Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 254

ตอนที่ 254 กลัวโจร ไม่กลัวทางการ

พวกโจรสลัดใหญ่และโจรสลัดวัวโค่วบนท้องทะเลทำเอาทุกคนที่ออกมาสำรวจในค่ำคืนนี้รู้สึกหนักอึ้งในใจ เส้นทางระหว่างเดินทางกลับจึงไม่ได้สนทนาอะไรกันต่อ ได้แต่เงียบกันไปจนถึงโรงเตี๊ยมเงินไหลมา

รวมเวลาที่ออกไปและเวลาสำรวจแล้ว ก็น่าจะอีกสองชั่วยามฟ้าถึงจะสาง ประตูเมืองก็คงอีกพักใหญ่กว่าจะเปิด พวกหวังทงอย่างไรก็พักผ่อนกันต่อที่โรงเตี๊ยมอีกสักพักค่อยกลับดีกว่า

ในสมองหวังทงคิดไปมาตลอดเวลา ระหว่างราชวงศ์หมิงเหนือและใต้ ระหว่างราชวงศ์หมิงกับประเทศวัว ระหว่างราชวงศ์หมิงกับทะเลจีนใต้ ไปจนถึงราชวงศ์หมิงกับกับเกาหลี ราชวงศ์หมิงกับทะเลตะวันตก ความสัมพันธ์ต่างๆ ในนี้นั้นจะนำมาใช้ทำอะไรได้บ้าง ท้องมหาสมุทรในยุคสมัยนี้ก็เท่ากับการค้าเสรี สินค้าออกทะเลเข้าสู่แม่น้ำ อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้

ประตูโรงเตี๊ยมใหญ่สองริมคลองส่งน้ำ หน้าประตูนอกจากแขวนโคมไฟแล้ว ส่วนใหญ่ยังปักธงไว้ผืนหนึ่ง เป็นธงชื่อสัญลักษณ์โรงเตี๊ยม กลางคืนเก็บธงเข้ามาแต่ยังแขวนโคมไว้ จึงสว่างกว่าเส้นทางมืดมิดที่เดินมาเมื่อครู่มากนัก

หวังทงเอื้อมมือจะอุ้มหลี่หู่โถวบนรถขึ้นมา หลี่หู่โถวก็ประสาทรับรู้ไว พอหวังทงแตะโดนก็ลุกขึ้นนั่งทันที ยกมือแตะดาบที่เอวเป็นอันดับแรก ทำเอาทุกคนหัวเราะฮาดังลั่น

หวงซานกล่าวขอตัวแล้วก็จูงรถม้าไปไว้ด้านหลัง แปลกมาก หวังทงสังเกตเห็นสีหน้าหวงซานไม่ปกตินัก

บางที่อาจรู้สึกไปเองเพราะความเหน็ดเหนื่อยกระมัง หวังทงไม่สนใจต่อ เพราะรู้ว่าพวกเขาจะกลับมา ประตูโรงเตี๊ยมจึงเปิดรอรับ พอเข้ามานั่งในโถงได้ ทุกคนก็รู้สึกเหนื่อยคิดจะพักหายใจสักครู่ก่อน

พวกถานเจียงสีหน้าไม่สู้ดีนัก พวกเขาในตอนนั้นเคยออกรบสูญเสียเลือดเนื้อกับพวกวัวโค่วทางตะวันออกเฉียงใต้มา บางทีอาจมีญาติสนิทมิตรสหายต้องตายไปในระหว่างสงคราม พอเห็นพวกโจรสลัดทะเลและพวกวัวโค่วอยู่ใกล้กับตนเองเพียงแค่นี้ ใจก็ย่อมรู้สึกไม่สงบนัก

ทุกคนพากันเงียบ กำลังจะลุกขึ้นเอ่ย ก็ได้ยินเสียงประตูด้านข้างโถงกลางของโรงเตี๊ยมดังขึ้น เถ้าแก่และคนงานสองสามคนกับหวงซานเดินเข้ามา

หวังทงอึ้งไป โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่มีหยุดพัก ตื่นกันแต่เช้า ยุ่งกันถึงค่ำ ดังนั้นพอจบอาหารค่ำทุกคนก็จะรีบพากันไปพักผ่อน

หวังทงคิดได้ทันที ถอนหายใจกล่าวว่า

“พวกโจรที่จับตาดูพวกเราพวกนั้น พวกเจ้าปล่อยไปแล้วกระมัง!”

คนของโรงเตี๊ยมที่ออกมากันพอได้ยินหวังทงกล่าวขึ้น ก็รีบคุกเข่าลงพร้อมกัน ได้ยินหวังทงกล่าวตรงประเด็น ก็มีสองคนเข่าอ่อนลงทรุดลงกับพื้นทันที

หม่าซานเปียวกำลังสัปหงก พอได้ยินก็ได้สติขึ้นมา ตามมาด้วยกระโดดตัวลอยขึ้นทันที พลิกมือชักดาบสั้นด้านหลังออกมา กำลังคิดจะด่ารุนแรง

หวังทงก็โบกมือมา หันไปกล่าวกับเถ้าแก่และพวกหวงซานสามคนด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“พวกเจ้ารู้ว่าข้าเป็นองครักษ์เสื้อแพรใช่ไหม!? พวกเจ้ารู้ว่าข้าไม่อ่อนแอไร้สามารถเหมือนองครักษ์เสื้อแพรเมื่อก่อนใช่ไหม!? พวกเจ้ารู้ว่าข้าสังหารพวกนาวาสุคนธ์ชั่วนั่นไปใช่ไหม!? อย่าได้โขกศีรษะอีก ตอบมา!!?”

น้ำเสียงหวังทงเริ่มสูงขึ้น เถ้าแก่เงยหน้าขึ้นตอบด้วยท่าทางหวาดกลัว

“นายท่านมาเทียนจินใหม่ๆ ก็มาอยู่ที่ร้านข้าน้อย เรื่องที่นายท่านทำในเมืองนั้นก็เป็นที่เลื่องลือ พวกข้าน้อยจะไม่รู้ได้อย่างไร?”

“หากไม่ปล่อยตัวไปจะเป็นอย่างไร?”

“นายท่าน คนค้าขายนอกเมืองมีผู้ใดไม่ปักธูปกัน หากข่าวขังเจ้าสามคนนี้ไว้แพร่ออกไป โรงเตี๊ยมข้าน้อยปิดไปยังเรื่องเล็ก เกรงว่าแม้แต่คนงานในร้านข้าน้อยคงได้ถูกโยนลงทะเลไปเลี้ยงปลาเป็นแน่ เมื่อก่อนนี้มีคนที่ล่วงเกินพวกนี้ คนผู้นั้นหายไปทั้งครอบครัวเลย ข้าน้อยมีพ่อแม่ลูกเมียต้องดูแล คนงานในร้านก็มีครอบครัว…”

เถ้าแก่กล่าวด้วยความหวาดกลัวสุดขีด สิบกว่าคนด้านหลังก็เอาแต่โขกศีรษะเสียงดังไม่หยุด เดิมเป็นคืนที่สงบเงียบ ยามนี้ราวกับเสียงกลองตีดังไม่หยุด

หวังทงกระทืบเท้าอย่างเหลืออด ถามน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“เจ้ารู้ว่าข้าไปที่ไหนมาใช่ไหม?”

“พวกข้าน้อยไม่อาจล่วงเกินพวกนาวาสุคนธ์ และไม่อาจล่วงเกินใต้เท้า ปล่อยพวกเขาไป พวกเขาก็ไม่กล้ารีรออยู่นาน ประคองกันหนีไปทันที”

หวังทงถอนหายใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เต็มทีว่า

“พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่อาจมาได้ทุกวัน แต่พวกนาวาสุคนธ์พบได้ทั้งเช้าค่ำ ล่วงเกินข้าไม่แน่ว่าจะพอถูไถผ่านๆ ไปได้ ล่วงเกินพวกนาวาสุคนธ์ไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้ ใช่เหตุผลนี้หรือไม่”

คนเบื้องหน้าได้แต่โขกศีรษะไม่หยุด ไหนเลยจะกล้าตอบ หวังทงหันไปมองคนรอบๆ สีหน้าทุกคนไม่รู้จะทำเช่นไร หม่าซานเปียวก็เป็นนักเลงในตลาดมาก่อน ย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าคนอื่นๆ ยามนี้ได้แต่ระบายอารมณ์ฮึดฮัด

“ไม่ต้องโขกศีรษะแล้ว ไม่โทษเจ้า ทุกคนอยู่ต่อที่นี่ ถานปิงกับถานเจี้ยนตามเถ้าแก่ไปจูงม้ามาที่หน้าประตู พวกเราคืนนี้กลับไปพักที่ค่าย!”

ถานปิงกับถานเจี้ยนไม่กล่าวอันใด ลุกขึ้นเดินไปเบื้องหน้าเถ้าแก่ ใบหน้าเถ้าแก่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เงยหน้าขึ้นอย่างงงๆ เอ่ยว่า

“ฟ้ามืดแล้ว นายท่านยังจะไปที่ใด อยู่ที่โรงเตี๊ยมข้าก่อน ยังมีซุปร้อนๆ และน้ำร้อนไว้บริการ….”

หวังทงไม่รับคำ เถ้าแก่ถูกลากออกไป หวังทงหันไปสั่งหม่าซานเปียวว่า

“ตามพวกคนงานไปที่ห้องครัวหาขนมเปี๊ยะมาสักหน่อย”

ทางนั้นตามกันออกไปแล้ว หวังทงก็เงียบลง ถานเจียงหยิบอาวุธที่เก็บไว้ที่ร้านออกมาวางบนโต๊ะ วางไว้ในที่ๆ เอื้อมมือก็คว้าได้ทันที

คนงานในร้านรู้สึกบรรยากาศผิดปกติ คุกเข่าอยู่ไม่กล้าหายใจแรง ไม่นานม้าก็จูงมาถึง ขนมเปี๊ยะก็พร้อม หวังทงเหน็บดาบเสร็จก็เอ่ยว่า

“เอาขนมไปเลี้ยงม้าก่อน!”

ม้ากินหญ้า แต่ยามคับขันก็กินอาหารแข็งๆ ได้ เช่นขนมเปี๊ยะหรือปาท่องโก๋เป็นต้น ทำให้ม้ามีแรง ยืนหยัดวิ่งต่อได้นานอีกสักหน่อย

นี่เป็นความรู้พื้นฐานของทหารม้าเกือบทุกคน ได้ยินหวังทงสั่งการ ทุกคนก็หยิบแผ่นเปี๊ยะแข็งวางในอุ้งมือให้ม้ากิน

ทุกอย่างจัดการเสร็จ ก็ใส่อานม้า พวกหวังทงกระโดดขึ้นหลังม้า เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเดินตามออกมาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร หวังทงหันมายิ้มกล่าวว่า

“หากข้าอยู่ที่นี่ต่อ เกรงว่าคืนนี้คงไม่เป็นสุข แม้เจ้าไม่ไปส่งข่าว เจ้ากล้ารับประกันหรือว่าคนอื่นๆ ที่นี่จะไม่ไป?”

ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าเถ้าแก่ก็ซีดเผือด หันไปมองหน้าคนงานของตนด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ หวังทงสะบัดแส้ควบม้าออกไปทันที

“นายท่าน ร้านนั้นมีอะไรแปลกงั้นหรือ?”

“หวงซานนั่นตอนเข้ามาในร้านสีหน้าไม่ถูกต้องนัก ไม่ว่าเพราะข่าวการปล่อยสายสืบนาวาสุคนธ์พวกนั้นหรือว่าสมรู้ร่วมคิดอะไรกับใครอีก พวกเราอย่างไรก็ระวังไว้ก่อนดีกว่า”

ไม่มีกองกำลังไล่ตามมา เส้นทางกลางคืนแม้ว่าจะเดินทางยาก แต่ทุกคนก็เดินทางกันอย่างเคยชิน ตลอดทางก็ปลอดภัยไร้เหตุ มาถึงค่ายใหม่อย่างรวดเร็ว

ค่ายกองกำลังใหม่ย่อมมีทหารรักษาการณ์ พอเห็นหวังทงกับครูฝึกกลับมาถึงค่าย ยังมีพวกที่ทำหน้าที่ตนเองอย่างแข็งขันเข้ามาตรวจสอบป้ายตำแหน่งก่อนจะเรียกให้คนเปิดประตูค่าย กลางคืนที่ค่ายส่วนใหญ่รับหน้าที่ดูแลโดยคนใดคนหนึ่งของพวกถานเจียง เรื่องใหญ่ให้อวี๋ต้าโหยวตัดสินใจ หากยามค่ำคืนก็ไม่มีเรื่องอะไรนัก

พอเข้ามาในค่าย จิตใจเคร่งเครียดเมื่อครู่ของทุกคนก็มลายหายไปสิ้น หวังทงไม่กล่าวอันใดมาก รีบหันไปสั่งคำเดียวกับพวกผู้ติดตาม และลี่เท่ากับซุนซิงว่า

“ทุกคนไปนอนกันให้หมด เรื่องอื่นค่อยคุยกันพรุ่งนี้!”

********

“ถางปรับที่รอบๆ ค่ายนี้ออกมาอีกผืนหนึ่ง ถามทางเฉียวต้าว่าที่ตรงไหนสามารถสร้างโรงตีเหล็กได้ โรงตีเหล็กในเมืองต้องย้ายมาที่นี่ให้เร็วที่สุด!”

เช้าวันรุ่งขึ้น บรรดาครูฝึกกับคนสนิทของหวังทงรวมตัวกันอยู่ในกระโจม ยังมีหลายคนที่ถูกตามตัวมาจากในเมืองหลังจากประตูเมืองเปิด

หวังทงนั่งอยู่ตรงกลางประกาศสั่งทีละข้อด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ไช่หนานที่อยู่ข้างๆ ก็จดบันทึกทีละข้อ

“ค่ายใหม่เราตั้งมาได้สองสามเดือนแล้ว แค่ฝึกอย่างเดียวไม่ได้นำไปใช้ไม่ได้ จากนี้ไปทุกค่ายให้ผลัดกันออกปฏิบัติการ ห้าค่ายกับอีกสองค่ายกองเกิน เจ็ดวันเปลี่ยนเวร หนึ่งค่ายเดินยามรอบค่าย หนึ่งค่ายเข้าไปในเมืองรักษาความสงบให้ชาวบ้าน ยังมีอีกกองรอรับคำสั่ง รอให้เงินทองจากเมืองหลวงมาถึงให้คุ้มกันถึงที่หมาย”

ทุกคนฟังคำสั่งอย่างตั้งใจ หวังทงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า

“ค่ายหนึ่งไม่ร่วมการผลัดเวร ค่ายหนึ่งหนึ่งร้อยนายแรกกับอีกร้อยนายถัดมาผลัดกันไปประจำที่สำนักกองพันองครักษ์เสื้อแพรในเมือง ควบคุมดูและที่นั่น แต่ละค่ายหลังปรึกษากันเสร็จก็ให้ออกปฏิบัติงานทันที กำหนดจำนวนคน แต่นี้ไป ทุกกองให้เข้าสู่สภาพพร้อมออกศึก รอรับคำสั่งตลอดเวลา!!”

บรรยากาศเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างรวดเร็ว บรรดาครูฝึกอายุน้อยต่างก็ตื่นเต้น มองไม่ออกว่ามีความหวาดกลัวกันตรงไหน คำนับรับคำก่อนจะพากันออกไปปฏิบัติหน้าที่

“พี่จาง เงินทองโรงเหล็กที่ควรจ่ายก็ต้องจ่าย ปัญหาตอนนี้ก็คือการหลอมปืนใหญ่ออกมาให้ได้ เงินทองก็ปล่อยให้มากหน่อย วาจากล่าวรุนแรงอีกหน่อยได้ ไม่ได้ห้ามไม่ให้บอกพวกเขา ปืนใหญ่หลอมออกมาไม่ได้ โทษก่อนหน้าก็จะทบเข้าไปเพิ่มด้วย!”

ตั้งแต่ตรวจพบว่าเฉียวต้าโกงกิน จางซื่อเฉียงรู้สึกว่าตนเองบกพร่องหน้าที่จึงจับตาดูโรงตีเหล็กตาไม่กระพริบ แต่สำหรับหวังทงแล้ว ตอนนี้ปืนใหญ่เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง

“หม่าซานเปียวเจ้าพาพวกชื่อเฮยไปจัดระเบียบคนงานในโรงตีเหล็กแบบเดียวกับการจัดระเบียบค่าย ต้องให้รู้จักปฏิบัติตามคำสั่งในยามคับขัน ยามคับขันต้องการใช้งาน คนเหล่านี้ต้องพร้อมใช้งาน”

หม่าซานเปียวรับคำเสียงดัง เขาติดตามหวังทงมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับภารกิจจริงจัง ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมยิ่งนัก

“ต้าไห่ เจ้านำพี่น้องเราที่พามาจากเมืองหลวง ตอนนี้ไปจับพวกแอบขี้เกียจในกองพันเราที่นี่ไปขังให้หมด เจ้าเป็นนายกองร้อย คนอื่นก็ให้เป็นนายกองธงใหญ่ นายกองธงเล็กกันไป พวกไร้ค่าไม่อาจให้กินฟรีอยู่ฟรีต่อไปได้อีกแล้ว ต้องให้พวกเขาทำงาน”

ซุนต้าไห่รีบก้มตัวลงรับคำสั่ง หลี่หู่โถวข้างๆ เกือบจะกระโดดออกมารับด้วย แต่ไม่มีงานของเขา รอให้คนรับคำสั่งทยอยออกไปปฏิบัติภารกิจที่รับมอบหมายทีละคน อวี๋ต้าโหยวข้างๆ ก็ยิ้มถามว่า

“องครักษ์เสื้อแพรก็แค่งานลาดตระเวนจับคน คนใหม่พวกนี้ถูกเจ้าฝึกราวกับทหารกองทัพ คำสั่งแต่ละคำสั่งเมื่อครู่ราวกับกำลังออกรบเลย ข้ามีเรื่องไม่เข้าใจอยู่บ้าง ในและนอกเมืองเทียนจินไม่มีศัตรูใหญ่อะไร ถึงขึ้นต้องใช้ปืนใหญ่เลยหรือ?”

“ปืนใหญ่เป็นอีกเรื่อง เรื่องอื่นๆ เช่นพวกหนูสวะในเมืองก่อเรื่องกันสนุกเกินไปแล้ว ต้องจัดการเก็บกวาดให้หนักสักที!”

หวังทงตอบน้ำเสียงนิ่งเรียบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!