ตอนที่ 201 เมืองหลวงบุกจวนโหว เทียนจินบุกที่ทำการ
“ข้าน้อยรู้ว่าใต้เท้าอาจจะพำนักนอกเมือง หลายวันนี้จึงได้เฝ้ารอและออกสืบข่าวที่นี่”
ถานเจี้ยนพอมาถึงก็ถูกหวังทงเรียกไปถาม ประโยคแรกก็อธิบายเช่นนี้ หวังทงหันไปเหลือบมองถานเจียงแวบหนึ่ง ไม่กล่าวอันใด
ถานเจียงรู้ว่าเหตุใดหวังทงจึงมองมา ได้แต่ส่ายหน้าถามว่า
“เสี่ยวเจี้ยน สถานะของเจ้า เราทุกคนล้วนรู้กันดี มีความในอันใดก็เล่าออกมาให้นายท่านฟังตรงๆ นายท่านเราก็ไม่ใช่ว่าจะรับไม่ได้”
ผู้มีสถานะเป็นคนของสำนักบูรพามาขอกำลังเสริมที่เทียนจิน กำลังเสริมพามาไม่ได้ไม่ว่า แต่กลับมีสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ ดูท่าเหมือนจะบาดเจ็บหนักด้วย อย่าว่าแต่หวังทงไม่เชื่อเลย แม้แต่ถานเจียงก็รู้สึกกรุ่นในใจเช่นกัน
ถานเจี้ยนเป็นชายฉกรรจ์เก่งกาจไหวพริบดี ปกติก็มีความไวและละเอียดอ่อนอย่างมาก ย่อมมองปฏิกิริยาของทั้งสองคนออก จึงได้คุกเข่าลงทันที ตอนคุกเข่าลงไปก็เหมือนจะเซไปด้านหนึ่ง ต้องใช้แขนรีบยันไว้ พยายามอธิบายว่า
“ข้าน้อยมาส่งสารจริง ข้าน้อยนำสารที่มีตราประทับใต้เท้ามาที่กองตรวจการประจำกองกำลังเทียนจิน คิดไม่ถึงว่ารีบร้อนเล่าจุดประสงค์ที่มาจบ พวกกองตรวจการนั่นกลับตบโต๊ะ ตวาดเสียงดังว่าจะมีผู้ใดกล้าโจมตีขุนนางของราชสำนักได้ กล่าวหาว่าข้าน้อยโกหก ให้คนใช้กระบองไล่ตีออกไป ตอนนั้นข้าน้อยอธิบายไปได้แค่สองประโยคก็ถูกไม้กระบองใหญ่ไล่ฟาดออกมา ไม่อาจสนใจอะไรได้อีก ได้แต่รับไม้ไปสองสามทีแล้วก็ต้องวิ่งหนีออกมา…”
ถานเจียงสีหน้าเคร่งเครียดเดินมาด้านหน้า มือหนึ่งคว้าตัวถานเจี้ยนขึ้นมา อีกมือหนึ่งพับขากางเกงด้านหลังขึ้น ที่ขาบวมช้ำเป็นก้อน มีหลายแห่งดำคล้ำ
มิน่าตอนคุกเข่าลงจึงได้เซไปด้านข้าง ถานเจี้ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายจะร้องไห้
“กว่าข้าน้อยจะหนีออกมาได้ พวกทหารกองตรวจการยังไล่ตามออกมา ขาข้าน้อยเจ็บก็ได้แต่หาที่หลบก่อน จนเมื่อวานจึงได้พอขยับได้ ไปตระเวนหากองคำร้องและหน่วยงานต่างๆ ในเมือง แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป ข้าน้อยรู้ว่าใต้เท้าทางนั้นเร่งด่วน แต่ก็กลัวจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่เมืองเทียนจินนี่ ถึงตอนนั้นแม้แต่คนส่งข่าวก็ไม่มีแล้ว!”
ราชสำนักราชวงศ์หมิงมีตำแหน่งขุนนางที่เรียกว่า กองตรวจการ ไว้สำหรับดูแลควบคุมกองทัพ แม้ว่าไม่ใช่งานสำคัญอันใด แต่ขุนนางอย่างน้อยก็ระดับสี่ขึ้นไป มีอำนาจมาก ที่เมืองเทียนจินถือเป็นตำแหน่งขุนนางบุ๋นที่มีอำนาจสูงที่สุดในพื้นที่
กองคำร้องเป็นหน่วยงานดูแลการยื่นคำร้องคดีอาญาของชาวบ้านที่ศาลเหอเจียนส่งมาประจำที่เทียนจิน ดูแลงานโดยผู้ตรวจการกองคำร้องแห่งศาลเหอเจียน เป็นขุนนางระดับห้า สองท่านดังกล่าวนี้นับว่าเป็นขุนนางบุ๋นที่มีสถานะสูงสุดในพื้นที่
ในราชวงศ์หมิงนั้นขุนนางบุ๋นเหนือขุนพล คิดจะโยกย้ายกำลังพล ก็ต้องรายงานขุนนางบุ๋นพวกนี้ก่อน จากนั้นจึงจะส่งกำลังเสริมไปช่วยเหลือได้
“ถานเจี้ยน ไปหาหม่าซานเปียว ทางนั้นมีสุราโอสถไว้รักษาอาการช้ำใน รอเข้าเมืองก่อน ค่อยตามหมอมารักษาเจ้า ไปพักผ่อนได้แล้ว!”
หวังทงเดินเข้าไปตบบ่าถานเจี้ยน ตะโกนเรียกคนงานมาพยุงเขาออกไป รอจนออกไปแล้ว สีหน้าก็เคร่งเครียดหันมาทางถานเจียงกล่าวว่า
“ถานเจียง เรื่องนี้เชื่อถือได้กี่ส่วน?”
ดูเหมือนเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับปัญหาที่ว่าคนของจวนถานเชื่อถือได้กี่ส่วนกันแล้ว ถานเจียงก็ไม่กล้าให้คำตอบทันที วิเคราะห์อย่างละเอียดครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยขึ้นว่า
“เส้นทางเมืองหลวงมาเทียนจินนี้หากจะมีกองกำลังออกมาไล่ล่าสังหารนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร หากไม่ได้ประสบมาด้วยตนเอง คนอื่นบอกข้าน้อย เกรงว่าก็อาจรู้สึกว่าเหลวไหล…แต่ผู้เป็นขุนนางก็ควรรอบคอบ แม้ว่าไม่เชื่อ แต่ก็ควรส่งคนไปสืบดูก่อน เพื่อป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้”
เห็นว่าหวังทงเห็นด้วยแล้ว ถานเจียงก็กล่าวต่อว่า
“ที่ทำการสองแห่งนี้เข้าไปไม่ได้แล้ว ก็ไปหากองกำลังอื่นๆ ในพื้นที่ต่อ แต่พวกขุนพลประจำกองกำลังพวกนี้ทำการอะไรก็ไม่ค่อยคำนึงสิ่งใดนัก หากถูกสังหารทิ้งไปเฉยๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเอาเรื่องได้”
หวังทงยกถ้วยชาที่ทิ้งไว้จนเย็นบนโต๊ะขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง จากนั้นก็กระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง กล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า
“พวกเราเข้าเมืองกัน!!”
*******
ณ จวนอันผิงโหวในเมืองหลวงที่เคยเป็นที่พำนักของพระญาติที่ทรงอำนาจในราชวงศ์หมิง พื้นที่กว้างขวางยิ่งใหญ่ ยามปกติมีแขกเหรื่อไปมาหาสู่มากมาย
พระญาติฝ่ายฮองเฮาในรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง พอมาในรัชสมัยฮ่องเต้หลงชิ่งก็ยังเป็นที่โปรดปราน พอมาถึงสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังคงเคารพนับถือเช่นเดิม แต่วันที่ 24 เดือนสิบสองนี้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
“…ฟางรุ่ยหัง อันผิงโหว ลดบรรดาศักดิ์หนึ่งขั้น ให้ปิดประตูสำนึกผิดในจวน…ฟางจงผิงเหิมเกริมชั่วช้า ทำการกำเริบเสิบสาน จับส่งคุกทางการ ให้ทางการพิจารณา…”
ขันทีไช่หนานสีหน้าเย็นชาขณะอ่านราชโองการ ด้วยไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับพวกจวนตระกูลฟางที่คุกเข่าห่างจากตนเองไม่ถึงห้าก้าวนี้นัก ไม่รู้ว่าเริ่มรู้สึกแบบนี้เมื่อไร หวังทงในจิตใจของไช่หนานกลายเป็นที่พึ่งแห่งอำนาจวาสนาในชีวิตนี้ไปแล้ว ติดตามใต้เท้าผู้นี้ วันหน้าย่อมมีอนาคตสดใส
คนตระกูลฟางกลับกล้าลงมือเช่นนี้ มีโทษควรตายหมื่นครั้งจริงๆ มองดูหลายคนด้านหลังฟางรุ่ยหังที่เริ่มพากันตัวสั่น
ลดบรรดาศักดิ์หนึ่งขึ้น จากโหวเป็นป๋อ แต่ไม่มีใครไร้เดียงสาพอจะคิดว่าเรื่องจะจบแค่นี้ การลดบรรดาศักดิ์เช่นนี้หมายความว่าไม่เห็นแก่ความเป็นพระญาติอีกแล้ว ลำดับต่อมา ความโชคร้ายต่างๆ ก็ย่อมมาเยือน
ไช่หนานประกาศราชโองการจบ ตระกูลฟางก็รับราชโองการ ไช่หนานส่งราชโองการใส่มืออันผิงโหวด้วยทีท่ารังเกียจเดียดฉันท์ เห็นอันผิงโหวยังคิดจะพูดอะไร หากไช่หนานไม่คิดจะสนใจ หันหลังออกไปทันที
ประตูจวนอันผิงโหวเปิดกว้าง ถนนด้านนอกเต็มไปด้วยคนจากสำนักบูรพาและพลทหาร หัวหน้านำมาก็คือนายกองร้อยกองอาญาเซวียจานเยี่ย พอเห็นไช่หนานออกมา ก็นำกำลังกรูเข้าไปทันที
การที่ทหารพากันกรูเข้ามา จวนอันผิงโหวก็เริ่มมีเสียงหวีดร้องตะโกนและเสียงร้องไห้ดังขึ้น คนตระกูลฟางคุกเข่ากันอยู่ไม่กล้าขยับ
อันผิงโหว ฟางรุ่ยหังคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ปากก็ด่าไปด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า
“ฟางจงผิง หากเจ้ายังเป็นตระกูลฟางอยู่ ก็ดื่มยานี่ซะ เจ้าเดรัจฉานสร้างบาปสร้างกรรมให้คนตระกูลฟางเรา ตอนเจ้าเกิดมา ข้าน่าจะโยนเจ้าลงสระน้ำไปซะ”
สีหน้าฟางจงผิงซีดเผือดไร้สีเลือด ตัวสั่นงันงก ในมือถือขวดกระเบื้องอยู่ใบหนึ่ง ข้อนิ้วมือเกร็งจนซีดขาว
“…รีบดื่ม!!”
“…เจ้าบัดซบ เจ้าสร้างบาปกรรม อย่าให้ทุกคนต้องพลอย…”
คนที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นล้วนเป็นบรรดาน้องชายและบรรดาอาของฟางจงผิง ทุกคนกัดฟันกรอดพลางสั่งให้ฟางจงผิงดื่มยานั่นลงไป ฟางจงผิงตัวสั่นรุนแรงราวกับลูกนก อ้าปากเอ้ออ้ากล่าวไม่ออก ลุกขึ้นยืนตัวแข็งทื่อ พยายามรวบรวมกำลังเปิดจุกยาออก คิดจะส่งเข้าปาก แต่ก็ส่งไม่ถึงปากสักที
มือเหมือนต้องลมจนสั่นไหว กายอ่อนยวบพับลงกับพื้น ยาน้ำในขวดกระเบื้องกระฉอกออกมา ยาน้ำนั่นเผาพื้นหินจนดำไหม้เสียงดังฉ่า
ฟางจงผิงรู้สึกไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในบัดดล ล้มลงนอนตัวแข็งค้างอยู่กับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้มแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น หลายวันนี้เขาเอาแต่คิดอย่างตื่นเต้นว่า เมื่อเจ้าหวังทงนั่นถูกฆ่า จะไปเอาหน้ากับบรรดาสหายอย่างไรดี จะฮุบเอาหอฉินก่วนนั่นมาอย่างไรดี จะได้ขจัดกลิ่นอายความโชคร้ายในปีที่ผ่านมานี้ให้หมดไปเสียที
พอราชโองการมาถึง ตอนที่พวกสำนักบูรพาและองครักษ์เสื้อแพรบุกเข้ามา เขาเพิ่งรู้สำนึกว่าตนได้ล่วงเกินผิดคนแล้ว
เห็นยาพิษกระฉอกรดพื้น ลูกหลานตระกูลฟางทนต่อไปไม่ไหว เก็บขวดยาขึ้นมา คนที่เหลือก็ช่วยกันจับฟางจงผิงไว้ คิดจะกรอกยาใส่ปาก
แม้รู้ว่าหากไม่ฆ่าตัวตาย ที่รออยู่ข้างหน้าก็ไม่อาจรอดตายได้ แต่การร้องขอชีวิตนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของทุกคน ทำให้ฟางจงผิงต้องดิ้นรนสุดชีวิต พวกทหารกรูกันเข้ามาไม่หยุด ทุกคนไม่สนใจสถานการณ์ชุลมุนในตระกูลฟางนี้แต่อย่างใด วิ่งไปด้านหลังพวกเขาทันที
เซวียจานเยี่ยขมวดคิ้วเดินเข้ามา ในมือถือดาบยาวที่ยังไม่ดึงออกจากฝัก กระแทกคนตระกูลฟางให้ถอยออกไป กระชากมวยผมฟางจงผิงลากออกไปด้านนอก ไม่สนใจพวกหมูหมากาไก่ด้านหลังที่ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เดินไปก็แสยะยิ้มไปกล่าวว่า
“คุณชายเจ้าสำราญเช่นนี้จะมีแรงอะไรไปสั่งให้ตระกูลเจ้าเหลือเจ้าไว้สืบตระกูลต่อกัน ไปเข้าคุกแล้วค่อยๆ สารภาพมาให้ละเอียด!!”
คนตระกูลฟางด้านหลังทุกคนล้วนมีสีหน้าราวกับซากศพ…
********
“นอกเมืองมีโรงเตี๊ยมใหญ่เช่นนั้น จะกินจะใช้อะไรก็ไม่ต่างจากเมืองหลวงนัก ทำไมในเมืองจึงได้ผุพังเช่นนี้ เมื่อตอนเดินจากนอกเมืองเข้าเมืองมา ที่กำแพงเมืองหลายจุดยังพังทลายอีกด้วย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
พอหวังทงเข้าเมืองมา ภาพที่เห็นก็ล้วนเป็นภาพที่ทรุดโทรม เทียบกับเสียงเล่าถึงเมืองเทียนจินในตำนานที่ว่าทุกที่รุ่งเรือง การค้าชุกชุม ต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงได้ถามเช่นนี้
ไม่มีใครตอบ ไม่มีใครรับคำ ถานเจี้ยนที่เข้ามาส่งข่าวก็ถูกกองตรวจการไล่ตีกลับไป หวังทงไม่คุ้นกับพื้นที่ จึงได้จัดหาพวกคนงานในโรงเตี๊ยมเงินไหลมาให้ช่วยนำทางเข้าเมือง
“นานท่านไม่รู้หรือ เมื่อเดือนหนึ่งปีที่แล้ว เมืองเทียนจินเกิดแผ่นดินไหว คนตายไปเกินร้อยเชียวนะ จึงได้ปล่อยเอาไว้แบบนี้ ไม่มีใครสนใจจะมาซ่อมแซม”
คนงานตอบตรงไปตรงมา หวังทงส่ายหน้า เห็นโรงเตี๊ยมใหญ่โตที่เตรียมไว้รองรับพ่อค้าเดินทางไปมา ยังมีที่รับฝากของและเสบียงต่างๆ แล้ว ทุกปีไม่รู้ว่ามีเงินทองหลั่งไหลมาที่เทียนจินเท่าไร ค่าน้ำร้อนน้ำชาในพื้นที่ก็ย่อมไม่น้อย แต่กลับมีสภาพทรุดโทรมเช่นนี้ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าในพื้นที่นี่ทำอะไรกันอยู่
จวนของนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำสามกองกำลังพิทักษ์ที่เทียนจินเป็นจวนใหญ่โตโอ่อ่า ยืนอยู่ข้างนอกมองเข้าไป อย่างน้อยก็มีห้าสิบห้องพัก จวนใหญ่ขนาดนี้ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเคยเป็นของผู้ยิ่งใหญ่เพียงใดมาก่อน อาจถึงขึ้นทำเป็นที่ตั้งกองทัพได้เลยที่เดียว
ที่สามารถมองจากข้างนอกเข้าไปได้ ก็เพราะว่ากำแพงจวนหลายแห่งพังลง หวังทงขี่อยู่บนหลังม้ามองเข้าไปด้านในก็เห็นได้อย่างชัดเจน
นี่เป็นฤดูหนาว ยังเห็นกองหิมะและต้นไม้แห้งเหี่ยวปกคลุมไปทั่วจวน หากเป็นฤดูร้อน ที่นี่น่าจะเต็มไปด้วยต้นหญ้า ต้องเป็นสวนที่ไม่เลวเป็นแน่
ตรงประตูหน้ามีทางเดินไปโถงด้านหน้า เส้นทางนี้ดูก็รู้ว่าเกิดจากการที่คนจำนวนมากเดินย่ำกันจนเป็นทาง ไม่ใช่เก็บกวาดจนเป็นทาง
ขณะยืนอยู่ที่ประตู สีหน้าหวังทงก็ดำทมึนถึงขีดสุด ที่พักนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร หน้าประตูไม่มีทหารเฝ้ายามแม้แต่คนเดียว
เสียง ‘แอ้ด’ ดังขึ้น ประตูหน้าตรงห้องโถงกลางเปิดออก มีชายผู้หนึ่งเดินออกมาก้มหน้าไปด่าไป ได้ยินคนด้านในตะโกนด่าออกมาว่า
“เหล่าหัง แพ้พนันแล้วอย่าหนีสิ!!”
เหล่าหังสวมชุดนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพร เดินมาถึงขั้นบันไดหน้าประตูก็คิดจะปลดกางเกงออก ตะโกนเสียงแหบพร่ากลับไปว่า
“หนีมารดาเจ้าสิ ข้าแพ้มาทั้งคืน ต้องเอาคืนให้ได้!”