ตอนที่ 199 สำนักรักษาความสงบก็มีประโยชน์
หวังทงตั้งค่ายพักแรมบนเส้นทางหลวงอย่างสง่าผ่าเผย เช้าวันรุ่งขึ้น สารที่ส่งไปขอความช่วยเหลือก็ส่งเข้าไปยังอำเภอเซียงเหอได้ สถานะนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรสูงกว่าตำแหน่งนายอำเภอมากนัก
นายอำเภอเซียงเหอพอได้รับจดหมายก็เกือบร่วงหล่นจากเก้าอี้ รีบสั่งการให้ทหารสามร้อยในอำเภอยังมีชายฉกรรจ์ที่เป็นชาวบ้านอีกสองร้อยไปช่วย แค่เสบียงอาหารก็มีรถใหญ่นำไปถึงหกคัน เนื้อสัตว์สุราอาหารไม่ต้องพูดถึง นายอำเภอและรองนายอำเภอต่างก็ตามไปด้วย จะเลี้ยงดูพวกหวังทงให้ราวกับบรรพชนเลยทีเดียว
เห็นคนและม้ามากันมากมายเช่นนี้ หวังทงก็ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ลงได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร การให้ความช่วยเหลืออย่างขยันขันแข็งเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าอำเภอเซียงเหอน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ด้วยการช่วยเหลือของอำเภอเซียงเหอ ขบวนของหวังทงก็เดินทางต่อไป แต่เดินไปถึงหมู่บ้านข้างหน้าก็หยุดรอกองกำลังอารักขาที่จะตามมาสมทบ
หมู่บ้านนี้ก็คือที่ๆ พวกพยัคฆ์คำรามเคยปักหลักมาก่อน ชาวหมู่บ้านพอเห็นทัพใหญ่มาถึงก็หวาดกลัวไม่เป็นสุขเหมือนเดิม จากการบอกเล่าของชาวบ้าน สามวันก่อนมีกองกำลังปิดหน้ากองหนึ่งบุกเข้ามาในหมู่บ้าน
ไม่แย่งชิงเสบียงอาหารและเงินทอง ไม่แตะต้องผู้หญิง เพียงแค่ไล่ต้อนคนในหมู่บ้านไปรวมตัวกันอีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน บ่ายวานนี้จึงได้จากไป
หวังทง ถานเจียงและคนอื่นๆ เห็นสภาพหมู่บ้านแล้ว มีร่องรอยคนและม้ากลุ่มใหญ่มาตั้งค่ายจริง แต่เก็บกวาดได้สะอาดยิ่ง เห็นการจัดวางกำลังปากทางหมู่บ้านแล้ว ก็ยิ่งมั่นใจว่าเป็นกองทัพทางการแน่นอน
คิดจะหาตัวออกมาว่าผู้ใดกระทำนั้นก็ง่ายมาก ไปที่สามกองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจินออกหนังสือคำสั่งให้ค้นหาในกองทัพ ละแวกนี้มีทหารตายไปหรือมีการสูญเสียใด ย่อมไม่มีพลาด
ถึงตอนนั้นก็ค่อยๆ จัดการก็ไม่สาย ตอนนี้ที่ต้องทำก็คือพักผ่อนในหมู่บ้านนี้ให้สบาย ผ่อนคลายจิตใจให้ดี รอให้กองกำลังอารักขามาถึงก็พอ
ไม่ต้องรอนานนัก วันที่ 20 เดือนสิบสองวันนั้น คืนวันที่สองของการปะทะกัน เติ้งจิ้นจากกองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายก็นำกำลังทหารม้าหลายร้อยนายมาถึงค่ายพักหวังทง พวกชาวอำเภอเซียงเหอก็ยิ่งทุ่มเทเลี้ยงดูกองกำลังใหญ่นี้อย่างตื่นตระหนก เลี้ยงดูอย่างดีคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางแต่เช้า
กองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายเต็มยศหลายร้อยนาย ต้องเคลื่อนย้ายพลทหารราบสามพันนายขึ้นไปจากเขตตอนเหนือหรือว่าพลทหารม้าพันนายขึ้นไปจึงจะรับมือได้ แต่การเคลื่อนกำลังใหญ่เช่นนี้ ย่อมสะเทือนไปถึงกองลาดตระเวนและกอง กำลังรักษาการณ์ในพื้นที่ ทหารในราชวงศ์หมิงจะลงมือกับองครักษ์ฝ่ายในได้อย่างไรกัน
ดังนั้น ตอนนี้ขบวนหวังทงก็ปลอดภัยไร้กังวล
*******
“หวังทงร้องตะโกนดังว่า ใต้เท้าจางตายแล้ว รีบถอยทัพ พวกโจรปิดหน้าก็ชุลมุนกันขึ้นทันที ทุกคนคิดว่าร่องรอยของตนถูกเปิดเผยแล้ว ตามคำสั่งก่อนหน้า ไม่ว่าผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ หรือเด็กในขบวนก็จะตะโกนขึ้นพร้อมกัน พอจะโกนขึ้นเช่นนี้ พวกโจรก็ยิ่งแตกตื่น กอปรกับหวังทงใช้ปืนไฟยิ่งหัวหน้าใหญ่ตายไปสอง ความฮึกเหิมของโจรก็ตกต่ำถึงขีดสุด หวังทงยังบุกเข้าไปอย่างกล้าหาญ พวกโจรก็ไม่อาจต้านทานต่อไปได้”
จางเฉิงอ่านรายงานในมือไป ก็บรรยายด้วยน้ำเสียงออกรสออกชาติไป ในใจคิดว่าหวังทงผู้นี้มักทำการแปลกใหม่ ว่ากันว่าเชิญคนเขียนสารมาจากอำเภอเซียงเหอเขียนสารนี้ขึ้น
เห็นได้ชัดมากว่าเขียนด้วยภาษาชาวบ้าน เหมือนนิทานเล่ากันในร้านน้ำชา บอกว่าทูลเกล้าฮ่องเต้ แท้จริงให้จางเฉิงอ่านให้ฮ่องเต้ฟัง
ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมรู้หนังสือ แต่จางเฉิงอ่านเช่นนี้ได้อารมณ์มากกว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ฟังอย่างใจจดใจจ่อ ตอนที่เคร่งเครียดตื่นเต้นก็ยังยื่นหน้ายื่นพระพักตร์ออกมา ตอนที่น่าตื่นตาตื่นใจก็ยังใช้พระหัตถ์ตบโต๊ะร้องว่า ‘เยี่ยมมาก’
รอจางเฉิงอ่านจบ มองไปเห็นฮ่องเต้น้อยยังมีทีท่าสนุกอยู่ ก็อดยิ้มกล่าวขึ้นไม่ได้ว่า
“ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ตอนส่งรายงานการต่อสู้นี้มา ทางหวังทงนั้นอีกวันครึ่งก็ถึงเทียนจินแล้ว ตอนนี้ไม่แน่ว่าน่าจะเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว!”
ฮ่องเต้ว่านลี่มิได้ทรงรับคำ แต่กลับตรัสอย่างตื่นเต้นว่า
“หากเราอยู่ในขบวนนั้นด้วย ต้องได้เป็นกองหน้าแน่ ได้สู้กับพวกโจรขี้ขลาดพวกนั้น ถึงตอนนั้นก็จะฆ่าตัดหัวหัวหน้าไปรับรางวัลจากทางการเสียเลย พวกทางการนั่นพอรู้ว่าเราเป็นโอรสสวรรค์ ย่อมอ้าปากค้างไม่อาจเชื่อเป็นแน่”
ฮ่องเต้น้อยตรัสอย่างตื่นเต้น ล้วนพาพระองค์เองเข้าไปร่วมในเหตุการณ์ด้วย คิดว่าพระองค์เองได้ร่วมเดินทางไปบนเส้นทางกับพวกเด็กในลานฝึก ตนเองจุดไฟหุงหาอาหาร ได้พบกับโจรจึงได้ร่วมกันสู้โจร ฮ่องเต้ว่านลี่ฮึกเหิมอย่างมาก จางเฉิงมองด้วยสีหน้าเผยรอยยิ้มบาง ในใจก็มีสองประโยควนเวียนไปมา หากว่าฮ่องเต้ตามไปด้วยจริง ยังไงก็ต้องมีกองกำลังติดตามไป อย่าว่าแต่โจรเลยแม้แต่คนเดินผ่านทางก็ไม่อาจได้พบเจอ
วันที่ 23 เดือนสิบสองวันนี้ ในวังจัดพิธีบวงสรวง ใกล้เวลาอาหารค่ำ จางเฉิงก็นำรายงานฉบับนี้ของหวังทงมาอ่านให้ฮ่องเต้ฟัง
ฟ้ามืดแล้ว ตามธรรมเนียมในวัง คืนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่จะต้องไปร่วมเสวยพระกระยาหารกับไทเฮาฉือเซิ่งและไทเฮา เหรินเซิ่ง ร่วมทั้งอ๋องลู่ด้วย
แต่หลังจากหวังทงจากไป ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ได้สนใจอยากจะไปร่วมเสวยกับไทเฮาและอ๋องลู่เท่าไร คืนนี้เป็นพิธีการสำคัญ ไม่อาจปฏิเสธได้อีก
หลังจากตื่นเต้นจบลง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตบโต๊ะ ตรัสถามขึ้นว่า
“วันนี้ที่ประชุม ไม่ว่าจะถามเฝิงต้าปั้นหรือว่าท่านจาง สำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพระล้วนไม่พบเบาะแสอะไร จางปั้นปั้นล่ะ?”
จางเฉิงรีบก้มตัวลงทูลตอบว่า
“ฝ่าบาทโปรดพระราชทานอภัย ทางสำนักรักษาความสงบเพิ่งก่อตั้งขึ้น ทำการชักช้าไปบ้าง ข้าน้อยคาดว่า ไม่ว่าได้ข่าวอะไรมาหรือไม่ พรุ่งนี้ย่อมมีรายงาน”
เรื่องราวความเป็นไปของสำนักรักษาความสงบเป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ว่านลี่ใส่พระทัยและเข้าร่วมด้วยมาตลอด ตอนนี้คนไม่พอ หน่วยงานแต่ละหน่วยก็ไม่ให้ความร่วมมือ และการจัดการหลายจุดยังไม่เรียบร้อยดี ก็เข้าพระทัยได้ ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกว่าช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่ส่ายพระพักตร์พลางถอนพระปัสสาสะตรัสว่า
“ขุนนางของเราคิดจะทำอะไรก็ยากนัก กำลังคนและเงินทองก็อยู่ในมือของเฝิงต้าปั้นและท่านจางไปหมด รอให้หวังทงตั้งหลักปักฐานทางนั้นเสร็จ ค่อยเขียนสารไปถาม สำนักรักษาความสงบตามที่หวังทงว่ามานั้นว่าจะเลี้ยงดูตนเองได้ ตอนแรกที่คุยกันไว้นั้น ตอนนี้พอลงมือทำก็กลับไม่เหมือนกับที่คุยกันไว้”
จางเฉิงหน้าแดงเล็กน้อย ก้มตัวลงก้มหน้ารับคำ หวังทงฝากสำนักรักษาความสงบไว้ในมือเขา สำนักนี้แม้ว่าจะตั้งขึ้นคร่าวๆ ไว้ก่อน แต่ไม่ว่าเงินทองหรือข่าวสารสายลับก็ล้วนมีประโยชน์ใช้การมาก จางเฉิงเดิมคิดว่าตนทำงานมานานหลายปี มาทำการในเรื่องนี้ก็ย่อมสบายๆ คิดไม่ถึงว่ากลับมีข้อผิดพลาดมากมายเช่นนี้ได้ ทุกอย่างไม่ราบรื่นนัก รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงคนด้านนอกรายงานดังมาว่า
“ข้าน้อยโจวอี้มีเรื่องขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
โจวอี้เป็นบุตรบุญธรรมจางเฉิง ยังนับถือเป็นพี่เป็นน้องกับหวังทง ความสำคัญเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นผู้ที่ฮ่องเต้ว่านลี่สามารถไว้วางใจได้ จึงได้ให้สัญญาณอนุญาต จางเฉิงตะโกนให้เบิกตัวเข้าเฝ้า
ใบหน้าโจวอี้มีสีแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น ในมือถือกระดาษอยู่หลายแผ่น พอเข้ามาก็คุกเข่าลงโขกศีรษะกราบทูลอย่างตื่นเต้นว่า
“ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่ใต้เท้าหลี่ว์วั่นไฉส่งข่าวมา ภัยที่ใต้เท้าหวังประสบระหว่างทงได้เบาะแสแล้วพะยะค่ะ”
“หา!?” ฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงเกือบจะอุทานด้วยความตกใจขึ้นพร้อมกัน โจวอี้รีบส่งเอกสารในมือให้กับจางเฉิง ทูลด้วยน้ำเสียงหอบว่า
“พ่อบ้านฟางต้าในจวนอันผิงโหว ฟางรุ่ยหังเลี้ยงหญิงนางหนึ่งไว้ที่เขตปัจจิม หญิงผู้นี้ก็แอบมีสายสัมพันธ์กับเจ้าหนุ่มผู้หนึ่ง เจ้าหนุ่มผู้นี้ก็อาศัยเงินทองหญิงผู้นี้เลี้ยงชีพ เมื่อวานเจ้านี่ไปเล่นพนันในเขตปัจจิมคุยโวใหญ่โตว่า นางที่บ้านตนให้มา 50 ตำลึง บอกว่าฟางต้าให้ไปจัดหาคนมาสังหารขุนนางที่ล่วงเกินคุณชายพวกเขาระหว่างทาง ติดต่อไปมาจาก2,000 ตำลึงก็อมไว้ 500 ตำลึง ยังให้หญิงนางนั้นอีก 200 ตำลึง”
วาจาโจวอี้มีบางอย่างไม่ตรงประเด็นนัก แต่ข่าวนี้ได้มาจากคนในบ่อนพนัน ถือเอาเป็นเรื่องสนุกคุยโวไปเล่าให้เจ้าหน้าที่มาสืบข่าวฟังกันเล่นๆ เท่านั้น
หากหลี่ว์วั่นไฉกลับจัดกำลังสืบข่าวเรื่องที่เกิดนอกเมืองนั่นไว้แล้ว พอเจ้าหน้าที่สายสืบได้ยินข่าวนี้ก็เอะใจทันทีส่งรายงานขึ้นมาทีละขั้น สุดท้ายมาถึงหลี่ว์วั่นไฉ เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่อาจรอช้า จึงรีบขี่ม้ามาแจ้งโจวอี้ด้วยตนเอง
ฮ่องเต้ว่านลี่พึมพัมอยู่แต่คำว่า ‘อันผิงโหว’ สีพระพักตร์ค่อยๆ เย็นเยียบขึ้น มีรับสั่งต่อจางเฉิงทันทีว่า
“จางปั้นปั้น ร่างฎีกานี้มา คาดว่าเสด็จแม่ย่อมทรงอยากจะทอดพระเนตร เฝิงต้าปั้นกับท่านจางก็ต้องอยากอ่าน สำนักรักษาความสงบนี้ประโยชน์ไม่น้อยเลยจริงๆ ข่าวคราวในเมืองที่สำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรยังสืบมาไม่ได้ กลับรู้ได้ก่อน จางปั้นปั้น วันหน้าเรื่องในสำนักส่วนพระองค์ท่านก็วางไปบ้าง อย่างไรก็มีเฝิงต้าปั้นดูแลอยู่ เอาใจไปใส่กับสำนักรักษาความสงบให้มากหน่อยดีกว่า วันหน้าย่อมได้ใช้ประโยชน์ใหญ่”
********
ไทเฮาทั้งสองพระองค์กับว่านลี่และอ๋องลู่ร่วมเสวยพระกระยาหารกันอยู่ พิธีการเช่นนี้ เฝิงเป่าในฐานะหัวหน้าฝ่ายในก็ต้องออกมาคอยรับใช้
เสวยไปได้สองสามคำ อ๋องลู่เพิ่งจะกล่าวอวยพรจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงล้วงเอาฎีกาออกมา บรรยากาศแห่งความปรีดาเริ่มเปลี่ยนไป
ไทเฮาทั้งสองย่อมทรงอ่านเนื้อหาในฎีกาจบก็กระจ่างแจ้ง สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งก็ค่อยๆ เยียบเย็นลง ตรัสขึ้นว่า
“อันผิงโหวเคยทำเรื่องผิดมหันต์ในสมัยฮ่องเต้ซื่อจง ฆ่าคนตายไปสามคนด้วยเรื่องแย่งน้ำทำนา สมัยอดีตฮ่องเต้ยังมีพระชนม์อยู่นั้นก็ยังไม่ทำตัวให้ดี ทำไมวันนี้จึงได้ทำเรื่องเลวร้ายผิดต่อฟ้าดินเช่นนี้อีกได้ เดิมคิดว่าจะเห็นแก่ราชวงศ์ยอมปล่อยไปหลายครั้ง บัดนี้กลับเป็นเช่นนี้ไปได้ เฝิงเป่า ส่งคนสำนักบูรพาไปจับตัวมาลงโทษ!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมทรงเห็นด้วยในเรื่องนี้ ไม่ทรงตรัสอะไร ในราชสำนักฝ่ายในมีมหาขันที ฝ่ายนอกมีมหาอำมาตย์ แม้แต่ไทเฮายังต้องพึ่งพาทั้งสอง แต่ในพระทัยก็ย่อมต้องทรงป้องกันไว้อย่างแน่นอน
การป้องกันของไทเฮาฉือเซิ่งทำให้พระนางไม่อาจทรงยอมให้มีผู้ใดทำการเหิมเกริมขึ้น จวนอันผิงโหวกำลังก้าวล่วงขอบเขตนี้ การที่สามารถซ่องกำลังคนจัดการกับคนใกล้ชิดฮ่องเต้นอกเมืองหลวงได้เช่นนี้ และยังให้ทหารกองทัพปลอมเป็นโจร วันนี้กล้าทำเช่นนี้ วันหน้าก็จะไปถึงขั้นใดกัน
พระดำรัสไทเฮาฉือเซิ่งรุนแรงจนไม่ว่าผู้ใดก็ฟังออก เฝิงเป่ารีบน้อมกายรับพระบัญชา อ๋องลู่ก็วางชามข้าวและตะเกียบลง นั่งนิ่งเงียบ
ไทเฮาเหรินเซิ่งทอดพระเนตรฎีกาจบ ก็ตรัสเตือนสุรเสียงเบาๆ ว่า
“น้องเรา ตระกูลฟางอย่างไรก็เป็นเครือญาติฝ่ายนอกกับฮ่องเต้ซื่อจง ให้คนไปจับตัวมาจะทำให้เสื่อมเกียรติแห่งราชวงศ์ มิสู้ลดยศตระกูลฟาง จับกุมฟางจงผิงผู้เดียวเป็นอย่างไร?”
********
พอถึงสามกองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจิน หวังทงก็เอ่ยอำลากับเติ้งจิ้นที่คุ้มกันมาส่ง ตนเองก็หาที่โรงเตี๊ยมพัก ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ก็ยังไม่มีผู้ใดมาต้อนรับ ไม่มีผู้ใดออกหน้ามาทักทาย