได้เช่นนี้กัน?

หากไม่มีจางจวีเจิ้ง และเฝิงเป่าแห่งสำนักส่วนพระองค์ยังคงอยู่ แต่อำนาจกลับต้องอ่อนแอลงเพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางในราชสำนัก และหากไปรวมกับอำนาจอีกสายในวังที่เข้มแข็งขึ้นมา สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร

ในวังตอนนี้มหาขันทีอันดับสองก็คือจางเฉิง หากเฝิงเป่าล้มลงหรืออ่อนกำลังลง จางเฉิงมีโอกาสก้าวขึ้สู่อำนาจมากที่สุด เช่นนั้นหวังทงที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับจางเฉิงก็ย่อมได้รับประโยชน์มากมายเป็นแน่

การเมืองในยามนี้มีจางจวีเจิ้งและเฝิงเป่าควบคุมนอกวังและในวัง ฮ่องเต้ว่านลี่เป็นเพียงแค่เครื่องประดับเท่านั้น หากสองคนนี้ถูกลดทอนกำลังหรือจากไป ฮ่องเต้น้อยที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นก็ย่อมทรงบารมียิ่งใหญ่ขึ้น พระอำนาจของฮ่องเต้ว่านลี่เพิ่มขึ้น เช่นนี้ตนเองที่ใกล้ชิดฮ่องเต้ว่านลี่ ก็ย่อมได้ดีตามไปด้วยอย่างมากมายมหาศาล

ฮ่องเต้น้อยเคยรับสั่งให้ตนได้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการหรือรองบัญชาการองครักษ์เสื้อทอง ถูกบรรดาขุนนางผู้ใหญ่รั้งเอาไว้ หากจางจวีเจิ้งต้องลาไปไว้ทุกข์ เฝิงเป่าอำนาจอ่อนแอลง ตำแหน่งนายกองร้อยของคนจะสูงขึ้นอีกนิดไหม?

ความสำคัญของข่าวนี้ที่กระจ่างวาบขึ้นมาในห้วงความคิด หวังทงก็เริ่มคิดใคร่ครวญว่าจะทำมาซึ่งสิ่งใด หากคิดไม่คิดมา เหมือนว่าตนเองมีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย

แต่หวังทงก็มิได้วางใจนัก เขารู้ว่าตนยังคิดการณ์ไม่รอบด้านเป็นแน่ เพราะเรื่องการเมืองพวกนี้ ตนเองเพิ่งได้สัมผัสเท่านั้น ในนั้นยังมีความซับซ้อนและเล่ห์อุบาย ห่างไกลจากประสบการณ์ที่ได้จากการอ่านและที่เคยพบเห็นจะมาตัดสินได้

*****

งานเลี้ยงที่หอรุ่งเรืองยังคงไม่เลิกรา หวังทงออกจากงานเลี้ยงไปกลางคันเป็นการกระทำที่เสียมารยาทยิ่ง แต่เขาสถานะใดกัน คหบดีย่อมไม่กล้าจากไป ได้แต่รอคอยเขากลับมา

กลับมาที่โต๊ะอาหาร เห็นหวังทงเหม่อลอยอยู่บ้าง คหบดีผู้นั้นก็คิดอย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมายิ่ง ดื่มไปอีกจอกก็เอ่ยขึ้นว่า

“ค่าใช้จ่ายอย่างเช่นค่าแรงช่างเหล็ก ค่าเหล็ก ค่าถ่านไม้ ยังมีค่าอุปกรณ์อื่นๆ ข้าน้อยจ่ายไปทั้งหมด 300 ตำลึง ใต้เท้าช่วยเหลือข้าน้อยยุติเรื่องยุ่งยากลงได้ ข้าน้อยไม่มีอะไรจะขอบคุณ ก็ขายให้ใต้เท้าถูกๆ ละกัน ร้านตีเหล็กและพ่อบ้านที่เป็นเหมือนญาติสนิทข้าน้อยอีกสองคน ใต้เท้ามอบให้ข้าน้อยแค่ 500 ก็พอ นี่ก็ถือว่าการเจรจาซื้อขายสำเร็จแล้วนะขอรับ”

หวังทงอึ้งไป หันไปมองหวังซื่อที่ดื่มสุราอยู่ข้างๆ เอ่ยว่า

“หัวหน้าหวัง หลังงานเลี้ยงนี่ ทุกคนก็ล้วนเป็นคนคุ้นกัน วันหน้ามีโอกาสได้ติดต่อกันอีก ก็ต้องช่วยเหลือให้มาก หากมีปัญหายุ่งยากใด ก็มาหาข้าได้!”

อย่าเห็นว่าสถานะหวังทงที่ตอนนี้ยังคงเป็นแค่นายกองร้อยเหมือนเดิม แต่ในสายตาของคหบดีผู้นี้และหวังซื่อนั้น เป็นดังเช่นฟ้าเบื้องบน ได้ยินคำสัญญาที่ให้ไว้ หวังซื้อก็รีบขยิบตาให้คหบดีผู้นั้น คหบดีผู้นั้นก็ตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ รีบคารวะสุราถึงสามจอกติดกัน

“ร้านตีเหล็กเจ้ามีเตาหลอม 4 เตา ช่างตีชำนาญงาน 6 คน ยังมีคนงานอีก 20 กว่าคน เครื่องมือการเกษตรในโรงบ้านละแวกเมืองทงโจวสามส่วนล้วนซื้อจากเจ้า การค้าส่วนตัวพวกนั้นไม่ต้องกล่าวถึง หนึ่งปีมานี้ ของกำนัลอย่างน้อยก็ต้อง 50 – 100 ตำลึง หากกิจการดีย่อมได้มากกว่า ไยจึงวางมือเสียล่ะ ท่านยอมสละได้หรือ?”

หวังทงรู้ราคาของร้านตีเหล็กดี ก่อนปิดคดีนี้ให้ก็ฝากคนไปสอบถามมาแล้ว ร้านตีเหล็กนี้ทั้งคนและอุปกรณ์ ขาย 800 ตำลึงก็ยังขายได้ แต่คหบดีผู้นี้ต้องการเพียงแค่ 500 ตำลึง ในความเป็นจริงก็เหมือนมอบให้เปล่าๆ แม้ว่าปิดคดีนี้ให้ แต่ราคาของขวัญตอบแทนนี้เกรงว่าจะมากเกินไปสักหน่อย ดังนั้นจึงได้ถามเช่นนี้

คหบดีผู้นี้ดื่มสุราเก่งพอตัว แต่เมื่อครู่ดื่มติดกันไปสามจอกเร็วไป ฤทธิ์สุราแรงอยู่ ใบหน้าแดงก่ำยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง ข้าน้อยตอนนั้นที่ทำการค้าก็คิดจะหาทางหากำไรมากอีกหน่อย การทำผิดครั้งนี้ ลูกเมียร้องไห้กันจ้าละหวั่น ตัวข้าเองก็หวาดกลัวอย่างมาก จึงได้เข้าใจแล้วว่า ตนเองแม้แต่ตำแหน่งอำนาจใดล้วนไม่มี แต่ใจกล้าเกินไป วันหน้า ข้าจักตนประมาณกำลังตน มีความสามารถเท่าใดก็หาเงินเท่านั้น ไม่ควรฝืนไป ครั้งนี้ด้วยบารมีใต้เท้า คดีจึงยุติลงได้ อีกสองสามวันข้าน้อยก็จะย้ายไปที่เมืองท่าเทียนจินแล้ว…”

หวังทงที่แต่ไรไม่ค่อยได้ดื่มสุราสักเท่าไรก็ยกจอกสุราขึ้นจิบไปหนึ่งคำ เป็นสุราดีตามคาด เข้าปากก็หอมหวาน ไหลลงคอไปก็เหมือนเพลิงน้อยที่ค่อยๆ อุ่นวาบลงไป

มีความสามารถเท่าไรก็ทำการเท่านั้น วาจาคหบดีผู้นี้ทำให้หวังทงคิดตก บิดาของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งจากไป ไว้ทุกข์หรือไม่ ตำแหน่งระดับสูงเป็นหน้าเป็นตาแห่งราชวงศ์หมิงเช่นนี้จะปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่หรือไม่ ตนเองจะได้ประโยชน์จากการครั้งนี้หรือไม่ จะได้ประโยชน์จากข่าวที่ได้มานี้หรือไม่ ความคิดเช่นนี้ช่างไร้สาระน่าขันเสียจริง

ขุนนางชั้นสูงพวกนั้นล้วนแก่งแย่งกัน แต่ละฝ่ายแย่งชิงกัน ตนเองตอนนี้ไม่มีคุณสมบัติอันใดจะไปเข้าร่วม แม้แต่คุณสมบัติเข้าไปชมก็ไม่มี หากไม่ระวังก็คงต้องร่างแหลกสลายเป็นผุยผงเป็นแน่

วิธีการรับมือเดียวก็คือทำสิ่งที่ตนทำได้ เท่านั้นจริงๆ

*******

“พี่โจว เมื่อคืนข้าได้ข่าวมาจากที่แห่งหนึ่งว่า บิดาท่านจางได้จากไปเมื่อวันที่ 26 เดือนเก้า!”

ทุกวันตอนเช้า โจวอี้มักจะมานั่งที่โถงบ้านหวังทง ดื่มน้ำชาและกินของว่าง คุยสัพเพเหระกัน แม้ว่าไม่มีเรื่องใด ดังนั้นจึงกลายเป็นความเคยชินในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว

หลังเมาสุราวันั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็สนิทกันมากขึ้น ตอนได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนั้น โจวอี้เพิ่งกินขนมไหว้พระจันทร์ไส้หมูรมควันไปได้คำหนึ่ง พอกลืนลงไปก็วาบขึ้นในใจ กำลังจะกล่าวแต่กลับติดคอ ตาเบิกกว้างใช้มือกดที่คอ เป็นนานกว่าจะหลุด แต่ก็ไม่สนใจจะดื่มน้ำตาม ถามเสียงแหบว่า

“ท่านจางไหน จางซื่อเหวยหรือจางจวีเจิ้ง…”

“เป็นจางจวีเจิ้ง!”

“เรื่องดี เรื่องดี น้องหวังเจ้ารู้ได้อย่างไร?”

โจวอี้ลุกขึ้นเดินสองสามก้าว พอหยุดก็ถามประโยคนี้ หวังทงลังเลครู่หนึ่ง หากเผยออกไปว่าแม่นางซ่งเป็นผู้บอกกล่าวแก่เขา แต่เหมือนโจวอี้ไม่ได้คิดจะรู้คำตอบ เพราะพอสวมหมวกก็รีบกล่าวอำลาขอตัวจากไปทันที

หวังทงมิได้ออกไปส่ง จิบน้ำชาผ่อนคลายอยู่ในห้องและกินขนมจนหมด และยังจุดธูปหน้าป้ายวิญญาณบิดา เขาได้ทำในสิ่งที่เขาทำได้แล้ว ที่เหลือก็ได้แต่เงียบรอการเปลี่ยนแปลงแล้ว

*****

สำนักส่วนพระองค์เป็นศูนย์กลางของการทำงาน ทั้งปีไม่มีเวลาว่าง ตอนนี้การจัดการตรวจสอบที่ดินทำนา กระทบต่อการปูนบำเหน็จและลงโทษบรรดาขุนนาง การจัดการปรับการจัดเก็บภาษีในแต่ละมณฑล และฎีกาต่างๆ ก็มากกว่าปกติ บรรดาเจ้าหน้าที่ขันทีในสำนักส่วนพระองค์ก็ย่อมยุ่งวุ่นวายกว่าปกติ

แต่ละระดับต้องให้สำนักส่วนพระองค์อ่านก่อนจะกาชาดสีแดงแยกประเภท ที่สำคัญก็จะอยู่ที่ห้องทำงานของเฝิงเป่าและจางเฉิง ที่เหลือก็จะให้ขันทีในห้องทรงงานรับไปจัดการ หากมีอะไรที่ตัดสินใจไม่ได้ หรือรู้สึกว่าสำคัญมาก ก็จะรายงานในทันที

สองข้างของมหาขันทีจางเฉิงกองเพนินไปด้วยฎีกา จางเฉิงรับฎีกามาจัดการไม่หยุด วาดวงกลมลงไป เขียนไปสองสามคำ มีบ้างที่มองดูแวบเดียวก็สั่งให้ขันทีน้อยที่รอรับคำสั่งด้วยเสียงเบาๆ ว่า

“ส่งให้เฝิงกงกง…”

ขณะกำลังยุ่งอยู่นั้น ขันทีน้องในชุดสีครามก็รีบร้อนเข้ามาวางฎีกาเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะของจางเฉิง ที่ส่งมาโดยเฉพาะเช่นนี้มักจะเป็นเรื่องเร่งด่วน ขันทีน้อยยังดูเหมือนเด็กน้อย จางเฉิงจำได้ เป็นเจ้าจินเลี่ยงที่โจวอี้จัดให้เรียนอยู่ในสำนักศึกษาฝ่ายใน พอจัดการตนเองจนสะอาดเข้าวังมาได้ไม่กี่เดือน ก็พามาโขกศีรษะคำนับตน ว่ากันว่าเป็นคนใกล้ชิดของหวังทง

มีความเคลื่อนไหวเช่นนี้ แต่จางเฉิงกลับแต่เงยหน้ามองก่อนจะอ่านฎีกาต่อ อ่านไปได้อีกสองฉบับ ก็หยิบฉบับนั้นขึ้นอ่าน อ่านแล้วก็กาชาดลงไป จากนั้นก็วางไว้อีกด้าน

อ่านไปครู่หนึ่ง จางเฉิงก็กล่าวสองสามคำก่อนจะลุกออกไป คนย่อมมียามเร่งร้อนปลดทุกข์ ขันทียิ่งไม่สะดวก หลายคนก็ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก

พอจางเฉิงออกมาจากสำนักส่วนพระองค์ ก็เร่งฝีเท้ามาทางหนึ่ง สำนักอาชาหลวงทางฝั่งนี้มีคลังเก็บธงคำสั่ง โจวอี้รออยู่หน้าประตู พอจางเฉิงมาถึง โจวอี้ก็คำนับอย่างนอบน้อมเชิญเข้าด้านใน

“ทำอะไรกัน เจ้าคิดว่าส่งเจ้าเด็กนั่นมาส่งข่าว คนอื่นดูไม่ออกหรือไง?”

พอนั่งลง จางเฉิงก็สั่งสอนอย่างไม่เกรงใจ โจวอี้รีบคำนับพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า รีบกล่าวว่า

“กะทันหันหาคนไว้ใจได้ไม่ได้เลย เรื่องเร่งด่วน ก็เลยลากเจ้าจินเลี่ยงออกมา…ท่านพ่อบุญธรรม ลูกได้ยินข่าวมาจากข้างนอกว่า บิดาจางจวีเจิ้งป่วยจากไปเมื่อวันที่ 26 เดือนเก้าแล้ว”

ตัวจางเฉิงกระตุกวูบหนึ่ง จากนั้นก็เป็นปกติ เขาไม่ได้กล่าวอันใด โจวอี้ที่ปกตินิ่งๆ ก็รู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง เขยิบเข้าไปใกล้เอ่ยว่า

“ท่านพ่อบุญธรรม หรือให้ลูกหาคน เตรียมพร้อมทั้งนอกและใน”

จางเฉิงโบกมือ เงียบไปนานก่อนจะเอ่ยว่า

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น…”

เห็นโจวอี้จะเอ่ยต่อ ก็อดกำชับเสียงเรียบไม่ได้ว่า

“แม้แต่พวกเรายังรู้กัน หรือว่าเฝิงเป่าจะไม่รู้กัน?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!