Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 236

ตอนที่ 236 ขจัดเสี้ยนเก็บไม้ดี ลงดาบเร็วขจัดเสี้ยนหนาม

ตั้งแต่เริ่มรับกำลังพลมาจนจลาจลในค่ายคืนนี้ บรรดาชายหนุ่มที่ฝึกอยู่ในค่ายไม่ได้ไปไหนก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังเล่นละครเด็กเล่น ทางนี้ฝึกฝนอย่างหนัก แต่ต่างจากการฝึกทหารที่พวกเขาเคยพบเห็นมา รู้สึกว่าเหมือนละครน่าตลก

ตอนพวกเขาอยู่ในกองทัพ ได้ยินบรรดาพ่อ ลุงและอาที่เคยเป็นทหารเล่าว่า ระเบียบวินัยกองทัพเข้มงวดจริงจัง เบาที่สุดก็คือโบยด้วยไม้ แค่การโบยก็มักจะทำเอาถึงแก่ชีวิตได้

ที่เหลือก็เช่นการเจาะแก้ม(ใช้ลูกธนูแหลมคมแทงทะลุสองแก้ม) ม้าลาก (ให้ม้าลากและวิ่งตาม) ตัดใบหู ถลกหนัง ตัดหัว การลงทัณฑ์ทรมานเหล่านี้ หากทำละเมิดวินัยเล็กน้อยก็ไม่อาจแก้ตัวคืนมาได้อีก

จากบ้านมาที่นี่ ผู้ใหญ่ที่บ้านทุกคนว่ากันว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพรย่อมสบายกว่าเป็นทหารในกองทัพมากนัก และยังบอกว่าต้องระมัดระวังให้ดี มิเช่นนั้นตายไปที่นี่ก็คงได้ตายฟรี

แต่การฝึกพลทหารใหม่ในค่ายของนายพันหวัง ฝึกผิดพลาดเล็กน้อยก็จะลงด้วยแส้โบยด้วยกระบอง ละเมิดเล็กน้อยก็จะลงแส้ลงกระบอง แต่ล้วนมีกฎเกณฑ์กำหนดไว้ชัดเจน นอกจากต้องท่องจำกฎระเบียบที่ไม่จบไม่สิ้นพวกนี้ให้แม่นยำแล้ว การลงโทษทางร่างกายก็มิได้หนักหนารุนแรงเช่นนั้น ครึ่งเดือนมานี้ ทุกคนจึงรู้สึกว่า ‘ไม่เห็นเป็นไร’

ในใจหลายคนก็รู้สึกว่าการจลาจลในคืนนี้หากไม่สำเร็จก็ ‘ไม่เห็นเป็นไร’ อย่างมากก็โดนแส้ไม่กี่ที ไม่มีผลเสียหนักหนาอะไร จึงก่อการอย่างไม่กลัวเกรงนี้ขึ้น

จนมาเห็นบรรดาผู้ร่วมฝึกกันมา ทั้งหน้าอกและหน้าผากปักด้วยลูกธนูเช่นนี้ หน้าผากถูกธนูปักเข้า เช่นนั้นก็มีแต่ต้องสิ้นลมหายใจในทันที

คนที่ถูกปักลงกลางอกไม่ได้สิ้นลมในทันที ใช้มือกุมไว้คิดจะดึงออก แต่แรงก็ค่อยๆ หมดลง คนทั้งคนก็เหมือนชักกระตุกดิ้นอยู่กับพื้นเช่นนั้น เสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมานค่อยๆ อ่อนกำลังลง

ทุกคนตกใจอึ้งค้างกันไป ทั้งร่างเริ่มหนาวเหน็บราวกับก้อนน้ำแข็ง ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับ มีคนออกมาจุดไฟในกระถางเพลิงมากขึ้น ในค่ายค่อยๆ สว่างไสวมากขึ้น พวกเขาเห็นครูฝึกด้านหลังหวังทงกำลังถือธนูยาวขึ้นสายค้างอยู่ กำลังเล็งมาทางนี้

วิ่งเร็วเพียงใด หรือว่าจะเร็วกว่าลูกธนูกัน สถานการณ์เอาอยู่แล้ว หวังทงก็ควบม้าออกมา วิ่งไปรอบๆ คนพวกนี้รอบหนึ่ง ม้าวิ่งผ่านหน้าผู้ใด ร่างผู้นั้นก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว

“ความสามารถพวกเจ้าแค่นี้ จะสู้ต่อไหม!?”

หวังทงหยุดม้า ถามอย่างดูถูกมองจากที่สูงลงมา บรรดาชายหนุ่มที่เมื่อครู่ที่ยังโอหังก็เริ่มหน้าซีดขาว พอหวังทงกวาดตามองมา ก็พากันส่ายหน้าลนลาน

“ตีกลอง เรียกทุกคนให้มารวมตัวกันให้หมด!!”

เสียงกลองรัวดังขึ้น ขบวนสี่เหลี่ยมของพลทหารราบก็เริ่มสลายขบวนออก วิ่งไปประจำตำแหน่งของตนเรียกรวมพล ท้องฟ้ายังคงมืดเป็นปกติ ในค่ายกลับคึกคักวุ่นวายราวกับยามกลางวัน

ฝึกมาได้ครึ่งเดือนกว่า ก็พอมีผลสำเร็จอยู่บ้าง หนึ่ง สอง สาม หัวหน้าทั้งสามค่ายไม่ได้ออกมาก่อเรื่อง และบรรดาที่วิ่งกลับไปเมื่อครู่ก็สวมชุดเสร็จอย่างรวดเร็วออกมาเข้าแถวพร้อม

การเคลื่อนไหวของบรรดาพวกที่ไม่ผ่านการคัดเลือกก็ช้ากว่ามาก เสียงดังโหวกเหวกเป็นนานกว่าจะจัดแถวเสร็จ หวังทงตะโกนดังอยู่บนหลังม้าหน้าแถว

“ข้าถามพวกเจ้า มาที่นี่ทำงานให้ข้า ข้าเคยเอาเปรียบพวกเจ้าไหม กินไม่อิ่มหรือ หรือเสื้อผ้าไม่อุ่น?”

ทุกคนเงียบ มาทำงานที่นี่ลำบากก็ลำบาก แต่อาหารการกินอิ่มท้อง ยังมีเสื้อผ้าให้ใส่จนอุ่นกาย ไม่อาจกล่าวได้ว่าเอาเปรียบ แม้แต่บรรดาผู้ที่ก่อเรื่องคืนนี้ก็กล่าวได้แค่ว่าทำไปด้วยอารมณ์โมโหเท่านั้น

“นายกองร้อยค่าย นายกองธงใหญ่ นายกองธงเล็กนับจำนวนคนที่ก่อเรื่องมาให้ครบ ดูว่าเป็นคนของค่ายไหนที่ไม่รู้จักดูตามาตาเรือให้ดี”

ลูกน้องและเด็กๆ รีบออกมานับ เข้าไปนับจำนวนคนในกลุ่มให้ละเอียด ก่อนจะรายงานผลอย่างรวดเร็ว มีคนจากค่ายหนึ่งไม่กี่คน ล้วนเป็นพวกค่ายสองและค่ายสาม

บรรดาคนกองทัพที่พอมีทักษะ ยามปกติก็ฝึกฝนอยู่ รู้ถึงความยากลำบากดี ย่อมเข้าใจการฝึกอันยากลำบากของพลทหารใหม่ว่าทรมานและต้องฝืนทนเพียงใด

หากพวกที่ถืออาวุธแหลมคมวิ่งกรูขึ้นหน้ามาและถูกธนูยิงตายไปพวกนั้น กลับเป็นคนจากค่ายหนึ่ง เรื่องนี้ก็คิดเข้าใจได้ง่ายมาก คิดจะปะปนเข้ามา แสดงความสามารถเล็กน้อยก็ได้รับเลือกเข้ามา หากจะวิ่งประลองกำลัง ก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก

“ในเมื่อได้มาเป็นพลทหารในสังกัดองครักษ์เสื้อแพร ก็ต้องเข้าใจกฎระเบียบ คืนนี้เพราะคนเลวยุยง ก่อจลาจลในค่าย คิดจะหลบหนี จึงมีโทษหนักถึงตัดหัว”

หวังทงกล่าวเสียงเย็นเยียบ บรรดาคนที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางก็เริ่มลนลานขึ้น บางคนเริ่มรู้ตัวเดินก้าวขึ้นหน้ามาสองก้าว “ฉึก ฉึก” ดังติดกัน ลูกธนูปักลงเบื้องหน้า คนเหล่านี้ตกใจพากันหยุดนิ่ง

ในที่สุดก็มีคนได้สติ รีบคุกเข่าลง โขกศีรษะไปตะโกนร้องไห้ขอร้องดังว่า

“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวัง พวกข้าน้อยถูกมันหมูบดบังจิตใจ คิดไม่ตกไปชั่วขณะ จึงได้ทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ได้ ที่บ้านพวกข้าน้อยยังมีพ่อมีแม่ต้องเลี้ยงดู ใต้เท้าหวัง โปรดไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย!!”

เสียงร้องขอชีวิตจากคนเกือบสองร้อยชีวิตไม่เบาเลย หวังทงอยู่ใกล้ ได้ยินจนหูชา เสียงร้องระงมดังไปทั่ว อดไม่ได้ต้องหันกลับมาบอกว่า

“รัวกลองให้หยุดที!!”

เสียงกลองรัวดังขึ้น สยบเสียงทุกเสียงให้หยุดลง หวังทงตะโกนดังขึ้นว่า

“เห็นแก่ที่พวกเจ้าทำผิดครั้งแรง โทษตายละเว้น…”

กล่าวไม่ทันจบ พวกขี้ขลาดที่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อก็รีบโขกศีรษะคารวะขอบคุณ ความโกลาหลเกิดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้หวังทงไม่ได้สั่งให้รัวกลอง กลับให้บรรดาลูกน้องและเด็กๆ ถือกระบองและแส้เข้าไล่ตี พอสงบลง หวังทงก็กล่าวต่อว่า

“ทุกคนโบยด้วยแส้ 30 ที พวกที่เข้าร่วมจลาจลนี้ให้ปลดไปอยู่ค่ายสาม ให้คนที่ไม่ได้รับการคัดเลือกมาเข้าทดแทนที่!!”

ผ่านโทษตายเมื่อครู่มา ผู้ใดกล้าปฏิเสธ ได้แต่โขกศีรษะรับเท่านั้น หากเป็นบรรดาชายฉกรรจ์ที่จะได้เข้าทดแทนดังขึ้นแทน ยามปกติใช้แรงงานหนัก ได้แต่มองการฝึกของคนทางนี้ด้วยความรู้สึกอิจฉามาก คืนนี้คนพวกนั้นกลับคิดหนี จึงถูกบรรดาคนใช้แรงงานพวกนี้ด่าทอกันไม่หยุดมานานไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว ได้ยินว่ามีโอกาสเช่นนี้ จะไม่ดีใจได้อย่างไร

พวกใช้แรงงานเดิมคิดว่าคงเป็นเช่นนี้ไปทั้งชีวิต ไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปาก คิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสเช่นนี้ ดังนั้นจะตำหนิว่าพวกเขาดีใจเช่นนี้ก็ไม่ได้

“ทุกคนในที่นี้ ทั้งสามค่ายที่ไม่ได้ร่วมจลาจลนี้โบยคนละ 5 ที พวกใช้แรงงานคนละ 3 ที!!”

ยามนี้เช้ามืดอยู่ ฟ้ายังคงมืดอยู่ ในค่ายแม้จะสว่าง แต่ก้เงียบมาก ทุกคนไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง รู้สึกแปลกใจกับการตัดสินครั้งนี้ของหวังทง

ด้านนอกมีเรื่องกันวุ่นวาย ทุกคนไม่ได้ออกมาร่วมวงหรือไม่ควรได้รับรางวัลกัน เหตุใดยังต้องโดนโบยด้วย นี่มันเหตุผลอะไรกัน คำพูดของหวังทงที่ตามมาตอบความสงสัยของทุกคนว่า

“ค่ายมีความวุ่นวาย พวกเจ้าไม่ออกมาช่วยระงับเหตุ กลับวางเฉยชมดูกัน หากเป็นศัตรูถือโอกาสเข้าสังหาร จะเป็นเช่นไร นี่เดิมก็เป็นโทษตาย ครั้งนี้แค่โบยด้วยแส้ ครั้งหน้าก็ระวังหัวพวกเจ้าไว้ให้ดี!!”

เสียงกล่าวจบลง ก็ขี่ม้ากลับเข้าแถว มีลูกน้องและเด็กๆ นำคนขึ้นมาคุกเข่าด้านหน้า สะบัดแส้ฟาด

เพิ่งจะเริ่มลงมือก็ได้ยินหวังทงกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า

“แส้จุ่มน้ำ ให้พวกมันพูดออกมาว่าใครยุยงให้พวกมันทำเช่นนี้ ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่พูด ก็โบยรอบสองต่อ”

แส้รอบแรกยังโบยไม่เสร็จ ก็มีคนคายออกมาสามชื่อ แต่สามคนนี้ก็ไม่สนใจว่าจะกระทบถึงครอบครัว ตอนที่เริ่มลงมือกันก็กระโดดรั้วไม้ที่ล้อมรอบวิ่งหนีไปนานแล้ว

ในเมื่อปะปนเข้ามาก่อความไม่สงบ ย่อมไม่สนใจคนรับรอง อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แส้จุ่มน้ำโบยก็ย่อมหนักกว่าปกติ แส้ลงไปแค่ห้าที โลหิตก็เริ่มไหลซึม ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าสามสิบทีเนื้อจะปริแตกกันเช่นกัน

แม้ว่าโดนโบยกันน่าสลด แต่ไม่มีใครเห็นใจสักคน เพราะคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องต้องมาพลอยโดนไปด้วย ทุกคนก็จ้องมองพวกก่อเรื่องกันอย่างโกรธแค้น

“นายท่าน คนพวกนี้แค่ไม่รู้เรื่อง หน้ามืดตามัว โดนโบยขนาดนี้ก็พอแล้ว ไยต้องปลดไปอยู่อีกค่ายด้วย พวกเขามีความสามารถ ร่างกายไม่เลว น่าเสียดาย”

การทัดทานของถานเจียง หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า

“ระเบียบต้องเข้มงวด ไม่สังหารพวกเขาก็ถือว่าปล่อยให้มากแล้ว ไปใช้แรงงานทางนั้นเถอะ ไปลองคิดให้ดีว่าทางนั้นลำบากอย่งไร ทางนั้นกล้ำกลืนอย่างไร อย่างไรทุกช่วงก็มีสอบอยู่ ได้รับการสั่งสอนไปเช่นนี้ ก็จะคิดได้เอง ค่อยสอบกลับมาก็ใช่ว่าไม่ได้ อย่างมากก็แค่ตั้งค่ายสี่ขึ้นมา”

ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ถานเจียงก็พยักหน้า ไม่ได้ทัดทานต่อ

การจัดการทุกอย่างจบลงก่อนฟ้าสาง ในเมืองนอกเมืองนอกจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องจลาจลครั้งนี้

“กลางวันฝึกกันอย่าได้หยุด ไม่ว่าบาดเจ็บหรือไม่ก็ต้องทนให้ได้ การจลาจลเมื่อคืนวานไม่ใช่ว่าข้าสั่งให้พวกเจ้าทำ” หวังทงทิ้งท้ายไว้ก่อนจะนำคนกลับเข้าเมืองไป

พอออกจากค่ายมา ระหว่างทาง หวังทงก็ถอนหายใจบ่นพึมพัมกับตัวเองว่า

“ผ่านเรื่องนี้ไปได้ ค่ายควรจะไร้เสี้ยนแล้ว”

ครั้งนี้สำหรับหวังทงแล้วเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย หนึ่งจะได้ขจัดพวกปะปนอยู่ในค่าย สองจะได้แสดงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎระเบียบ และให้พวกพลทหารได้จับตากันเอง วันหน้าคิดจะก่อการก็คงยากแล้ว

แม้ว่าไม่ได้นอนทั้งคืน แต่หวังทงกลับยังรู้สึกกำลังวังชายังดี พอกลับถึงบ้านก็ยังไม่ไปนอน เตรียมจะเขียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างละเอียดจากนั้นส่งให้ฮ่องเต้ว่านลี่อ่าน คิดว่าฮ่องเต้น้อยต้องรู้สึกสนุกไปด้วยอย่างมากเป็นแน่

เรื่องนี้มีที่มา หลังจากหวังทงรับลูกน้องครั้งแรกในเมืองหลวง มีบางคนถูกส่งไปฝังตัวเป็นสายในบ่อนและสำนักคณิกา จากเมืองหลวงมานี้ มีสิบกว่าคนที่ติดตามมาด้วย

หวังทงไม่ได้ให้พวกเขาไปอยู่ในจวน แต่กลับให้พวกเขาเข้าร่วมอยู่ในการคัดเลือกครั้งนี้ ด้วยการดูแลของหวังทง พวกเขาย่อมได้รับการคัดเลือก

นอกจากพวกหวังทงไม่กี่คนแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้จักคนสิบกว่าคนนี้ ล้วนคิดว่าพวกเขาไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับพวกหวังทง พวกเขาเหล่านี้จึงเป็นหูเป็นตาอยู่ในค่าย การก่อการครั้งนี้ก็ย่อมบอกให้หวังทงรู้ล่วงหน้า และรับมือได้ทัน

สำหรับคนที่มาบอกข่าวที่เคยได้รับความเมตตาไปนั้น ก็บังเอิญเป็นพลทหารธรรมดา แน่นอน ไม่ว่าคนผู้นี้ หรือสายของหวังทง ก็ย่อมโดนลงแส้ไปด้วย หลังเกิดเรื่องก็ได้มอบเงินให้เป็นการปลอบใจ พวกเขาย่อมยินดี

พวกหัวหน้าก่อการที่ถูกยิงตาย ก็ถูกแขวนอยู่บนเสาไม้ในค่ายถึงสิบวันเต็มๆ ….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!