ตอนที่ 233 สายสัมพันธ์
“…เบี้ยหวัดหักค่ารถม้าขนส่ง หักเป็นข้าวและตั๋วเงิน ย่อมร่วมจัดการโดยกรมทหารและกรมอากร เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า หากแต่ละคนไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียม เช่นนั้นยังจะมีธรรมเนียมไว้เพื่ออันใด…ปรับเบี้ยหวัดครึ่งปี หากมีเรื่องเช่นนี้อีก จะลงโทษอย่างไม่รอลงอาญา…”
ที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินจุดกำยานหอมรอรับราชโองการ มีหวังทงเป็นหัวหน้า หังต้าเฉียวและคนอื่นๆ อยู่ด้านหลัง ล้วนคุกเข่าฟังขันทีประกาศราชโองการ
“เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า” “ปรับเบี้ยหวัดครึ่งปี” “ลงโทษอย่างไม่รอลงอาญา” แต่ละประโยคที่หลุดออกมา ทำเอาหังต้าเฉียวที่คุกเข่าอยู่นั้นถึงกับใจเต้นโครมคราม แอบเงยหน้ามองมาทางหวังทงที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้า ก็เห็นแต่ข้อเท้าด้านหลัง สีหน้าท่าทางมองเห็นไม่ชัด
พระราชโองการนั้นหนักหนาสาหัส วันเวลาปะทะชนทุกอย่างที่เทียนจินของนายกองร้อยหวังคงมาถึงปลายทางแค่นี้แล้วกระมัง ก่อนหน้านี้ได้ล่วงเกินคนไปมากมายเพียงนั้น เบื้องบนก็ทำกองตรวจการเสียหน้า เบื้องล่างก็ทำหัวหน้านาวาเสียหลัก ต่อไปยังไม่รู้ว่าจะโชคร้ายเพียงใด มีวันเวลาดีๆ มาได้ไม่กี่วัน ต้องมาจบสิ้นเสียแล้ว
หังต้าเฉียวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในใจคิดว่าหรือคืนนี้จะขโมยม้าสองสามตัวของนายกองพันหวังกลับไปดีไหม รอให้เกิดเรื่องมีโทษแล้ว ก็กลายเป็นม้าของตนแล้ว
ในใจคิดเช่นนี้ ร่างกายก็เริ่มขยับถอยหลัง พวกองครักษ์เสื้อแพรที่เทียนจินก็ล้วนคิดเช่นนี้ นายกองร้อยสองสามนายเริ่มถอยหลัง ค่อยๆ หดตัวถอยห่าง
ซุนต้าไห่ด้านหลังกับจางซื่อเฉียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พอเห็นคนด้านหน้าที่ถอยหลังมาราวกับหนอนตัวใหญ่คลานถอยหลัง ก็รู้สึกไม่เข้าใจ
หัวหน้าขันทีอ่านจบทีละประโยคทีละคำ หังต้าเฉียวและคนอื่นๆ ก็รีบก้มหน้าลง ในใจคิดว่าต่อไปก็จะต้องถูกตำหนิ ลงโทษกันต่อหน้าก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
“ใต้เท้าหวังรีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้น ราชโองการจบแล้วท่านยังคุกเข่าอยู่ทำไมกัน ไม่ใช่ว่าทำข้าน้อยอายุสั้นหรอกหรือนี่?”
พอหน้านิ่งประกาศราชโองการจบ ใบหน้าขันทีผู้นั้นก็ยิ้มแย้มทันที เดินขึ้นหน้าไปวางราชโองการใส่มือหวังทง ประคองหวังทงขึ้นมาอย่างเกรงอกเกรงใจ
องครักษ์เสื้อแพรอีกสองสามนายที่ติดตามขันทีผู้นี้มาด้วยอายุราว 30 ต้น สวมชุดเกราะวาววับน่าเกรงขามยืนอยู่ตรงนั้น ยามนั้นก็รีบก้มหน้าโค้งกายเข้ามายิ้มทักทายไปด้วย
“นายกองร้อยหวัง…นายกองพันหวังดูดีไม่น้อย ที่เทียนจินแห้งแล้งกันดาร ขาดเหลือสิ่งใดก็บอกกล่าวข้ามาสักคำ…”
“เหลวไหล ใต้เท้าหวังยังจะขาดอะไรจากเรากัน ก่อนเราออกจากเมืองหลวงมา ใต้เท้าหลี่กำชับมาแล้วว่า ให้พวกเรามาเยี่ยมใต้เท้าหวังกับคุณชายหู่โถว…”
หังต้าเฉียวและนายกองร้อยที่เหลือที่ยังคุกเข่าอยู่ที่พื้นก็อ้าปากมองตาค้าง เห็นทุกอย่างเบื้องหน้า ขันทีประกาศราชโองการกับองครักษ์เสื้อแพรที่ตามมาคุ้มกันกำลังล้อมวงทักทายหวังทงอย่างนอบน้อมเอาใจ
และนายกองพันที่พวกเขาคิดว่าต้องประสบโชคร้ายแน่แล้ว ยังยืนสีหน้าเรียบเฉยอยู่ตรงนั้น เหมือนว่าทุกอย่างควรเป็นเช่นนั้น “ปรับเบี้ยหวัดครึ่งปี” เงินแค่นี้ไม่อยู่ในสายตาหวังทง คำตำหนิอื่นๆ ก็ยิ่งไร้สาระ เห็นท่าทางของบรรดาคนที่มาประกาศราชโองการแล้ว ในใจหวังทงก็พอรู้อยู่
“กงกงและพี่น้องทุกท่านลำบากแล้ว พี่จาง มอบให้กงกง 50 ตำลึง พี่น้องที่เหลือคนละ 30”
เขากล่าวเสียงดังกังวาน ขันทีผู้นั้นก็ยิ้มตาหยีจนมองไม่เห็นลูกกะตา องครักษ์เสื้อแพรที่ติดตามมาก็กล่าวเอาใจเสียงดังตามมาว่า
“ใต้เท้าหวังใจกว้างยิ่ง ที่เมืองหลวงไม่รู้ว่าได้รับจากใต้เท้าไปเท่าไร มาถึงเทียนจินยังตามมาร่ำรวยไปด้วย กลับไปจะไปเล่าให้คนที่นั่นฟัง ให้พวกนั้นอิจฉาเล่น”
วาจาตามมารยาทกล่าวกันไปได้สองสามประโยค ขันทีผู้นั้นอยู่ๆ ก็ทำหน้าเข้มหันไปกล่าวกับคนอื่นๆ ว่า
“ข้ายังมีเรื่องจะปรึกษากับใต้เท้าหวัง พวกเจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน!”
ทุกคนไม่กล้ารอช้า รีบก้มกายคำนับถอยออกไป ปิดประตูลงแล้ว หวังทงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น กิริยาท่าทางขันทีผู้นั้นยิ่งนอบน้อมลงอีก หันมาหยิบห่อผ้าที่วางอยู่บนเก้าอี้ด้านข้างเปิดออก สองมือประคองกล่องเหล็กส่งให้หวังทง กล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“ใต้เท้าหวังโปรดตรวจสอบ กุญแจยังอยู่ดี ปิดผนึกด้วยครั่งก็ยังอยู่ดี”
กล่องเหล็กนี้เป็นกล่องเหล็กที่หวังทงใช้ส่งจดหมายลับระหว่างตนกับฮ่องเต้ว่านลี่ นอกจากแม่กุญแจแล้ว ยังมีการปิดผนึกอีกสองชั้น ปากกล่องยังรนครั่งผนึกไว้ ยังมีตราชาดประทับปิดผนึกไว้อีกชั้น
จัดทำได้ปลอดภัยกว่าที่หวังทงเสนอไว้มากนัก หากมีใครเปิดออกและแตะต้อง ก็ย่อมพบร่องรอยได้ง่าย ท่าทีขันทีผู้นี้ก็นอบน้อมกว่าเมื่อครู่สิบเท่า เมื่อส่งให้หวังทงแล้วก็รีบทิ้งมือลงข้างกายไปยืนอีกด้าน
หวังทงมองเขาแวบหนึ่งก็ยิ้มถามว่า
“ตอนนี้กล่องเหล็กเป็นท่านนำมาส่งหรือ?”
ตอนนี้หวังทงก็เพิ่งจะสังเกตขันทีผู้นี้อย่างละเอียด ดูแล้วอายุไม่มากนัก ท่าทาง 20 ต้นๆ ดูธรรมดา ได้ยินคำถามหวังทง ขันทีผู้นี้ก็ก้มหน้าตอบอย่างนอบน้อมว่า
“ข้าน้อยไหนเลยจะมีวาสนานี้ได้ ผู้นำส่งก็คือเจ้าจินเลี่ยงขันทีคนสนิทของโจวกงกง ข้าน้อยครั้งนี้ออกมาปฏิบัติหน้าที่นอกวัง เลยแวะนำมามอบให้”
“เดี๋ยวออกไปรับไปอีก 100 ตำลึง นี่เป็นคำสั่งข้า!”
ยามปกติได้รางวัลขนาดนี้ ขันทีผู้นั้นก็ย่อมรีบขอบคุณออกจากห้องไป เขาเหมือนไม่รู้ว่ากล่องเหล็กนี้เป็นของที่ฮ่องเต้ส่งมา ยังคิดว่าเป็นของไหว้วานมาจากโจวกงกงหรือจางกงกง
ในสายตาของขันทีทั่วไปแล้ว จางเฉิงกับโจวอี้ในวังก็เป็นเหมือนฟ้าที่เอื้อมไม่ถึง สามารถทำงานรับใช้ได้นับเป็นวาสนาแล้ว
ขันทีประกาศราชโองการผู้นี้เคยไปกินอาหารที่หอเลิศรส ประวัติของนายกองพันหวังที่อายุ 10 กว่าปีตรงหน้านี้ก็พอจะรู้บ้างเล็กน้อย ดังนั้นจึงทำงานนี้อย่างระมัดระวังอย่างมาก ไม่กล้าเผลอเรอแม้แต่น้อย นายกองพันหวังก็มีท่าทีสุภาพ เวลาสั้นๆ 150 ตำลึงถึงมือง่ายๆ ช่างเป็นงานที่หอมหวาน ในใจคิดว่ากลับไปนี้จะเก็บเป็นความลับ ไม่ให้ผู้อื่นได้รู้
หวังทงใช้ไม้ขัดลงกลอนประตู ก่อนจะค่อยๆ เปิดกล่องเหล็กออกอย่างระมัดระวัง ในนั้นมีกระดาษบางๆ พับไว้สองสามแผ่น
พอเปิดออกอ่าน ในนั้นไม่ใช่เขียนโดยคนๆ เดียว มีสองเรื่องเป็นของฮ่องเต้ว่านลี่ เรื่องแรกก็คือทรงอนุญาตให้เขาได้จับตาตรวจสอบการทำงานการปฏิบัติงานของขุนนางใหญ่น้อยในเทียนจิน ให้เขาส่งคนไปจับตาดูได้ และส่งรายงานลับเข้าวังตามกำหนดเวลา เรื่องที่สองก็ค่อนข้างมีความเป็นเด็กน้อยอยู่บ้าง ตรัสว่าให้หวังทงรายงานเรื่องใหญ่น้อยของหวังทงที่เทียนจิน เรื่องที่ได้พบได้เห็นมาให้เล่ามาโดยละเอียด
อ่านถึงตรงนี้ หวังทงก็อดส่ายหน้ายิ้มไม่ได้ เขาเข้าใจฮ่องเต้ว่านลี่ดี ฮ่องเต้น้อยไม่สามารถเสด็จออกจากวังหลวงหรือเมืองหลวงไปที่ไหนได้ คงอยากรู้เรื่องนอกเมืองหลวงมาก หวังทงสนิทกับฮ่องเต้ว่านลี่มาก คาดว่าในพระทัยของพระองค์คงรู้สึกว่าสิ่งที่หวังทงกระทำ ก็เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทำเช่นกัน รู้สึกมีส่วนร่วมไปด้วย จึงได้ให้เขาเขียนเล่าทุกอย่างให้หมด
จางเฉิงก็เขียนมาฉบับหนึ่ง บรรทัดแรกเป็นการกล่าวเตือนอย่างจริงใจว่า เรื่องเบี้ยหวัดการทหารหากทำการไม่รอบคอบก็จะนำภัยใหญ่หลวงมาถึงตัวได้
การหักบางอย่างนั้นทุกคนรู้ดีว่าเงินทองเหล่านี้ไปที่ใด ทำไมไม่มีผู้ใดกล่าวถึง ไม่ใช่เพราะว่าเกี่ยวกับเส้นทางเงินทองของบรรดาขุนนางหรอกหรือ การตัดเส้นทางเงินทองก็เป็นการหาเรื่องให้เกิดความโกรธแค้นอันดับหนึ่ง หวังทงทำเช่นนี้ก็ย่อมถูกทุกคนรุมโจมตี ใช่ว่าเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนให้ตนเองหรือ
ตักเตือนมาสองสามประโยค ก็กล่าวถึงเรื่องแนวทางปฏิบัติที่หลี่ว์วั่นไฉนำกลับไปรายงานนั้นว่ามีหลักการดีมาก หากทำตามก็ย่อมได้ผลสำเร็จดีเยี่ยม ให้หวังทงไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง เงินที่เตรียมจะนำส่งมาก็จะนำส่งมาให้มากหน่อยก็แล้วกัน
หวังทงพับจดหมายยัดใส่กระเป๋าเสื้อด้านใน ครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่งก็ออกจากห้อง เงินรางวัลอั่งเปาเตรียมให้เจ้าหน้าที่ถ่ายทอดราชโองการก็ได้มอบให้ไปแล้ว พอเห็นหวังทงออกมา บรรดาคนเหล่านั้นก็รีบกล่าวอำลาด้วยความนอบน้อม
เห็นเจ้าหน้าที่เป็นเช่นนี้ พวกหังต้าเฉียวก็ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี ตอนหวังทงเพิ่งมาถึงก็เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป พอถูกจัดไปก็รู้สึกว่าสูงส่งเทียมฟ้า ผ่านเรื่องราวแต่ละเรื่องมาถึงวันนี้ หวังทงไม่ใช่คนที่เงยหน้าสบตาด้วยได้ง่ายๆ รู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุด
“เรื่องราวในและนอกเมืองเทียนจิน พวกเจ้ารู้กันไหม?”
ได้ยินคำถามหวังทง หังต้าเฉียวกลับตอบอย่างลนลานด้วยเรื่องสัพเพเหระก่อนว่า
“พี่น้องเราสองร้อยกว่าเป็นคนในพื้นที่เทียนจิน มีเรื่องอะไรที่ไม่รู้กันเล่า”
“พวกเจ้ารู้แล้วมีประโยชน์ใด ผ่านไปสามเดือนครึ่งปี แม้เป็นก้อนหินหน้าประตูก็คงรู้ได้หมด”
หวังทงกล่าวเช่นนี้ หังต้าเฉียวก็เข้าใจนัยยะได้ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็กล่าวอย่างไม่มั่นใจนักว่า
“ใต้เท้า คนของเราปฏิบัติงานกันไม่น้อย ตอนนี้พี่น้องสองร้อยกว่าก็มีงานอื่นทำกันอยู่ พวกนี้รู้จักคบหากับคนมาก ข่าวสารที่ได้ฟังมาจากบรรดาชาวบ้านร้านตลาดก็ไม่น้อย ขอเพียงแค่ลมพัดยอดหญ้าก็รู้ได้ เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร?”
ตอนนี้องครักษ์เสื้อแพรที่เทียนจริง ไม่ว่าปฏิบัติงานหรือพวกที่กลับมาแล้วแต่ไม่รับเข้าสังกัดอีกพวกนั้นล้วนเป็นระดับรากหญ้าที่สุดในเมืองเทียนจิน ปกติไม่มีใครมองว่าพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ เป็นแค่พวกทหารชั้นต่ำ จึงไม่ระวังตัวและไม่รู้สึกต้องหลบเลี่ยง ข่าวสารที่ได้มาก็ย่อมมากกว่ามาก
ได้ยินหังต้าเฉียวกล่าวเช่นนี้ ทำให้หวังทงรู้สึกเริ่มสนใจ หังต้าเฉียวกลับกล่าวติดๆ ขัดๆ ทำเอาหวังทงเริ่มโมโห จึงถามกลับน้ำเสียงดุดัน หังต้าเฉียวจึงยิ้มแหะๆ เอ่ยขึ้นว่า
“ใต้เท้าหวัง พี่น้องเราไม่น้อยไม่มีเบี้ยหวัด กลับมาเข้าสังกัดก็ไม่ได้ ข่าวพวกนี้จะให้พวกเขาหามาโดยไม่ได้อะไรเลยก็คงไม่ได้กระมัง อันนี้ อันนี้…”
“ข่าวที่ได้มาแล้วมีประโยชน์ ข้าย่อมมอบเงินรางวัลให้ บอกพวกเขาไม่ต้องกังวล ผู้มีความชอบ เงินทองและตำแหน่งย่อมมีตามมา กระจายข่าวไปว่า ให้พวกเขาตั้งใจหาข่าวให้ดีละกัน!”
ได้คำมั่นสัญญาจากหวังทงแล้ว หังต้าเฉียวก็รับคำอย่างยินดี รีบออกไปสั่งการต่อ หวังทงมองตามแผ่นหลังเขาแล้วก็ส่ายหน้า
คนเช่นนี้ ข่าวที่ได้มาก็คงได้แค่เอามาประกอบการวิเคราะห์ เชื่อไม่ได้หมด การจับตาดูบรรดาขุนนางในเทียนจิน คงต้องจัดวางคนไว้ข้างกายจึงจะได้
แต่จะอาศัยองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินพวกนี้ทำงานลับเช่นนี้คงไม่ได้ เดิมเป็นความคิดตนเสนอออกไป แต่ฮ่องเต้กลับทรงอนุมัติอย่างเป็นทางการมา ก็ย่อมต้องทำให้ดี มิเช่นนั้นก็จะได้ผลตีกลับไม่ดีนักกลับคืนมาแทน
นอกเมืองเริ่มฝึกแล้ว หวังทงกลับไม่ได้ไปเฝ้าดูต่อ หากขี่ม้ากลับจวนที่อยู่ใกล้หอกลอง พอเข้าไปในจวนก็เดินไปเรือนด้านข้าง บรรดาชาวโรงบ้านที่ติดตามมาด้วยและคอกม้าก็อยู่ที่นั่น พอก้าวเข้าไป ชื่อเฮยหัวหน้าโรงบ้านกำลังอาบน้ำให้ม้าอยู่ พอเห็นหวังทงมา ก็รีบเข้ามาคารวะ
หวังทงถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“พวกโรงบ้านอกเมืองหลวง เจ้ารู้จักคุ้นเคยไหม?”
“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยอยู่นั้นมาเกือบ 20 ปี เคยทำงานมาหลายโรงบ้าน คุ้นเคยดีขอรับ”
“เจ้าไปทางนั้นหาคนซื่อสัตย์ไว้ใจได้มาห้าคน บอกว่าทางนี้มีงานให้ทำ เงินทองคุยกันได้ มีเรื่องหนึ่งที่ต้องจดจำให้ดี บอกว่าเจ้าต้องการคนงาน อย่าได้เอ่ยชื่อข้าออกไป…”