ตอนที่ 176 ฝุ่นสงบลงดิน ใช่สงบสุข
“…ด้วยอดีตฮ่องเต้รับสั่งให้ช่วยเหลือเราที่ยังเยาว์ชันษา…เรามีท่านช่วยดูแลทุกสิ่ง ไยจึงจะจากเราไป…”
วันที่ 15 เดือนสิบเอ็ด ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการยับยั้ง พอเห็นพระดำรัสในราชโองการ ใครก็รู้ว่าอำนาจแน่นอนแล้ว
แต่ภายใต้อำนาจที่แน่นอนนี้ ยังมีเสียงที่ไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง ในวงการขุนนางมักมีบัณทิตที่เรียนมากจนสมองเสื่อมไปแล้ว หรือพวกที่เบื้องหลังยอมเสี่ยงเพื่ออาจารย์หรือพวกของตนยังขอดื้อดึงให้ถึงที่สุด
อู๋จงหังขุนนางทำหน้าที่ประพันธ์และแก้ไขตำราในสำนักปราชญ์หลวงฮั่นหลินย่วนตำหนิจางจวีเจิ้งว่าการยับยั้งไม่ไว้ทุกข์นั้นขัดต่อ ‘หลักคำสอนจารีตบรรพชน’ นี่เป็นเรื่องที่คุยกันทั่วไปในหมู่บัณทิตอาวุโส แต่การออกมาตำหนิของขุนนางหลายคนทำให้รุนแรงขึ้น เจ้าย่งเสียนขุนนางฝ่ายพิสูจน์อักษรก็ยื่นฎีกาว่า ไม่อาจเอาเรื่องในรัชกาลก่อนมาเพื่อยับยั้งจางจวีเจิ้งให้กระทำการเช่นนี้ กล่าวว่า ‘แก้ประวัติศาสตร์เพื่อคนผู้เดียว ไม่ต้องเอ่ยว่าเหลวไหลเพียงใด ย่อมเป็นที่หัวเราะเยาะทั่วหล้า’
จากนั้นก็ยิ่งรุนแรง อ้ายมู่ขุนนางจากกรมอาญาและเจ้ากรมเสิ่นซือเสี้ยวต่างเข้าชื่อร้องเรียนตำหนิว่า จางจวีเจิ้งยับยั้งการไว้ทุกข์เช่นนี้ ก็คือ ‘การละโมบตำแหน่งจนลืมคุณบิดา’
โจวหยวนเปียวบัณฑิตระดับจิ้นซื่อยังวิจารณ์จางจวีเจิ้งอย่างเฉียบคมว่าปกติมักกล่าวว่าตนเองนั้นเป็น ‘คนเหนือคน’ แต่ ‘การไว้ทุกข์เรื่องปกติทั่วไปเช่นนี้ไม่อาจปฏิบัติได้’ ก็คือด่าว่าเขาไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉาน
วันที่ 16 เดือนสิบเอ็ด จางจวีเจิ้งก็กลับไปทำงานต่อที่สำนักคณะเสนาบดีใหญ่ ฎีกาพวกนี้ถูกสำนักส่วนพระองค์นำส่งมาที่นี่ทั้งหมด พออ่านฎีกาทั้งหมด มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งก็โกรธมาก
อู๋จงหังและเจ้าย่งเสียนเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อที่จางจวีเจิ้งสอบรับเข้ามาในรัชสมัยหลงชิ่งที่ 5 อ้ายมู่ก็เป็นคนบ้านเกิดเดียวกันกับจางจวีเจิ้ง ปกติจางจวีเจิ้งก็เห็นว่าเป็นพรรคพวกใกล้ชิดกับตนเอง คิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์ที่กระจ่างแจ้งเช่นนี้ กลับเป็นคนใกล้ชิดที่ออกมาร้องเพลงคนละทำนอง ไปคนละทาง ความโกรธนี้หากลองตรึกตรองย่อมรู้ได้เอง
ส่วนเรื่องการลงโทษพวกเขาเหล่านั้น หลังจากจางจวีเจิ้งอ่านฎีกาตำหนิจบลงก็ตัดสินใจทันที อู๋จงหังและเจ้าย่งเสียนโดนโบยไปคนละ 60 ไม้ อ้ายมู่และเสิ่นซือเสี้ยวคนละ 80 ไม้ และคนที่กล่าวได้รุนแรงที่สุดอย่างโจวหยวนเปียวโดนไปถึง 160 ไม้
ความโกรธของมหาอำมาตย์ทำให้พวกเจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์ตัวเล็กๆ ยิ่งลงแรงมากเป็นพิเศษ หลายคนโดนโบยกลับไป ไม่เพียงแต่ลุกไม่ขึ้น โจวหยวนเปียวถึงขั้นแทบสิ้นชีวิต
แต่การจัดการเช่นนี้ยังไม่จบเท่านี้ อู่จงหังและเจ้าย่งเสียนถูกปลดจากตำแหน่ง อ้ายมู่ เสิ่นซือเสี้ยวและโจวหยวนเปียวถูกส่งไปประจำการที่ค่ายทหารในเมืองต่างๆ กัน
การปลดจากตำแหน่งที่อดทนตรากตรำร่ำเรียนมาเป็นสิบปี ทุกอย่างพังลงในวันเดียว และยังถูกส่งไปยังที่เหล่านั้นก็ยิ่งน่าเศร้า ล้วนเป็นชายแดนที่หนาวเหน็บและยากลำบาก ปกติยังต้องออกสู้รบประปรายกับพวกทหารเผ่ามองโกลและพวกโจรร้าย อยู่ที่นั่น ไม่ต้องพูดถึงว่าจะลำบากเพียงใด เพราะแม้แต่ชีวิตก็อาจไม่สามารถรักษาไว้ได้
การสั่งการเช่นนี้ในราชวงศ์หมิงไม่มีมาร่วม 20 ปีแล้ว โอรสสวรรค์เคยลงโทษขุนนางด้วยวิธีการนี้ แต่มหาอำมาตย์เป็นผู้สั่งการเองนี้กลับเพิ่งเคยเห็น
แต่ทว่า วันที่ 15 เดือนสิบเอ็ด หลังจากฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการยับยั้ง มีเพียงห้าคนออกมาคัดค้าน ที่เหลือเอาแต่ปิดปากเงียบ
“พวกจิตใจไม่สงบนิ่ง พวกขุนนางชั่วในราชสำนัก ใครกล้าออกหน้าขอร้องแทน ก็ให้เหมาเป็นพวกเดียวกัน จัดการตรวจสอบให้หมด”
วันที่ 17 เดือนสิบเอ็ดวันนั้น มีข่าวลือทั่วในวงการขุนนางเมืองหลวงว่า มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งกล่าวมาแต่ประโยคดังกล่าวนี้ จากนั้นก็เกิดเรื่องมากมายที่พิสูจน์ได้ถึงวาจานี้ คนที่ออกหน้าขอร้องแทน แม้ว่าเป็นเพียงขุนนางที่รู้สึกเห็นใจ ก็จะถูกลดตำแหน่งบ้าง ปลดตำแหน่งบ้าง หรือไม่ก็สรรหาโทษผิดเล็กน้อยให้บ้าง
ไม่นาน วงการขุนนางในเมืองหลวงก็สงบลง วงการขุนนางใต้หล้าก็สงบลง ทุกคนได้เห็นแล้วว่าจางจวีเจิ้งมีอำนาจระดับใด มีบารมีระดับใด จากนี้ไปวาจาของมหาอำมาตย์ย่อมราวกับราชโองการฮ่องเต้ ถึงขั้นที่ว่าอาจมากกว่าด้วยซ้ำไป
เรื่องการไว้ทุกข์นี้ หลายคนที่ลงมือวางแผนกันก่อนล้วนถูกจัดการไปหมดสิ้น การกระทำล้วนกลายเป็นเรื่องน่าขันไปสิ้น ถึงตอนนี้ จึงได้มีคนรู้สึกตัวขึ้นมาว่า นี่เป็นหลุมพรางของจางจวีเจิ้งและเฝิงเป่า
ฝุ่นตลบลงพื้นสิ้นแล้ว ขุนนางระดับสองขึ้นไป ต่างก็ดีใจที่เลือกข้างถูก คนที่เอาแต่นิ่งมองไม่กล่าวอันใดก็ใจไม่ดี คนที่มีใจอย่างอื่นก็รู้ว่าควรทำตัวเช่นไรแล้ว
ตำแหน่งของทุกคนมาถึงระดับนี้ได้ หลายเรื่องล้วนไม่จำเป็นต้องกระทำให้กระจ่าง เสนาบดีกรมปกครองจางฮั่น เสนาบดีกรมพิธีการว่านซื่อเหอและคนที่ร่วมวงยื่นฎีกาคัดค้าน ต่างออกมากล่าวว่าตนเองอายุมาก สุขภาพอ่อนแอ ขอพระราชทานพระราชานุญาตให้ออกจากราชการ ไม่ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ยอมหรือไม่ แต่คณะเสนาบดีและสำนักส่วนพระองค์ก็ไม่มีท่าทีจะยับยั้งอันใด
ดังนั้นประสิทธิภาพของพวกขุนนางในราชสำนักหมิงก็ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น วันที่สองที่จางฮั่นและว่านซื่อเหอ ถวายฎีกา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงมีพระราชานุญาตให้ทั้งสองออกจากตำแหน่ง กลับบ้านเกิดได้
ตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองและตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการจึงว่างลง หนึ่งนั้นเป็นหัวหน้าหกกรม หนึ่งนั้นเป็นตำแหน่งสูงส่งยิ่ง แต่ในวงการขุนนางกลับไม่มีอะไรเคลื่อนไหวรีบร้อน ทุกคนรู้ว่าคนที่ขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ แน่นอน ย่อมไม่เหนือความคาดหมาย รองเจ้ากรมซ้ายกรมปกครองหลี่โย่วจือเลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมปกครอง เซินสือหังเสนาบดีกรมอาญาได้เลื่อนไปเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ คนอื่นๆ ที่ร่วมยื่นฎีกามาด้วยล้วนได้เลื่อนตำแหน่ง ผลประโยชน์ไม่น้อย
บางทีอาจมีคลื่นลมหลบซ่อนอยู่ แต่ภายนอกก็ไม่มีคลื่นลมอะไรใหญ่โตนัก ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่รู้เรื่องมากนักที่จะเข้าใจได้ คนทั่วไปแค่มองก็รู้ว่าราชบัณทิตในคณะเสนาบดีใหญ่และขุนนางทั้งหมดในหกกรมกองล้วนเป็นคนของจางจวีเจิ้งแล้ว
*******
“ท่านจางบอกว่าเราปรีชาสามารถ ตัดสินใจได้เฉียบขาด หลายวันนี้ฎีกามามากมาย วาจาล้วนเคารพนอบน้อมมาก แม้แต่เสด็จแม่กับเฝิงต้าปั้นก็ชมว่าเราโตขึ้นมาก รู้จักและเข้าใจในสถานการณ์”
ในเดือนสิบเอ็ด หลายวันที่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้มาที่ลานฝึกหู่เวย ตอนนี้อากาศหนาวแล้ว เด็กๆ ตอนเรียนก็ไม่ค่อยได้ร่วมวงคุยเฮฮากันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว หากไม่รวมตัวกันเคลื่อนไหววิ่งเล่นกันอยู่ข้างนอก ก็จะสวมเครื่องป้องกันแล้วก็ถือไม้พลองทั้งยาวและสั้นสู้กัน ตอนนี้ทุกวันก็จะสอนการนำทัพออกศึก วิชาที่สอนรับมือศัตรูก็ยิ่งมากขึ้น กิจกรรมของเด็กๆ ไม่ได้มากมายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อวี๋ต้าโหยวกล่าวชัดเจนว่า ความสามารถมาจากการฝึกฝน วันหน้าคิดจะมีโอกาสรอดชีวิตในสนามรบให้มากอีกส่วน ก็ต้องฝึกฝนทุกวันโดยไม่หยุดพัก
กิจกรรมยามว่างของเด็กๆ ช่วงพักก็เหมือนเดิม แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ที่มาร่วมฝึกที่ลานฝึกปกติ ช่วงเรียนและช่วงพักก็จะลากหวังทงไปคุยด้วย
ฮ่องเต้น้อยมิได้ทรงยินดีกับเรื่องการยับยั้งไว้ทุกข์นี้ แต่กลับมีเรื่องในพระทัยมากมาย กล่าวว่าจางจวีเจิ้ง เฝิงเป่าและไทเฮาทั้งสามชมเชย แต่สีพระพักตร์นั้นกลับทรงรู้สึกน่าเบื่อยิ่ง
ห้องเรียนมีก่อไฟให้ความอุ่นระหว่างกำแพง ยามเรียนหรือพัก ไม่ให้เด็กๆ อยู่ในห้องกัน หวังทงกับว่านลี่เขยิบไปใกล้ประตู มองเด็กๆ ข้างนอกเล่นกันไปก็คุยกันไป
“หวังทง หากเราครั้งนี้ไม่มีเอ่ยยับยั้ง จะได้รับผลเช่นไร?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้น ทำหวังทงลำบากใจ แต่ก็ต้องกัดฟันตอบไปอย่างเสียไม่ได้ว่า
“หากฝ่าบาทไม่สนใจ ไม่สนพระทัยบรรดาฎีกาที่ทูลเกล้าขึ้นมา ถึงตอนสุดท้ายล่ะก็?”
“เสด็จแม่และเฝิงต้าปั้นก็ต้องมากล่อมเราเป็นแน่…”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสตอบให้จบประโยคเอง หวังทงคลายมือที่กำแน่นออก ใช้น้ำเสียงที่สงบนิ่งที่สุดถามว่า
“ฝ่าบาทรงต้านทานไหวไหม?”
สายพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่จับจ้องตามหลี่หู่โถว ตอบอย่างล่องลอยว่า
“เสด็จแม่ก็จะอ้างบรรพชนมากดดันเรา เฝิงต้าปั้นก็จะกล่าวอ้างหลักการต่างๆ เราก็ย่อมต้านทานไม่ไหว”
“หากฝ่าบาทถูกบีบให้ยอมรับในตอนนั้น ย่อมทำให้ความเป็นอาจารย์และศิษย์ระหว่างฝ่าบาทกับท่านจางต้องห่างเหิน ถึงตอนนั้นสถานการณ์จะเป็นเช่นไร แน่นอนย่อมอึดอัดยิ่ง”
ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ ตรัสสุรเสียงแผ่วเบาว่า
“ตอนนี้แล้วไง ท่านจางก็เหมือนเคารพนบนอบเรามากว่าเมื่อก่อน ในการประชุมขุนนาง บรรดาขุนนางที่ออกมายื่นฎีกายังต้องลอบมองสีหน้าท่านจางก่อน…”
“ฝ่าบาท อย่าได้ทรงตำหนิที่กระหม่อมทูลมากความ รออีกหน่อย สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนแปลง”
ฮ่องเต้ว่านลี่มิได้พยักหน้า วาจาต่อมาของหวังทงก็มิได้กล่าวต่อ แต่มองภาพรวมแล้ว มหาอำมาตย์จางกำลังได้รับการสนับสนุนจากแต่ละฝ่ายทั้งในและนอกวัง หากฮ่องเต้ว่าลี่ยืนยันที่จะให้ท่านจางไปไว้ทุกข์แล้วละก็ ตำแหน่งฮ่องเต้ไม่คงอาจจะรักษาไว้ได้ วาจาล่วงเกินไปเช่นนี้ ไม่กล่าวออกมาดีกว่า
“เจ้าออกความคิดให้เราครั้งนี้ ทำให้เราไม่ต้องตกที่นั่งลำบาก เสด็จแม่หลายปีไม่ค่อยได้ชมเรายังชมเลย!”
หลังจากความเงียบอึดอัด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยิ้มออกตรัสขึ้นมา หวังทงก้มตัวลงเล็กน้อย กล่าวขอบพระทัยว่า
“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้ว เรื่องนี้ เดิมกระหม่อมก็ควรพยายามอยู่แล้ว”
ได้ฟังวาจาหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็พยักหน้า ตรัสอย่างหนักแน่นว่า
“หวังทงเจ้าไม่เหมือนพวกอายุมากพวกนั้น เจ้าภักดีต่อเราอย่างจริงใจ หู่โถวก็ดีกับเราจากใจ เราสามคนค่อยเป็นค่อยไป ถึงตอนนั้นค่อยให้ใต้หล้าได้ประจักษ์”
หวังทงก้มหน้าลง แสดงว่ารับรับสั่ง ฮ่องเต้น้อยตรัสถึงตรงนี้ ก็พระทัยแจ่มใสขึ้นมาก หันไปแย้มพระสรวลตรัสว่า
“ครั้งนี้เจ้าสร้างผลงานใหญ่ เราจะเลื่อนตำแหน่งให้เจ้า ฮ่าๆ คิดว่าครั้งนี้เฝิงต้าปั้นกับท่านจางคงไม่ขวางอีกแล้ว”
ขณะกล่าวอยู่นั้น หลี่หู่โถวก็วิ่งมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ทักทายเสียงดังว่า
“พี่จาง พลทหารหวง พวกเจ้าเอาแต่แอบอยู่ในห้องนี้ทำไมกัน ออกไปเล่นกัน พวกเราขาดไปสองคน!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มเดินลงจากบันไดไปยืนข้างหลี่หู่โถวยืดตัวตรงตรัสว่า
“หู่โถว เราสูงกว่าเจ้าไม่น้อยแล้วนะ!”
สองคนอายุต่างกันสี่ปี คนหนึ่งเริ่มยืดตัว แต่หลี่หู่โถวยังเป็นเด็กน้อย แต่เมื่อได้ยินฮ่องเต้น้อยกล่าวเช่นนี้ หลี่หู่โถวก็โกรธ กล่าวฮึดฮัดไปว่า
“รูปร่างสูงมีประโยชน์อะไร แน่จริงพวกเราออกไปสู้กันที่สนามสักตั้ง ดูว่าใครเก่งกว่า”
ฮ่องเต้น้อยหัวเราะเริงร่ากับหลี่หู่โถว พากันเดินไปทางสนาม หวังทงรัดเครื่องป้องกันตนเองแน่นหนาแล้วก็หยิบไม้พลองเดินตามไป
*******
จางหงอิงตอนนี้อยู่กับนางหม่า แม้ว่าจางหงอิงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวใช้หวังทง แต่นางหม่าก็ปฏิบัติกับนางราวกับลูกสาวตน แม้ว่าทำงานไม่น้อยในทุกวัน แต่ทุกคนก็ล้วนยุ่งกันเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจะให้งานใครมากกว่าใคร
ได้กินดีและกินอิ่ม เด็กก็กลัวนาง รู้สึกว่ามีน้องชายกลุ่มใหญ่มากขึ้นเท่านั้น จางหงอิงได้รู้จากนางหม่าว่า บิดามารดาและท่านน้าของนางที่อยู่นอกเมืองก็ไม่เลวนัก ดังนั้นทุกวันนางจึงมีความสุข ตื่นออกมาฮัมเพลงแต่เช้า
วันที่ 20 เดือนสิบเอ็ด จางหงอิงสวมชุดแพรที่ซื้อมาใหม่ท่าทางดีใจ เดินออกจากหอเลิศรส ฟ้ายังมืดเล็กน้อย พอออกไปก้เกือบจะหวีดร้องด้วยความตกใจ
หญิงสาวผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าประตู…